ต้วนเหลยถิงถูกกลุ่มคนชุดดำสวมผ้าคลุมทั้งหมดล้อมไว้บนูเา แต่ทางฝั่งพั่วหุนกลับราบรื่นยิ่งนัก
พวกเขาหลบเลี่ยงตัวเมือง อ้อมไปตามเส้นทางเล็กบนูเา เร่งเดินทางข้ามวันข้ามคืนไม่หยุดพัก ในที่สุดก็เข้าสู่เขตหุบเขาลั่วสยาในยามฟ้าสางของวันที่สอง
กลุ่มคนที่มารอรับขบวนจากทั้งสามเส้นทาง ครั้นเห็นครอบครัวของตนเองกลับมาอย่างปลอดภัยก็ต่างกอดกันโดยมีน้ำตานองหน้า
ส่วนคนที่สูญเสียญาติมิตรยิ่งเศร้าโศกเสียใจ ลั่นคำสาบานว่าจะตามหาผู้ที่อยู่หลังม่านและคิดบัญชีเืให้จงได้
ชั่วขณะนั้น บริเวณกลางหุบเขาลั่วสยาเปี่ยมด้วยพละกำลัง ทุกคนพากันทำตามคำชี้แนะของต้วนเอ้อร์หลางและเหล่าองครักษ์เงา ฝึกฝนการเพาะปลูกทางการเกษตรอย่างเต็มกำลัง
โรงงานในหมู่บ้านเถาหยวนเองก็ดำเนินพิธีเปิดไปได้อย่างราบรื่น เนื่องจากมีป้ายเตือนของจวนว่าการอำเภอ จึงไม่มีผู้ใดกล้าก่อเื่อันใด
ทุกอย่างดูสุขสงบและอบอุ่น แต่วิกฤตซ่อนเร้นกลับกำลังคืบคลานมายังชายแดน
ต้วนเหลยถิงอาศัยความสามารถของมิติวิเศษค่อยๆ ปล่อยกายร่วงลงจากหน้าผาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ละครั้งที่อยู่ในยามคับขันจะแทรกกายเข้าไปในมิติวิเศษเพื่อหลบเลี่ยงก้อนหินแหลมคม ท้ายที่สุดจึงลงมาถึงก้นหน้าผาได้อย่างปลอดภัย
ในขณะที่ต้วนเหลยถิงกำลังหาทางออกและเร่งเดินทางกลับไป ทางฝั่งจวนว่าการของเมืองทั้งสามแห่งที่ชายแดนต่างก็ได้รับคำสั่งจากทางการพร้อมๆ กัน
ประชาชนของทั้งสามเมืองให้ยึดตามทะเบียนเป็หลัก หากภายในจวนมีบุตรชายอายุครบสิบสี่ปีขึ้นไป มีสามให้เลือกออกมาหนึ่ง มีห้าให้เลือกออกมาสอง ถูกบีบบังคับให้ไปร่วมสร้างกำแพงกั้นพรมแดน
หากไม่อยากเป็แรงงานเกณฑ์ แต่ละคนจะต้องจ่ายเงินสามสิบห้าตำลึงทุกเดือนจนกว่าการสร้างกำแพงจะแล้วเสร็จ
หลังจากข่าวคราวแพร่งพรายมาถึงหมู่บ้านเถาหยวน ทั้งหมู่บ้านถึงกับโกลาหลเสียแล้ว
ผู้ที่ฟังคำแนะนำของผู้ใหญ่บ้านเฉินต่างโชคดีที่ได้แยกจวนั้แ่เนิ่นๆ และลอบถกกันว่า
“ยังดีๆ พวกเราเชื่อฟังผู้ใหญ่บ้านเฉินถึงได้แยกจวนั้แ่เนิ่นๆ มิเช่นนั้นหากต้องไปสร้างกำแพงจริงๆ จะได้กลับมาหรือไม่ก็ยังไม่รู้”
“ใช่ๆๆ จวนของพวกข้ามีทั้งหมดห้าครอบครัว พี่น้องหลายคนล้วนถึงวัยแล้ว โชคดีที่แยกจวนั้แ่เนิ่นๆ มิเช่นนั้นหากครั้งนี้ถูกเลือกออกไปสองคน แล้วจะให้พวกข้าใช้ชีวิตเช่นไรในภายหน้า!”
