ไม่นานหลังจากนั้น หวงอี้ซานก็กลับมา ขบวนรถจึงเริ่มออกเดินทาง
พวกเขายังอยู่ในเขตที่มีโจรป่าออกอาละวาด ดังนั้นรถม้าจึงต้องเพิ่มความเร็วขึ้น
พอผ่านเขตรกร้างไกลหูไกลตาทางการมาแล้ว การเดินทางหลังจากนั้นก็ไม่ยุ่งเหยิงเหมือนเดิมอีก
รถม้าห้อเหยียดเต็มที่ เซวียเสี่ยวหรั่นกำลังตัดอาภรณ์ ยิ่งถูกเข็มตำมือได้ง่าย "ซี้ด" หลังถูกตำเป็ครั้งที่สาม เธอก็ตัดสินใจวางเข็มกับด้ายในมือลง
"รถะเืมาก ก็อย่าเย็บผ้าเลย" เหลียนเซวียนเห็นนิ้วมือของนางเริ่มแดง แววตาก็นิ่งขรึม
"ไม่ทำแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นพิงผนังรถ เมื่อไม่มีงานทำแล้ว ก็หาเื่สนทนาเรื่อยเปื่อย "ท่านว่าเหตุใดแคว้นหลีถึงมีโจรป่ามากมายเพียงนี้ พวกเราเดินทางสองครั้ง ก็เจอทั้งสองครั้งเลย"
"ฮ่องเต้แคว้นหลีอ่อนแอหูเบา ขุนนางนับร้อยในราชสำนักล้วนฟอนเฟะโกงบ้านกินเมือง ขุนนางท้องถิ่นมีแต่พวกเหยาะแหยะไร้ความสามารถ ประชาชนใช้ชีวิตไม่ง่าย เมื่อตกต่ำถึงขีดสุด โจรป่าแคว้นหลีถึงมากมาย สาเหตุหลักสำคัญที่สุดคือราชสำนักไร้น้ำยา"
แคว้นหลีตั้งอยู่ในถิ่นรกร้างห่างไกล พื้นที่ไม่ใหญ่มาก ภูมิประเทศเป็ูเาเสียส่วนใหญ่ ที่ราบมีน้อย มีชนเผ่าหลากหลาย ความขัดแย้งของแต่ละชนเผ่าก็ไม่น้อย ประกอบกับใช้ภาษาถิ่นในการสื่อสาร การควบคุมจัดการมีอุปสรรคอย่างมาก
ปัญหามากมายสุมเข้าด้วยกัน จนกลายเป็ความขัดแย้งภายในต่อเนื่องมาหลายปี
"โจรป่าเยอะ คนตกทุกข์ได้ยากก็คือประชาชนตาดำๆ ออกจากบ้านแต่ละคราต้องหวาดผวาว่าจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่ แคว้นหลีคงอยู่ไม่ได้แล้ว"
เดิมทีเซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกว่าหมู่บ้านขู่หลิ่งถุนเป็สถานที่ขุนเขาแม่น้ำงดงาม เธอเคยมีความคิดจะตั้งรกรากที่นั่น แต่สภาพแวดล้อมโดยรวมไม่ดี ผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอจะอยู่รอดในโลกวุ่นวายแบบนี้อย่างไร
"เ้าอยากอยู่แคว้นหลีรึ?" เหลียนเซวียนนึกถึงตอนอยู่ขู่หลิ่งถุน มี่หนึ่งนางดึงซีมู่เซียงมาสอบถามข้อกังขาต่างๆ ตอนนั้นนางคิดจะอยู่ที่ขู่หลิ่งถุนใช่หรือไม่
"เอ่อ ก็ไม่เชิงน่ะ แหะ" เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อยภายใต้สายตากดดันผู้คนของชายหนุ่ม
ไม่เชิง? ก็หมายความว่าเคยมีความคิดเช่นนั้น
เหลียนเซวียนจ้องนาง นึกถึงเมื่อคืนนางกุมขวดเล็กๆ ไว้ในมือ นึกถึงสิ่งของที่นางลอบนำไปเผาทำลายทิ้ง ประกอบกับการพูดจาและพฤติกรรมที่ผิดแผกจากสตรีทั่วไป เขาจึงแน่ใจว่าสถานที่ที่นางเคยใช้ชีวิตไม่ใช่ทั้งซีฉี แคว้นฉี หรือแคว้นหลี
เช่นนั้น นางมาจากไหนกันแน่?
