“พวกเ้าได้ยินกันหรือยัง ศิษย์สายตรงซือคงเสวียนของรองเ้าสำนักชิงอวิ๋นมาถึงเมืองหลวงแล้ว ได้ยินมาว่าเขาเข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ในครั้งนี้ด้วย!”
“อืม ข้าได้ยินมาเหมือนกัน ลือกันว่าตอนนี้ซือคงเสวียนเข้าวังหลวงและกำลังดื่มด่ำกับชนชั้นสูงอยู่”
“ซือคงเสวียนคือศิษย์สายตรงของรองเ้าสำนักชิงอวิ๋น ว่ากันว่าตบะของเขาอยู่ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดเหมือนเว่ยเจิ้นเทียน ในสำนักชิงอวิ๋นถือว่ามีฝีมือค่อนข้างร้ายกาจ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะมีใครในอาณาจักรเล็ก ๆ เช่นนี้จะทัดเทียมได้ ต่อให้เป็เว่ยเจิ้นเทียนหนึ่งในสี่อัจฉริยะบุรุษก็ไม่แน่ว่าจะใช่คู่มือของซือคงเสวียน ดูท่าการประลองยุทธ์เลือกคู่ในครั้งนี้จะมีตัวแปรอยู่มากโขเลยทีเดียว!”
หลาย ๆ คนต่างพูดถึงการมาเยือนของซือคงเสวียน ขณะเดียวกันก็ทำให้การประลองยุทธ์เลือกคู่น่าสนใจมากขึ้น
ณ สำนักยุทธ์เทียนเสวียน เย่เฟิงยังคงบำเพ็ญตบะ ทั้งยังใช้เวลาสองวันในการหลอมพลังงานของอู๋เจ๋อ ขณะนั้นมีแสงจาง ๆ ปกคลุมร่างเย่เฟิงหนึ่งชั้น ทั้งยังมีพลังประหลาดโคจรบนร่างเขา
จากนั้นกลายเป็ลวดลายประหลาดที่ถักทอกันอย่างต่อเนื่อง ส่วนภายในร่างกายของเย่เฟิง พลังหยวนเปลี่ยนไปเป็บริสุทธิ์และใกล้ถึงจุดวิกฤติของขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 สูงสุด
หากพยายามมากกว่านี้ เย่เฟิงจะข้ามผ่านก้าวสุดท้ายไปได้ เขาจึงนำยาเพิ่มหยวนหนึ่งเม็ดออกจากแหวนมิติ ก่อนจะใส่ปากกลืนลงท้องอย่างไม่ลังเล จากนั้นเย่เฟิงเริ่มลองทะลวงขั้นพลังโดยอาศัยพลังยาเพิ่มหยวน จู่ ๆ พลังยาโคจรไปทั่วร่างกายของเย่เฟิงและผสานกับพลังหยวน หล่อเลี้ยงเส้นเอ็นกระดูกเือย่างต่อเนื่อง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด รอบกายเย่เฟิงยังคงเรืองรองแสง เส้นปราณขยายตัวมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ พลังหยวนที่มีเพิ่มมากขึ้นก็ไหลเวียนทั่วร่างกาย ศักยภาพทุกด้านถูกยกระดับ
จากนั้นเย่เฟิงเก็บพลัง ก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับลมปราณเปลี่ยนไปสุขุมขึ้นกว่าเดิม ดวงตาคู่นั้นยังเปลี่ยนไปลึกล้ำ ประหนึ่งท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาว
“ในที่สุดก็ทะลวงได้แล้ว พลังของข้าในเวลานี้ก้าวหน้าขึ้นมากจนสามารถเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดทั่วไปและเอาชนะอีกฝ่ายได้” เย่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
บัดนี้เขาอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 และสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดได้ นับว่าเอาชนะแบบข้ามไปหกระดับ เกรงว่าคนรุ่นเยาว์ทั่วทั้งแดนชิงอวิ๋นอาจหาคนที่สองเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว
“บำเพ็ญตบะรอบนี้ข้าใช้เวลาไปสามวัน วันนี้น่าจะเป็วันประลองยุทธ์เลือกคู่แล้ว”
เย่เฟิงพึมพำขณะมองแสงแดดยามเช้าที่นอกหน้าต่าง เขาไม่มีทางลืมวันสำคัญเช่นนี้ เมื่อหวนนึกถึงการพบจ้าวซินอี๋ครั้งสุดท้ายและสายตาคาดหวังของนาง เย่เฟิงก็รู้ว่าตัวเองต้องพยายามอย่างหนัก เขาต้องแสดงให้ดี ๆ ในการประลองยุทธ์เลือกคู่
จากนั้นเย่เฟิงออกจากห้อง ออกจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียนตัวคนเดียว ก่อนจะมุ่งหน้าสู่วังหลวง บททดสอบกำลังรอเขาอยู่
ณ วังหลวงแห่งอาณาจักรจ้าว หลังจบงานชุมนุมหวงปั่ง การประลองยุทธ์เลือกคู่ในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็ยุครุ่งเรืองที่สอง เมื่อดูจากขอบข่าย การประลองยุทธ์เลือกคู่นั้นถือเป็ยุครุ่งเรืองสูงสุด
อัจฉริยะระดับหัวกะทิจากกองกำลังทั่วทั้งแดนชิงอวิ๋นต่างมารวมตัวกัน เพื่อชิงโอกาสที่จะได้แต่งงานกับองค์หญิงซินอี๋สาวมงามอันดับหนึ่งแห่งแดนชิงอวิ๋น
ขณะนั้นที่ตำหนักโอ่อ่าแห่งหนึ่งในวังหลวง องค์าาจ้าวนั่งบนบัลลังก์ พร้อมกับมีกลิ่นอายาาแผ่ออกจากชุดัทอง ทำให้ผู้ใดที่มองปราดเดียวก็ต้องยอมศิโรราบ
ซึ่งมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านล่างบัลลังก์ ชายผู้นี้คือทูตที่องค์าาไหว้วานไปส่งวัตถุดิบให้เย่เฟิงที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน
ทูตผู้นี้คือขุนนางชั้นสูง เป็ผู้มีอำนาจสูงส่ง เขามีนามว่าจงเหริน เขาเป็ผู้ภักดีต่อองค์าามาหลายสิบปี ดังนั้นองค์าาจึงเชื่อใจจงเหริน เื่สำคัญบางอย่างก็วางใจที่จะให้จงเหรินเป็คนจัดการ
เช่นเดียวกับการรักษาองค์าาที่ฝากฝังความหวังไว้กับเย่เฟิง ซึ่งมีเพียงจงเหรินคนเดียวที่ทราบเื่นี้ แม้แต่องค์ชายใหญ่จ้าวหยางและองค์ชายรองจ้าวเยี่ยก็ยังไม่ทราบ
เห็นชัดว่าสถานะของจงเหรินที่อยู่ในใจขององค์าาจ้าวสำคัญมากเพียงใด
“กระหม่อมเห็นองค์าาฟื้นตัวได้ดีเช่นนี้ ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” จงเหรินกล่าวพร้อมรอยยิ้มด้วยความเคารพนอบน้อม จงเหรินรู้สึกว่าเขาได้เห็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นภายใน 20 กว่าวันมานี้
องค์าาได้รับาเ็จากฝ่ามือทมิฬมานานหลายปี มิอาจรักษาให้หายขาด มีแต่อาการาเ็จะแย่ลง ในหนึ่งปีมานี้อาการหนักมากจนถึงขั้นใกล้สิ้นอายุขัย แม้แต่หมอหลวงหรือหมอมากฝีมือก็มิอาจรักษาได้
แต่บัดนี้ผ่านมา 20 กว่าวัน อาการาเ็ขององค์าาถูกขจัดสิ้น นั่นเป็เพราะองค์าาใช้ยาจากชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีนามว่าเย่เฟิง ถึงทำให้เกิดปาฏิหาริย์เช่นนี้ขึ้น
เื่ทั้งหมดนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเป็อย่างมาก หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง จงเหรินก็ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
“เคราะห์ดีที่ได้ยาศักดิ์สิทธิ์จากเย่เฟิง เด็กคนนั้นช่วยข้าไว้!”
