บทที่ 142 ลงมือ
ในเวลานี้ เกือบทุกคนก็เดินมาที่จุดยิงและมองดูอย่างตั้งใจ สีหน้าจริงจังมาก
เพราะตงฟางสยงเป็หนึ่งในสี่อัจฉริยะของการรวมตัวครั้งนี้
ยกเว้นคุณชายชุยเสวี่ย เสวี่ยหานเฟย ผู้ฝึกกระบี่สงัดนิรันดร์ โม่ซิว และอัจฉริยะผู้หนึ่งที่ไม่ได้มาร่วมงานด้วย เขานับเป็ผู้ที่ทรงพลังที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น ชายมากตัณหาผู้นี้มีความมั่นใจและสงบอย่างยิ่ง ไร้ความกังวลใดๆ ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเขามีแนวโน้มชนะการแข่งขันครั้งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ตงฟางสยงกล้าเดิมพันสมบัติล้ำค่าเช่นแร่มิติเช่นนั้น แค่คิดก็รู้ว่าเขามั่นใจแค่ไหนว่าตนจะชนะ
“พลังไม่แย่” ดวงตาของเสวี่ยหานเฟยเป็ประกาย เขาส่ายพัดขนนกเบาๆ แล้วพูดกับตัวเอง
คุณชายชุยเสวี่ยมองดูตงฟางสยงทดสอบความแข็งแกร่งของคันธนู เขาเคลื่อนไหวอย่างราบรื่น รวดเร็ว และตรงเป้า ฝีมือยิงธนูของเขาจึงไม่น่าจะแย่
“ท่านพี่ ท่านคิดว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่เ้าคะ?” เสวี่ยหรูเยียนเดินเข้ามาถามด้วยเสียงแ่เบา ใบหน้าสวยของนางฉายแววกังวลเล็กน้อย
“ฮะๆ ถึงแม้คุณชายตงฟางจะดูแข็งแรงดุดัน แต่เขามีทักษะแรงส่งที่ยอดเยี่ยม ทรงพลัง และคล่องตัว ย่อมเปล่งประกายได้แน่นอน”
เสวี่ยหานเฟยยิ้ม ดวงตาหรี่เล็กลงจนเป็รูปพระจันทร์เสี้ยว ใบหน้ายังคงสงบ รอยยิ้มยังคงอ่อนโยน
“แล้วท่านพี่จะทำอย่างไร? ท่านจะชนะเ้าสารเลวนั่นได้ใช่หรือไม่เ้าคะ? จะปล่อยให้เขาไปสนทนากับคุณหนูฉู่แค่สองคนไม่ได้นะเ้าคะ!”
น้ำเสียงของสวี่ยหรูเยียนเย็นเยียบแต่ยังคงแ่เบา หากคนอื่นไม่ตั้งใจฟัง ก็ยากจะได้ยิน
อันที่จริง เสวี่ยหรูเยียนอยากแต่งงานพร้อมกับเสวี่ยหานเฟย นางจึงหวังว่าเสวี่ยหานเฟยจะเข้าใกล้ฉู่ซินเหยาได้
นางเชื่อว่าขอเพียงแค่เสวี่ยหานเฟยสามารถจัดการกับฉู่ซินเหยาได้ จวนตระกูลเสวี่ยก็จะสุขสันต์เป็สองเท่า เพราะนางรู้สึกว่าฉู่อวิ๋นไม่มีทางรอดพ้นจากเงื้อมมือนางได้
“หรูเยียน ไม่ต้องกังวล พี่ไม่เคยแพ้ในด้านพลังยุทธ์ รอดูสถานการณ์เถอะ หึๆ” เสวี่ยหานเฟยยิ้ม โบกพัดขนนกเล็กน้อยด้วยสีหน้าอ่อนโยน
การแข่งขันนี้เขาเป็คนเริ่ม ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
คุณชายชุยเสวี่ยจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายแผนการของเขา
สองพี่น้องต่างก็มีแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวเอง
“คุณชายตงฟาง ท่านทำได้หรือไม่เนี่ย?! อุ่นเครื่องมานานแล้วนะ!”
มีคนเริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมา เพราะั้แ่ตงฟางสยงมายืนอยู่ที่จุดยิง เขาก็ยกคันธนูขึ้นศึกษาตั้งท่าอยู่นานแล้ว แต่ยังคงไม่ออกแรงยิงเสียที
“จะรีบไปทำไม? ไม่แปลกใจเลยที่พวกเ้าถึงแพ้ เพราะไม่ศึกษาธนูอย่างละเอียดอย่างไรเล่า น่าขันจริงๆ!”
ตงฟางสยงแค่นเสียงใส่อย่างเ็า มองดูธนูและลูกศรอีกครั้ง แลดูครุ่นคิด
ทุกคนขมวดคิ้วและส่ายหัวไปมา แต่ก็เข้าไปหยุดไม่ได้ เพราะในกติกาการแข่งขันครั้งนี้ไม่ได้จำกัดระยะเวลายิง พวกเขาจึงทำได้เพียงปล่อยให้ตงฟางสยงศึกษาต่อไปเท่านั้น
“ถ้ายิงไม่ได้ก็ไม่ต้องยิงหรอก จะได้ไม่เสียเวลาคนอื่นเขา! ขืนยิงพลาดขึ้นมาจะได้ไม่ต้องอับอายขายหน้า! ฮ่าๆๆ!”
ฉู่อวิ๋นนอนแผ่สบายอยู่บนพื้นหญ้าจากไกลๆ หัวเราะล้อเลียนตงฟางสยง
“เชอะ! เ้าเด็กป่า หากข้ายิงชนะขึ้นมาก็อย่ามาร้องไห้ก็แล้วกัน!” ตงฟางสยงเหลือบมองฉู่อวิ๋นอย่างไม่สนใจนัก ก่อนจะหลับตาลง ดำดิ่งลงสู่ความคิดอันลึกซึ้ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนก็มองหน้ากันอย่างงงๆ หรือว่าตงฟางสยงกำลังขอความช่วยเหลือ? ยื้อเวลาไม่ยิงธนูเสียที แถมยังชั่งน้ำหนักคันธนูอย่างจริงจังอีกด้วย
“ดูเหมือนว่ากลุ่มปีศาจวัวจะไม่มีพิเศษอะไรนักหนา รู้จักแค่พูดจาวางก้าม” บางคนดูถูกในใจ
“แม้แต่อัจฉริยะพวกนั้นก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย...” ชายหนุ่มที่มีใบหน้าเ็าเหลือบมองตงฟางสยง จากนั้นก็จ้องมองที่ฉู่อวิ๋น และพูดอย่างเหยียดหยาม “เช่นนั้นคนป่าแบบนั้นก็หมดสิทธิ์จะชนะ”
“บางทีการแข่งขันยิงธนูครั้งนี้คงจะจบลงแบบนี้แล้ว ดูท่าว่าทุกคนจะได้ของเดิมพันคืนกลับไป” บางคนแอบดีใจ สายตาจับจ้องไปยังโต๊ะไม้ที่เต็มไปด้วยวัตถุิญญา
คนเหล่านี้คือคนที่แพ้การแข่งขันเมื่อครู่ ต่างก็หวังว่าจะไม่มีใครยิงหินเกล็ดม่วงได้ พวกเขาจะได้ได้รับของเดิมพันคืน ไม่ต้องสูญเสียสิ่งใด
“ฮ่าๆ! เอาล่ะ!"
ทันใดนั้น ตงฟางสยงก็ลืมตา ยกมือขึ้นตบหน้าอกอย่างมั่นใจ ทำให้ทุกคนต่างจดจ้องไปที่เขา
ทุกคนรู้ดี อัจฉริยะคนนี้กำลังจะลงมือ!
“นี่—!” ทันใดนั้น ฉู่อวิ๋นก็ะโออกมาอย่างเย้ยหยัน “เ้าท่องพระสูตรเสร็จแล้วหรือ? เมื่อครู่นี้เ้าสวดภาวนาต่อเทพเซียนให้ยิงโดนอยู่หรือ?!"
“หุบปาก! ไอ้สารเลว!” ตงฟางสยงตะคอกอย่างเ็า เ้าคนป่านี่วอนโดนตีจริงๆ!
ก่อนหน้านี้ ตงฟางสยงรู้สึกว่าฉู่อวิ๋นอายุน้อยกว่าเขาเพียงสองสามปี ดังนั้นจึงไม่คิดถือสาสั่งสอน เพื่อไม่ให้เกิดคำครหาว่ารังแกเด็ก
แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิ่งผยองและพูดจาประชดประชัน ทายาทของเผ่าปีศาจวัวจึงตัดสินใจอยู่เงียบๆ หากมีโอกาสจะต้องจับฉู่อวิ๋นมาแขวนคอสั่งสอน!
“หึ!”