“เคราะห์ดีนักๆ เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัดจริงๆ เมื่อยี่สิบกว่าวันก่อนเพิ่งจะแยกจวน เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ช่วยชีวิตคนสองคนในครอบครัวของพวกข้าแล้ว อมิตาภพุทธ ขอบคุณฟ้าดินเหลือเกิน!”
ครอบครัวของเคออู่ฝูถึงกับจุดธูปบูชาเพื่อขอบพระคุณฟ้าดินที่ทำให้พวกเขาได้พบคนดีๆ เช่นเคอโยวหราน
เพราะเชื่อคำของผู้ใหญ่บ้านเฉินจึงแยกครอบครัวของพวกเ้าหู่ทั้งสามออกเป็สามทะเบียน ส่วนผู้เฒ่าทั้งสองก็แยกเป็หนึ่งทะเบียนเช่นกัน จึงสามารถหลบเลี่ยงการเกณฑ์แรงงานในครั้งนี้ไปได้
เคออู่ฝูตื้นตันใจจนน้ำมูกน้ำตาไหล “ขอบพระคุณพระโพธิสัตว์ ขอบพระคุณผู้ใหญ่บ้านเฉิน ขอบพระคุณซานหลางสกุลต้วนกับโยวหราน พวกเ้าล้วนแต่เป็คนดี วันนี้ข้าเคออู่ฝูจุดธูปบูชา ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองคนดีๆ เหล่านี้ให้อยู่รอดปลอดภัย มีอายุยืนยาวด้วยเถิด”
ผู้ใหญ่บ้านเฉินที่ได้รับคำสั่งจากทางการถึงกับหนังศีรษะชาหนึบ รู้สึกเย็นเยียบั้แ่ปลายเท้าไปจนถึงแผ่นหลัง
ครอบครัวของพวกเขามีบุตรชายที่อายุครบไม่น้อยคน หากไม่แยกจวนและถูกเลือกออกไปสามหรือสี่คนในคราเดียว เช่นนั้นเขาที่เป็ผู้เฒ่าวัยแทบถูกฝังลงดินจะใช้ชีวิตต่อไปเช่นไร?
ผู้ใหญ่บ้านเฉินคิดใคร่ครวญ ในใจรู้สึกขอบคุณเคอโยวหรานยิ่งนัก เพราะยามนั้นเชื่อคำกล่าวของนาง ถึงได้ทำการแยกจวนั้แ่เนิ่นๆ
มิเช่นนั้นทุกคนที่อยู่ดีมีสุข ยังจะมีผู้ใดแยกจวนทั้งที่บิดามารดายังมีชีวิตอยู่ด้วยหรือ?
ทางฝั่งคนสกุลเฉินกับเคออู่ฝูต่างทอดถอนใจนับหมื่นนับพันครั้ง รู้สึกขอบพระคุณผู้ใหญ่บ้านเฉินที่กระทำการใหญ่ราวกับรู้ล่วงหน้าเสียก่อน
ทว่าทางฝั่งคนสกุลเคอกลับแตกตื่น โดยเฉพาะปู่รองกับปู่สามสกุลเคอ พวกเขาสองคนมีหลานเยอะที่สุด อีกทั้งโดยทั่วไปต่างก็ถึงวัยกันหมดแล้ว
การเกณฑ์แรงงานในครั้งนี้ของทางการ ยังไม่เอ่ยถึงเื่ที่แรงงานภายในจวนของพวกเขาหายไปกว่าครึ่ง คนไม่กี่ครอบครัวนี้ย่อมมิอาจหักใจให้บุตรหลานของตนออกไปทนลำบากได้
คนสกุลเคอนั่งไม่ติดเก้าอี้เสียแล้ว ต่างพากันปลุกระดมคนมุ่งหน้ามายังจวนผู้ใหญ่บ้านเฉินอย่างเอิกเกริก
พวกเขา้ามาหาผู้ใหญ่บ้านเฉินเพื่อขอคำอธิบาย เหตุใดคนสกุลเฉินแยกจวนแล้วไม่พาพวกตนแยกจวนด้วย ปล่อยให้พวกตนต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร?
ส่วนทางฝั่งสกุลต้วน ทันทีที่เคอโยวหรานได้ยินคำสั่งของทางการ นางก็นำเงินไปยังจวนผู้ใหญ่บ้านเฉินทันที
ยามนี้อย่าว่าแต่เดือนละสามสิบห้าตำลึงเงิน กระทั่งเดือนละเจ็ดสิบตำลึงเงินนางก็ยังควักออกมาได้โดยไม่ลังเล
นางเตรียมการเื่การเกณฑ์แรงงานเอาไว้ั้แ่ต้นแล้ว ชาติก่อนคนที่ไปสร้างกำแพงกั้นพรมแดนในหมู่บ้านเถาหยวนพากันรอดกลับมาไม่ถึงครึ่ง
ภายหลังเพราะเกิดภัยแล้งและน้ำท่วมก็มีคนตายอีกจำนวนไม่น้อย เนื่องจากเป็ภัยธรรมชาติ ทั่วทั้งราชสำนักจึงวุ่นวายไปหมด
ในชาตินี้ แม้นางยังไม่มีความสามารถมากนัก แต่หากยึดตามความทรงจำของตนเพื่อช่วยเหลือคนใกล้ชิดให้พ้นอันตรายสักหน่อย ก็นับว่าเป็เื่ที่พอทำได้
เคอโยวหรานเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าจวนและมอบเงินในส่วนของสกุลต้วนออกไป ด้านหลังพลันเห็นปู่รองกับปู่สามสกุลเคอที่พาคนสกุลเคอบุกเข้ามาในจวนผู้ใหญ่บ้านเฉิน
ครั้นคนสกุลเฉินได้ยินเื่ราวก็รีบคว้าอาวุธข้างกายพุ่งออกจากจวน พากันห้อตะบึงมายังจวนผู้ใหญ่บ้านเฉิน หมายจะขวางคนสกุลเคอเอาไว้
ปู่รองสกุลเคอยังไม่ทันก้าวเข้าประตูก็ร้องตะคอกว่า “คนแซ่เฉิน ท่านรู้ั้แ่แรกว่าราชสำนักจะเกณฑ์แรงงาน ถึงได้แยกจวนคนสกุลเฉินทั้งหมดใช่หรือไม่?
ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน ท่านรู้ล่วงหน้าแต่กลับไม่บอกพวกข้า ท่านตั้งใจจะทำอันใดกันแน่?”
ตามคำสั่งของทางการ ภายในจวนของปู่รองสกุลเคอจะต้องเลือกบุรุษออกไปสี่คน ยามนี้เขาจึงโกรธจัดจนเต้นเร่าๆ เส้นเืดำข้างขมับถึงกับเต้นตุบ
“ผู้ใหญ่บ้านเฉิน ข้านับถือท่านเป็ผู้มีลำดับาุโสูงกว่า ไม่ว่าท่านพูดสิ่งใดพวกข้าล้วนพยายามให้ความร่วมมือ แต่นี่ท่านทำอันใด?