องค์าาลูบเคราพลางดวงตาเผยประกายอย่างพึงพอใจ “จงเหริน เ้านำราชโองการของข้าไปยังสนามประลองยุทธ์เลือกคู่เพื่อแจ้งให้เย่เฟิง หากไม่มีเย่เฟิง เกรงว่าชีวิตข้าคงสิ้นไปนานแล้ว!”
น้ำเสียงขององค์าาสั่นไหว ซึ่งการหลุดพ้นจากปราณทมิฬทำให้เขาผ่อนคลายเป็อย่างมาก เสมือนยกหินก้อนใหญ่ออกจากอก ส่งผลให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาก ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้เย่เฟิง เย่เฟิงคือผู้มอบชีวิตใหม่ให้แก่เขา ดังนั้นเขาจึง้าขอบคุณเย่เฟิงดี ๆ
“พ่ะย่ะค่ะ!” จงเหรินได้ยินเช่นนั้นก็ตอบรับในทันที จากนั้นองค์าาลุกขึ้นหยิบพู่กันจุ่มหมึกและลงมือเขียนราชโองการ เมื่อเขียนเสร็จจึงส่งให้จงเหริน จงเหรินรับไป ก่อนจะออกจากตำหนักมุ่งสู่สนามประลองยุทธ์เลือกคู่
การประลองยุทธ์เลือกคู่ขององค์หญิงจ้าวซินอี๋ ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์จากทั่วสารทิศมารวมตัวที่เมืองหลวงแห่งอาณาจักรจ้าว และสถานที่จัดก็คือในวังหลวง
หาก้าเข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ เช่นนั้นก็ต้องผ่านการคัดเลือก ซึ่งคุณสมบัติคือชายหนุ่มอายุต่ำกว่า 25 ปีและมีตบะอยู่ขั้นยุทธ์แท้ ถึงอย่างไรฝ่ายหญิงก็คือองค์หญิงผู้มีฐานะสูงศักดิ์ หากทุกคนเข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ เกรงว่าจะทำให้ราชวงศ์เสียหน้า
ประการแรกคือผู้เข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ต้องเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ประการที่สองคือผู้เข้าร่วมต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ไร้จุดด่างพร้อย ประการที่สามคือผู้เข้าร่วมต้องมีเื้ัคอยสนับสนุน หากไม่ตรงตามเงื่อนไขสามข้อนี้ แม้มีพลังแกร่งกล้าเพียงใด แต่ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม
ขณะนั้นที่ทางเข้าวังหลวง มีองครักษ์คอยตรวจสอบและคัดเลือกอยู่ที่หน้าประตู หากผ่านการคัดเลือกของพวกเขาจึงจะมีสิทธิ์เข้าวังหลวง ดังนั้นจึงมีคนรุ่นเยาว์รอต่อแถวอยู่หลายพันคน
เย่เฟิงมาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน แต่เมื่อองครักษ์ผู้หนึ่งเห็นเย่เฟิงมาคนเดียวโดยไร้ซึ่งผู้ติดตามก็สบประมาทเขาทันที จากนั้นกล่าวกับเย่เฟิงว่า “เชิญเข้าการคัดเลือกด้านนั้น หากตรงตามเงื่อนไข จึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่”
เมื่อเย่เฟิงเห็นผู้คนมากมายต้องผ่านการคัดเลือกก็ไม่ได้ถือสาองครักษ์ ก่อนจะเดินไปยังจุดคัดเลือก