เมื่อคิดเช่นนั้น ตงฟางสยงก็พ่นเสียงออกจากจมูกแล้วหยิบหอกสั้นยาวครึ่งหมี่ออกมาจากวงแหวนอวกาศ ลำหอกเรียบตรง ทำมาจากทองคำ เห็นได้ชัดว่ามันเป็อาวุธที่ดี
“นี่—!” เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉู่อวิ๋นก็เยาะเย้ยอีกครั้ง “จะไปสนามรบหรือ? รีบไปสังหารศัตรูหรือไร? เรากำลังแข่งยิงธนูกันอยู่นะ~”
“เ้าจะไปเข้าใจอะไร! หุบปากไป!!!” ตงฟางสยงเริ่มโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว
แต่ในยามนี้ เสวี่ยหานเฟยเองก็เดินยิ้มเข้ามา “คุณชายตงฟางเอาหอกออกมาทำไมหรือ? อย่างที่จอมยุทธ์อวิ๋นกล่าว เรากำลังแข่งทักษะการยิงธนูกันอยู่”
“ฮึ!” ตงฟางสยงยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจและกล่าวว่า “ถูกต้อง! เป็การทดสอบทักษะการยิงธนู แต่ไม่มีกฎว่าต้องใช้เพียงลูกศรนี่?”
“โอ้? คุณชาย ท่านหมายความว่าอย่างไร?...”
“ถุย ไม่คิดว่าคุณชายชุยเสวี่ยผู้สง่างามจะโง่เขลาเช่นนี้!” ตงฟางสยงหัวร่อยกใหญ่ จากนั้นก็เดินตรงไปทางหินเกล็ดม่วง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “แน่นอนว่า ข้าย่อมหมายถึง ...ยิงหอก!”
“ยิงหอก?!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ประหลาดใจ มีเครื่องหมายคำถามเขียนอยู่ทั่วใบหน้า
ต้องรู้ว่าแม้ว่าลูกธนูจะเบาและไร้พลัง แต่ก็ควบคุมง่าย และสิ่งที่ตงฟางสยงตั้งใจคือ เขา้าใช้หอกสั้นแทนลูกศร!
พลังที่มากกว่านี้อาจแทงทะลุหินเกล็ดม่วงได้ แต่ถ้าแรงไม่มากพอมันก็ไม่เสถียร วิถีหอกอาจเบนออกจากเป้าหมาย
“ดูฝีมือข้าเอาไว้! เ้าพวกหมอนปักลาย[1]เอ๋ย! คิดว่าข้าควบคุมลูกธนูจิ๋วพวกนั้นไม่ได้หรือ?”
“ข้าเพียงแค่ไม่ถนัดใช้ของเล็กจ้อยพันนั้น!”
หลังจากพูดจบ ตงฟางสยงก็หันกลับมา ยกคันธนูขึ้นแล้วพาดหอกสั้นลงไปบนสาย จากนั้นก็ง้างสายให้ตึง เต็มไปด้วยแรงกดดัน ดูคล้ายรูปปั้นที่สมบูรณ์แบบ ร่างกายสง่างามราวกับเทพา!
“ฟิ้ว--!”
ด้วยแรงะเิที่ดังสนั่น หอกสั้นก็พุ่งไปราวกับศรธนู มันแ่เบา แม่นยำ และแข็งแกร่งอย่างไม่มีใครเทียบ กลายเป็สายรุ้งสีทองพุ่งขึ้นไปในอากาศ!
พลังนี้น่ากลัวจริงๆ! แม้แต่คนที่อยู่ใกล้ตงฟางสยงที่สุดก็ยังถูกคลื่นอากาศผลักไสจนล้มลงกับพื้น ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“ตึง—!”
มีสายฟ้าพุ่งลงมาจากท้องฟ้าสีคราม ทุกคนเบิกตามองดูใกล้ๆ เห็นเพียงหอกด้ามสั้นที่ปักใกล้เป้ามากที่สุด และหินเกล็ดม่วงก็ะเิ!
ไม่ใช่ พูดให้ถูกคือหินเกล็ดม่วงไม่ได้ะเิเป็จุณ แต่หินชั้นนอกสุดนั้นแตกออกเป็เสี่ยงๆ ทำให้ขนาดของหินเล็กลงมาก
ตอนนี้ ก้อนหินได้เปลี่ยนจากสูงห้าหมี่เป็สามหมี่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ คนที่เหลือจะยิงหินเกล็ดม่วงได้ยากขึ้น
“ฮ่าๆๆ! นายน้อยเช่นข้าควบคุมพลังได้ดีใช่หรือไม่?! ฮ่าๆๆ!” ตงฟางสยงหัวเราะอย่างสำราญ โยนคันธนูทิ้งแล้วหันหลังจากไป
ในยามนี้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงเมื่อมองไปที่หินเกล็ดม่วงที่เล็กลงอย่างงุนงง
ไม่มีใครพูดอะไร เพราะผลที่ออกมานั้นน่าใยิ่ง!
ตงฟางสยงไม่เพียงแต่โจมตีวงในของเป้าหมายเท่านั้น แต่ยังทำลายหินรอบนอกลงด้วย ต้องใช้การควบคุมกำลังที่ทรงพลังแค่ไหนถึงจะทำเช่นนี้ได้?
คาดไม่ถึงเลย!
“นี่มัน... สำเร็จแล้ว?!” มีคนเอามือกุมหัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“ฮ่าๆ สมแล้วที่เป็คุณชายตงฟางผู้ยิ่งใหญ่ ใช้หอกแทนศรก็ได้ผลที่น่าตื่นตาเช่นนี้ สมเป็เทพา” นักพรตหญิงที่ดูธรรมดาบางคนปิดปากและยกยิ้มอ่อนช้อย
และในขณะที่ทุกคนต่างประหลาดใจ ตงฟางสยงก็เดินไปยังที่นั่ง ยกเหล้าขึ้นดื่มอีกแก้วใหญ่ และหันไปพูดกับฉู่อวิ๋น “ฮ่าๆ! เป็อย่างไรเ้าเด็กเหลือขอ? ยอมแพ้หรือไม่?”
ฉู่อวิ๋นยังไม่คิดจะกระตือรือร้นขึ้นมา เขาเหลือบมองไปที่ตงฟางสยง แล้วพูดว่า “ได้ใจอะไรนัก? การแข่งขันยังไม่จบ อีกอย่างเ้าโดนเป้าแล้วหรือ? ยังพลาดไปอีกหน่อยนี่?”
“เชอะ! ไม่โดนเป้าแล้วอย่างไร?” ตงฟางสยงแค่นเสียงอย่างเ็าและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้หินเกล็ดม่วงก็เล็กลงแล้ว ยากจะเล็งโดนอีก ข้าไม่เชื่อว่าจะยังมีคนยิงโดนเป้า! ข้าจะรอดูผลการแข่งขันอยู่ตรงนี้ ให้พวกเ้ายอมรับความพ่ายแพ้อย่างเต็มใจ
ฮิๆ~”
“โอ้?” ฉู่อวิ๋นยังคงนิ่งอยู่ “เช่นนั้นก็รอดู~”
ในเวลานี้ ทุกคนที่จุดยิงต่างวิตก เพราะหากไม่มีใครยิงโดนเป้า ชัยชนะครั้งนี้ย่อมตกเป็ของตงฟางสยงผู้มักมากเป็แน่
บางคนจึงเริ่มมีอารมณ์โมโห ลงมือยิงธนูทีละคน
แต่ตอนนี้หินเกล็ดม่วงเล็กลงแล้ว แม้ว่าบางคนจะโชคดียิงโดน แต่ก็โดนเพียงขอบๆ เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าไม่สำเร็จ
ผู้พ่ายแพ้มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนต่างก็ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
“ในเมื่อทุกท่านเริ่มท้อ เช่นนั้นข้าคุณชายเสวี่ยก็ขอเรียกความมั่นใจให้สักหน่อย ฮะๆ” ในตอนนี้เอง เสวี่ยหานเฟยเดินไปยังจุดยิง สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ทำให้จิตใจของทุกคนสั่นสะท้าน
ทุกคนรู้สึกว่าในบรรดาผู้เข้าร่วมทั้งหมด มีเพียงเสวี่ยหานเฟยเท่านั้นที่ยังมีหวังจะทำลายสถิติของตงฟางสยง
“คุณชายชุยเสวี่ยอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเขายิงธนูได้?” บางคนยังคงสงสัยในความสามารถของเสวี่ยหานเฟย
ยามนี้ เสียงกระซิบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นดังขึ้นไม่หยุด ต่างก็คิดว่าเสวี่ยหานเฟยคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก
แต่เสวี่ยหานเฟยหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ท่าทางสงบอย่างยิ่ง
เขาหยิบลูกศรขึ้นมาวางไว้บนสายธนูอย่างลวกๆ จากนั้นก็ระดมพลังปราณลงไป ทำให้ลูกศรถูกปกคลุมไปด้วยหมอกเย็น
จากนั้นเขาก็ง้างสายแล้วปล่อยศร
ทุกสิ่งดูเป็อิสระอย่างยิ่ง
“ฟิ้ว—”
ครั้นเมื่อลูกศรพุ่งไปในอากาศ ทุกคนก็เงียบกริบ ต่างจดจ่ออยู่กับศรลูกนั้นโดยไม่พูดอะไร
“แกร๊ก”
มีเสียงแตกดังก้องบนผิวหิน
มองเห็นลูกธนูพุ่งเข้าหาเป้าหมายอย่างแม่นยำ ราวกับหญ้าแกร่งในสายลม[2] หยัดตรงอย่างเงียบๆ แต่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ไร้ที่ติ
----------
[1] คนที่ไม่มีความสามารถ
[2] เมื่อมีลมแรง มีเพียงหญ้าแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะไม่ถูกปลิวไป เป็คำอุปมาว่าหลังจากการทดสอบที่โหดหินเท่านั้นจึงจะรู้ว่าใครแข็งแกร่งอย่างแท้จริง