ท่านอยากจะไล่สกุลเคอของพวกข้าออกจากหมู่บ้านเถาหยวนโดยอาศัยการเกณฑ์แรงงานในครั้งนี้ จากนั้นให้สกุลเฉินของพวกท่านวางอำนาจบาตรใหญ่ใช่หรือไม่? ทำเช่นนี้ชักจะมากเกินไปแล้ว”
โทสะของคนสกุลเคอทะยานขึ้นสูง มิอาจกดข่มเอาไว้แม้แต่นิด
“ใช่ ในฐานะที่ท่านเป็ผู้ใหญ่บ้าน ควรจะพาพวกข้าหลบเลี่ยงอันตรายไปด้วยกันจึงจะถูก ทว่าท่านกลับทำอันใด? เหตุใดถึงพาแค่คนสกุลเฉินแยกจวน กลับปล่อยให้พวกข้าต้องไปสร้างกำแพง ท่านละอายใจบ้างหรือไม่?”
คนสกุลเคอร้องโหวกเหวกและหมายจะกรูเข้าไปในจวนผู้ใหญ่บ้านเฉิน ครั้นเข้าไปได้ก็หมายจะลงไม้ลงมือ ไม่ปล่อยโอกาสให้ผู้ใหญ่บ้านเฉินอธิบายเลยสักนิด
คนสกุลเฉินมีจำนวนน้อยกว่า มิอาจต้านทานจึงถูกกดดันให้ทำได้เพียงถอยหลังออกไป ผู้ใหญ่บ้านเฉินโบกมือพลางร้องะโจนคอแหบแห้ง
“เหล่าคนสกุลเคอ พวกเ้าอย่าได้เหิมเกริม ยามนั้นพวกเ้าไม่อยากแยกจวนเอง เหตุใดถึงได้โทษว่าเป็ความผิดของข้าเล่า?”
แต่มีหรือคนสกุลเคอจะยอมฟัง พวกเขาต้องรีบหาที่ระบายโทสะซึ่งมีอยู่เต็มอก จึงพากันพยายามพุ่งเข้าไปข้างในสุดกำลัง
พวกเขาทุบทำลายข้าวของทั่วทั้งลานเรือนของผู้ใหญ่บ้านเฉิน ทั้งอ่างน้ำและหินโม่ต่างก็ไม่รอดพ้นภัยในครั้งนี้ เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังจะเข้ามาทำร้ายคนและพุ่งตรงมาทางผู้ใหญ่บ้านเฉิน
เคอโยวหรานพลันร้องเรียกด้วยความรีบร้อน “อิ่งอีกับอิ่งซานฟังคำสั่ง จัดการทุ่มคนสกุลเคอที่พากันเหิมเกริมลงกับพื้นให้หมด”
“ขอรับ” องครักษ์ทั้งสองรับคำสั่งแล้วทะยานกายออกมาจากมุมมืด
“อ๊ะ...ไอ้หยา...”
“โอ๊ย...”
“เจ็บ...โอ๊ย...”
เงาสองร่างกระจัดกระจายอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว กลุ่มคนสกุลเคอที่กำลังเหิมเกริมต่างก็ล้มลงกับพื้นอย่างมิอาจลุกขึ้นมาได้เสียแล้ว
คนสกุลเคอแต่ละคนล้วนคลำเอวของตนพลางร้องด้วยความเ็ป
ปู่รองกับปู่สามสกุลเคอที่นำหน้าพากันชะงักฝีเท้า เมื่อเผชิญหน้ากับอิ่งอีและอิ่งซาน พวกเขาก็กลืนน้ำลายดังอึกพลางถอยหลังไปหลายก้าว
ปู่รองสกุลเคอพลันเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เคอโยวหราน พวกข้ามาหาผู้ใหญ่บ้านเฉินเพื่อคุยธุระ เกี่ยวข้องอันใดกับเ้า? เ้ายังเป็คนสกุลเคออยู่หรือไม่? ข้าขอเตือนเ้าว่าทางที่ดีอย่าได้ยุ่งไม่เข้าเื่ให้มากนัก มิเช่นนั้นอย่าโทษว่าพวกข้า...”
คำว่าขับออกจากสกุลยังไม่ทันถูกเอ่ยออกไป ทันใดนั้นก็คล้ายกับปู่รองสกุลเคอจะนึกบางสิ่งขึ้นได้จึงรีบหุบปากลงทันที