แดนโพ้นทะเล นอกด่าน หรือดินแดนในอุดมคติที่ไหนสักแห่ง
นางไม่ยอมบอก เขาก็ไม่อยากฝืนใจ เอาไว้ก่อน ต้องมีสักวันที่เขาจะได้รู้ความจริง
เซวียเสี่ยวหรั่นถูกจ้องจนขนลุก เธอเอื้อมมือไปรื้อคันฉ่องน้อยออกมา แสร้งทำเป็ดูรูหูที่เจาะว่าเข้าที่หรือยัง แต่แท้จริงแล้วแค่้าใช้คันฉ่องบดบังสายตาสืบเสาะของเขาเท่านั้น
เหลียนเซวียนแค่นเสียงเยาะอย่างอดไม่ได้ มีลูกไม้เพียงเท่านี้ คิดจะใช้ชีวิตอิสระเพียงลำพัง ไม่รู้จะบอกว่านางซื่อบริสุทธิ์หรือโง่งม
"แฮ่ม ข้าควรจะตัดหน้าม้าให้เสมอคิ้วดีไหมนะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นหน้าผากโล้นๆ ของตนเอง พลันเกิดความรู้สึกอยากไว้ผมหน้าม้าบาบดบังใบหน้าไว้สักครึ่งหนึ่ง ก็รีบเอามาใช้เป็ข้ออ้างเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพอดี
"หน้าม้าเสมอคิ้ว?" เหลียนเซวียนยังตามไม่ทัน พอนึกขึ้นได้ ก็ย่นหัวคิ้ว "มีแต่สาวน้อยถึงจะไว้ผมแบบนั้น"
"ข้าก็เป็สาวน้อยเหมือนกันนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นทำตาขึงใส่เขา เห็นนางเป็สาวใหญ่หรือไร
"ข้า... หมายถึงสาวน้อยอายุสิบสองสิบสาม" เหลียนเซวียนปรายตาไปที่ทรงผมซึ่งเป็แบบสตรีออกเรือนแล้วของนาง
"มีกฎเกณฑ์แบบนั้นที่ไหน แค่ตัดหน้าม้ายังต้องจำกัดอายุ" เซวียเสี่ยวหรั่นแค่นเสียงหึ พลางลูบไรผมที่เริ่มยาวจากแนวหน้าผาก
"สตรีอายุมากขึ้นไว้ผมเปิดหน้าผากแลดูเรียบร้อยมีสง่าราศีกว่า" เหลียนเซวียนมองหน้าผากเกลี้ยงเกลาของนาง หากถูกหน้าม้าบดบังก็น่าเสียดาย
แต่คำพูดของเขา ไม่ว่าเซวียเสี่ยวหรั่นจะฟังอย่างไรก็รู้สึกแสลงหู สตรีอายุมากขึ้นหมายความว่าอย่างไร เธออายุแค่เท่าไรเอง ยังอยู่ใน่วัยสาวสะพรั่ง เรียกว่าอายุมากที่ไหน
เหลียนเซวียนจึงถูกนางกลอกตาใส่อีกหนึ่งดอก
แน่นอนว่าท้ายที่สุดเซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่ได้ตัดผมหน้าม้า ถ้าจะไว้หน้าม้า ก็ต้องตัดทุกเดือนยุ่งยากเกินไป
วันที่สามสิบเดือนสี่ คณะเดินทางก็มาถึงเมืองลู่ิ
เมืองลู่ิเป็เมืองที่อยู่สุดพรมแดนใกล้กับแคว้นฉีที่สุด
ออกจากประตูทางทิศเหนือของเมืองลู่ิไปไม่ไกลก็จะเชื่อมต่อกับเมืองยงหนิงแคว้นฉี
สำนักคุ้มภัยเจิ้นเวยตั้งอยู่ที่เมืองลู่ิ พอเข้าเมือง หวงอี้ซานก็นำขบวนไปยังสำนักคุ้มภัย
ส่วนรถม้าที่ติดตามมาด้านหลังก็เริ่มแยกย้ายกันไป
พวกเหลียนเซวียนถือโอกาสนี้กล่าวอำลา
หวงอี้ซานพยายามเหนี่ยวรั้งกลับถูกปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม "เขาเขียวขจีมิแปรเปลี่ยน สายน้ำหลั่งไหลไม่รู้จบ วันหน้ายังมีโอกาส"
ข่งจินกับข่งหยินสองพี่น้องนำรถม้าเข้าเมืองลู่ิไปพักยังโรงเตี๊ยมที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง
"หลางจวิน โรงเตี๊ยมอันผิงเป็หนึ่งในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดของเมืองลู่ิเลยขอรับ" ข่งจิ่นกล่าว
เหลียนเซวียนพยักหน้า "เช่นนั้นก็พักที่โรงเตี๊ยมอันผิงแล้วกัน"
หลังจากลงรถม้า เซวียเสี่ยวหรั่นคิดจะไปถามราคาห้องพักอยู่พอดี
แต่เหลียนเซวียนกลับเอ่ยปากว่าจะเหมาหมู่เรือนเล็ก
เซวียเสี่ยวหรั่นอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปข้างเขาพลางกระซิบถาม "เหมาหมู่เรือนเล็กไปทำไม พวกเราคนไม่เยอะขนาดนั้นเสียหน่อย"
เหลียนเซวียนหลุบสายตามองนาง "ที่พักแบบหมู่เรือนเงียบสงบกว่า ราคาก็ไม่ได้แพงกว่าเท่าไร"
เอาเถอะ เขาตัดสินใจเลือกไปแล้ว เธอเองก็ไม่อยากพูดมาก
ตามคนงานไปยังหมู่เรือนเล็ก สภาพแววล้อมเงียบสงบเป็ส่วนตัวกว่าแบบห้องพักธรรมดามาก
เดินทางมาสิบวัน ทุกคนต่างอ่อนเพลีย หลังกินข้าวอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ต่างคนก็ต่างเข้านอน
เช้าวันต่อมา เซวียเสี่ยวหรั่นยังคร้านจะตื่น จวบจนดวงตะวันลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา ถึงยอมลุกอย่างเตียงอย่างสะลึมสะลือ
อูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยกำลังฝึกกระบองอยู่ที่ลานเรือน
"ฮ่าๆ" เสียงหัวเราะครึกครื้นไม่เบา อาเหลยนั่งยองๆ บนราวกั้นดูอยู่ พลางทำมือทำไม้ะโโลดเต้นตาม
เหลียนเซวียนยืนเอามือไพล่หลังอยู่ชานระเบียงมองพวกเขาฝึกกระบอง คอยเอ่ยคำชี้แนะเป็พักๆ
ยามเซวียเสี่ยวหรั่นออกมาจากห้อง ดวงตาสามสี่คู่นั้นก็หันมาที่ตัวเธอพร้อมกัน
"เหตุใดพวกท่านตื่นกันเช้าอย่างนี้ ไม่ต้องเดินทางเสียหน่อยจะตื่นแต่เช้าทำไม" เซวียเสี่ยวหรั่นบ่นพึมพำ คนเหล่านี้ไม่รู้จักวันพักผ่อนกันบ้างเลยหรือ
เหลียนเซวียนหันไปมองพระอาทิตย์ที่ขึ้นสูงโด่งแล้ว
"ตอนเดินทางฟ้ายังไม่สว่างก็ต้องลุกขึ้นมา ได้พักผ่อนทั้งทีก็ต้องนอนให้เต็มอิ่มหน่อยสิ" เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกว่าตนเองมีเหตุผลเพียงพอ
ดวงตาของเหลียนเซวียนผุดรอยยิ้มฉายจากเบื้องลึก
สองพี่น้องข่งจินกับข่งหยินออกจากโรงเตี๊ยมแต่เช้าตรู่ ส่วนอาหารเช้าก็ตั้งอยู่ในห้องรับแขกของหมู่เรือนเล็ก
"วันที่ไม่ต้องเดินทางช่างแสนสบาย" เซวียเสี่ยวหรั่นกินโจ๊กหมูไม่ติดมันใส่เห็ดหอมพลางทอดถอนใจ
"ใช่เลยๆ นั่งรถม้าจนกระดูกแทบจะหลุดออกมาเป็ท่อนๆ อยู่แล้ว" อูหลันฮวาเอ่ยคล้อยตาม
เซวียเสี่ยวเหล่ยฉีกปาท่องโก๋ครึ่งชิ้นให้อาเหลย พลางกินโจ๊กหมูไปเงียบๆ
"เหลียนเซวียน พวกเราจะอยู่เมืองนี้นานเท่าไร" เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปถาม
ถัดจากเมืองลู่ิก็เป็ชายแดนแคว้นฉีแล้ว เข้าสู่ชายแดนแคว้นฉีมุ่งหน้าเมืองหลวงยังต้องเดินทางอีกยี่สิบวันโดยประมาณ
เซวียเสี่ยวหรั่นแค่นึกดูก็รู้สึกปวดก้นเสียแล้ว
"ประมาณสองสามวัน" เหลียนเซวียนครุ่นคิดก่อนตอบกลับไป ยามนี้พวกเหลยลี่น่าจะอยู่ระหว่างการเดินทาง
เซวียเสี่ยวหรั่นดวงตาเป็ประกาย ได้พักอีกสองวันย่อมดีอยู่แล้ว
"งั้นก็ดีเลย หลันฮวา เสี่ยวเหล่ย เดี๋ยวพวกเราออกไปเดินเล่นกัน"
อูหลันฮวายิ้มพลางพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่ไรมาเหลียนเซวียนไม่ชอบให้พวกนางออกไปเดินเล่นข้างนอก เซวียเสี่ยวหรั่นจึงมองข้ามเขาไปเสีย