ครู่ต่อมา เกิดความวุ่นวายในหมู่ผู้คนขึ้นกะทันหัน ก่อนจะเห็นว่าไม่ไกลออกไปมีคนและม้าสามกลุ่มกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ สามกลุ่มนี้สวมเครื่องแต่งกายต่างกัน แต่กลับดูน่าเกรงขาม ทุกกลุ่มล้วนมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดหลายคน และความเกรงขามเ่าั้ไม่ด้อยไปกว่าคนใหญ่คนโตที่เพิ่งมาถึง
“เป็องค์รัชทายาทเว่ยเจิ้นเทียนแห่งอาณาจักรเว่ย องค์ชายหวงเหยียนิแห่งเมืองลอยฟ้า องค์ชายเหลียงปู้ผั่วแห่งอาณาจักรเหลียง สามในสี่อัจฉริยะบุรุษมาเยือนที่นี่ การประลองยุทธ์เลือกคู่ชักน่าสนใจแล้วสิ!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว เขาจำคนสามกลุ่มนี้ได้ในทันที
ถึงอย่างไรด้วยฐานะของพวกเขา การจะเห็นสามอัจฉริยะบุรุษปรากฏตัวพร้อมกันนั้นไม่ใช่เื่ง่ายเลย
เย่เฟิงหันไปมองทางด้านนั้น ก่อนจะเห็นเว่ยเจิ้นเทียน หวงเหยียนิ และเหลียงปู้ผั่วอยู่ในสามกลุ่มนั้น เมื่อสามกลุ่มนั้นมาถึงจุดคัดเลือก ไม่นานพวกเว่ยเจิ้นเทียนก็เห็นเงาร่างของเย่เฟิงอยู่ในฝูงชน
“ท่านพูดถูก สารเลวนั่นปรากฏตัวที่นี่จริง ๆ ด้วย!”
เมื่อหวงเหยียนิพบเจอเย่เฟิงอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็เผยประกายเย็นเยือกและแฝงไปด้วยความอาฆาต แต่เขารู้ว่าที่นี่แห่งนี้ไม่ใช่เมืองลอยฟ้า มิอาจสังหารคนได้ตามใจ ดังนั้นหวงเหยียนิจึงปล่อยเย่เฟิงไปชั่วคราวก่อน
“สวะ เ้ามาทำอะไรที่นี่?” เว่ยเจิ้นเทียนเอ่ยถามเย่เฟิงพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาทราบเื่ที่เย่เฟิงทำกับอาณาจักรเว่ยเขาแล้ว เขาจึงเกลียดเย่เฟิงเป็อย่างมาก
“เ้ามาได้ แล้วเหตุใดข้าจึงมาไม่ได้?” เย่เฟิงเหยียดยิ้มอย่างเย็นะเืพลางสบตามองเว่ยเจิ้นเทียน โดยที่เขาไม่สะทกสะท้านต่อพลังที่อีกฝ่ายปลดปล่อยมาเลยแม้แต่นิดเดียว
“หลังจากวันนี้ไปองค์หญิงซินอี๋จะต้องแต่งเข้าราชวงศ์เว่ยข้า ไว้ชิงอันดับที่หนึ่งของการประลองยุทธ์เลือกคู่ครั้งนี้สำเร็จ ข้าจะมาคิดบัญชีเ้าทีหลัง!” เว่ยเจิ้นเทียนกล่าวเสียงเย็น พร้อมกับมองเย่เฟิงด้วยสายตาคมกริบ จากนั้นเห็นคุมเชือกบังเหียนม้าศึกไปยังหน้าประตูวังหลวง
“สวะ สิ่งที่เ้าก่อเื่ที่เมืองลอยฟ้า ข้าหวงเหยียนิจะต้องทำให้เ้าชดใช้ด้วยราคาที่แสบเ็ปทุกข์ทรมาน!” หวงเหยียนิกล่าวเสียงเย็น ความแค้นที่เขามีต่อเย่เฟิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเว่ยเจิ้นเทียนแม้แต่น้อย
“ข้าจะรอดู!” เย่เฟิงตอบกลับทันที
ส่วนเหลียงปู้ผั่วผ่านเย่เฟิงไปพร้อมกับสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม
