เยี่ยนเจาเจาตายแล้ว
นางยังจำเนินเขาเล็กๆ ด้านหลังจวนเหยียน ความคึกคักตระการตาของบ้านใหญ่ ความเงียบสงบสง่างามของบ้านรอง และบรรยากาศอึมครึมเลวร้ายของบ้านสามได้เป็อย่างดี
ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนางอีก เพราะนางได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
หลังฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ผู้สืบราชสมบัติในยามนี้คือเหลียงอิน โอรสองค์ที่ห้าของฮองเฮา ผู้เคยปราศจากชื่อเสียงเรียงนามไร้อำนาจใดในอดีตชาติ
เหลียงอินเป็คนรักั้แ่สมัยเด็กของนาง นางเรียกเขาว่าพี่ชายห้า เยี่ยนเจาเจามีความรักลึกซึ้งต่อเขา จนคิดเอาเองว่าเราจะได้ครองรักจนแก่เฒ่าไปด้วยกัน
แต่กลับเป็เช่นนั้นไม่
หลังจากบิดามารดาของเยี่ยนเจาเจาถึงแก่กรรม พวกเขาได้มอบอำนาจในมือทั้งหมดให้แก่นาง กระทั่งฮองเฮาที่ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วยอาการประชวรยังมอบองครักษ์จินอู๋ [1] ครึ่งหนึ่งให้แก่นาง
และเยี่ยนเจาเจากลับยกสิ่งเหล่านี้ให้เหลียงอิน
เหลียงอินกล่าวว่าเขา้าเป็ฮ่องเต้ ทั้งยังกล่าวอีกว่าใต้หล้านี้มิอาจขาดผู้ปกครองได้ เยี่ยนเจาเจาเชื่อเช่นนั้น จึงทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยเขาขึ้นครองบัลลังก์ที่สูงที่สุดในใต้หล้า
นางคิดว่าตนเองสามารถใช้ความจริงใจนำพาเครื่องราชอิสริยยศมามอบให้ ทว่าสิ่งที่นางได้รับกลับมาคือการที่เหลียงอินในอาภรณ์ดิ้นทองสีเหลืองสว่างหลังฉากกั้นพาเพชฌฆาตที่ลงมือรวดเร็วแม่นยำมาตอบแทนนาง
ไข่มุกตะวันออกลูกใหญ่คู่หนึ่งปักอยู่บนรองเท้าของเหลียงอิน ยามที่เยี่ยนเจาเจาล้มลงกับพื้นก็เห็นเพียงไข่มุกกลมวาวเปล่งประกายคู่นี้
ลมกรุ่นกลิ่นหอมโชยเข้ามา ชุดคลุมลากบนพรมบรรณาการจากปัวซือ [2] จนเกิดเสียงพรืดๆ แ่เบา “ฝ่าา องครักษ์จินอู๋และอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาขององค์หญิงต่างยุยงให้เกิดการฏ เก็บนางไว้ย่อมไม่มีค่าอีกต่อไป แผนการร้ายของจวนเยี่ยนพร้อมดำเนินการทุกเมื่อ หากปล่อยนางไว้จะไม่ดีนะเพคะ”
น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นเป็ของเยี่ยนฟางหวา ญาติผู้พี่ของเยี่ยนเจาเจา เยี่ยนฟางหวาเป็บุตรสาวที่เกิดแต่ฮูหยินเอกจากบ้านใหญ่ ผู้สุภาพ เยือกเย็น อ่อนโยน นางมาพร้อมรูปโฉมที่งดงามล่มบ้านล่มเมือง
ครั้งนั้น สมัยบ้านใหญ่ยั่วโทสะฮองเฮาเพราะเื่ไสยเวทจนเกือบโดนปะาทั้งตระกูล เป็เยี่ยนเจาเจาเองมิใช่หรือ ที่แบกรับโทษปะาศีรษะ วิ่งเข้าวังไปขอร้องฮองเฮาให้ทรงเพิกถอนคำสั่ง
คุณหนูสูงศักดิ์ั้แ่เกิดอย่างนาง อดทนคุกเข่าหน้าตำหนักจินหลวนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะถึงสามวันสามคืนติดต่อกัน จนภายหลังหัวเข่าทิ้งอาการาเ็เรื้อรังรักษาไม่หายไว้ ทว่าในที่สุดนางก็สามารถขอร้องจนฮองเฮาถอดถอนคำสั่งและไว้ชีวิตคนบ้านใหญ่ไว้ได้สำเร็จ
แต่มาตอนนี้ เยี่ยนฟางหวากลับบอกให้นางไปตาย?
เยี่ยนเจาเจารู้สึกฉงน นางอยากถามว่าเพราะเหตุใด ทว่าลำคอกลับมิอาจเปล่งเสียงได้อีกแล้ว
เมื่อตอนนางอายุสิบสอง นางได้ช่วยดื่มสุราพิษแทนเหลียงอิน โชคดีที่รอดตายมา ทว่ากลับมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีกชั่วชีวิต
เวลานั้นเหลียงอินถูกลดขั้นเป็เพียงสามัญชน ใบหน้าของเขาซีดเซียวขณะกำลังโอบกอดเจาเจาผู้ดื่มสุราพิษเพื่อเขาจนพูดไม่ได้นับแต่นั้น เขาบอกว่าในอนาคตจะแต่งตั้งนางเป็ฮองเฮา ไม่ว่าจะมีหญิงงามมากมายเพียงใดก็จะขอรักแต่นางเพียงผู้เดียว
ทว่าวินาทีนี้ ริมฝีปากบางของเหลียงอินที่เผยอออก น้ำเสียงเขากลับเต็มไปด้วยความเฉยชา ไม่แยแส
“ฆ่า”
ทรวงอกเจ็บจนด้านชา ในที่สุดเยี่ยนเจาเจาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเยี่ยนเหิง ท่านพ่อของนางถึงด่าว่านางผิด
นางชิงชังที่เหลียงอินพลิกลิ้น ไร้ความปรานี หลังจากหลอกใช้นางจนตนเองสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้สำเร็จก็ทิ้งนางให้ตายอย่างไม่ไยดี
นางยังชิงชังพี่สาวที่เกิดแต่ฮูหยินเอกผู้หน้าไหว้หลังหลอก แทนคุณด้วยการบูชาโทษ ปรารถนาให้นางตายไม่พอ ยังข้ามศพนางไปแต่งงานกับเหลียงอินอีก
แต่นางชิงชังตัวเองยิ่งกว่าที่ถูกสิ่งที่เรียกว่าความรักปิดบังสายตา กระดูกบิดามารดายังไม่ทันเย็นก็รีบรุดมอบอำนาจของพวกเขาไปวางไว้แทบเท้าเหลียงอินผู้กลายเป็สามัญชน คำนวณแผนการหามรุ่งหามค่ำเพื่อปูอนาคตทุกอย่างให้กับเขา สุดท้ายกลับเป็การทำชุดแต่งงานให้คนอื่นแทน
เมื่อมองปิ่นระย้าหงส์เป็แพสูงสง่าน่าครั่นคร้ามบนมวยผมของเยี่ยนฟางหวา เยี่ยนเจาเจาพลันรู้สึกเวียนหัวตาลาย
พวกศัตรูของนางใช้ชีวิตมั่งคั่งโดยปราศจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีได้อย่างไร?
เดิมทีชีวิตนี้นางสามารถเสพความฟุ้งเฟ้อได้ไม่จำกัด ทว่าสุดท้ายกลับมาพ่ายแพ้ให้กับความโง่เขลาของตนเอง ช่างน่าขันนัก
สติของเยี่ยนเจาเจาเริ่มพร่าเลือน ใบหน้าของเยี่ยนฟางหวาค่อยๆ เลือนหายไป ความทรงจำมากมายกลับปรากฏขึ้นมาแทนที่เบื้องหน้า
องค์หญิงฉงหยาง มารดาของนาง กำลังถือไม้บรรทัดบังคับนางที่อายุหกขวบท่องหนังสือ
นางมัวแต่ห่วงเล่น พอท่องหนังสือไม่ได้จึงโดนตี ทั้งๆ ที่ฝ่ามือไม่เจ็บสักนิด แต่นางกลับกรีดร้องเสียงดังะเืเลื่อนลั่น จนมารดาผู้ไร้อารมณ์เสมอรู้สึกปวดใจ หยิบผลไม้เชื่อมมากล่อมเกลี้ยงนาง
นางยังจำได้อีกคนหนึ่ง หนานิเหอ ญาติผู้พี่คนรองของนาง
ยามนั้นนางยังเล็กนัก โวยวายจะออกจากจวนไปดูเทศกาลโคมไฟ เขาก็ยอมลอบพาเจาเจาออกไป แสงโคมในราตรีนั้นสว่างไสวราวทิวากาล เมื่ออยู่ข้างหลังเขา เจาเจาไม่โดนลมเย็นต้องผิวเลยสักนิด ทิวทัศน์วิจิตรตระการตาของเมืองเซียงเฉิงยังดีไม่เท่าหนึ่งรอยยิ้มงดงามของเขาเลยด้วยซ้ำ
ทว่าน่าเสียดายที่สิ่งใดในโลกนี้ล้วนมิอาจคาดเดา ่เวลาดีๆ นั้นยากจะพานพบ
มารดาพลีชีพในสมรภูมิรบ ยามนางอายุสิบขวบ นับแต่นั้นมา เยี่ยนเหิง บิดาผู้สง่างามที่สุดในใต้หล้า ผู้เก่งกาจในงานกวีภาพเขียน กลับเอาแต่ร่ำสุราทั้งวันทั้งคืน ไม่ถึงครึ่งปีก็ป่วยตายจากไป
ธงสีขาวในห้องโถงไว้ทุกข์โบกปลิวไสวตามสายลม ต้นซิ่ง [3] ตรงมุมกำแพงเหี่ยวแห้ง เยี่ยนเจาเจากลายเป็เด็กกำพร้าในที่สุด
ความทรงจำสุดท้ายหยุดชะงักตรงตำหนักจินหลวนที่ถูกประดับประดาด้วยผ้าประดับและโคมไฟ เหลียงอินจับมือขาวเนียนของเยี่ยนฟางหวา รอยยิ้มอ่อนโยนบางๆ ประดับบนใบหน้าหล่อเหลาเ็า
เขามอบราชโองการแต่งตั้งและตราประทับฮองเฮาถึงมือของนางด้วยตนเอง ป่าวประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่านี่คือฮองเฮาของตน
เล่าลือกันว่าในอดีตยามฮ่องเต้องค์ใหม่ถูกลดขั้นเป็สามัญชน ยามที่ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ลิ้มชิมดีขม เพื่อวางแผนเผด็จศึกจากแนวหลัง ทุ่มเทฝ่าฟันอยู่คนเดียว มีเพียงบุตรสาวฮูหยินเอกจากสกุลเยี่ยนที่คอยส่งเงิน สนับสนุนต่อชีวิตเขา เพื่ออยู่สืบทอดเจตนารมณ์ครองราชย์ต่อไป
วังหลังของเหลียงอินไร้ผู้ใดอื่น มีเยี่ยนฟางหวา นามกระบือเสียงเลื่องลือเพียงผู้เดียว
ใบหน้าของศัตรูอาบไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
ไม่มีผู้ใดจำเยี่ยนเจาเจาได้ แม้แต่เหลียงอินก็ตาม
ที่แท้หนังสือแต่งตั้งกับตราประทับฮองเฮาที่นางเพ้อฝันมาทั้งชีวิตกลับไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเลย บุรุษที่นางชอบมาตลอดก็แค่นี้เอง
สรรพสิ่งที่นางควรคะนึงหาในโลกนี้แตกดับไปนานแล้ว คนที่รักนางล้วนล่วงลับไปนานแล้วเช่นกัน
หากชาติหน้ามีจริง เยี่ยนเจาเจามิอยากเป็คนโง่งมอีก
ผู้ใดผิดต่อนาง ทำร้ายนาง นางจะให้พวกเขาต้องชดใช้ด้วยชีวิต!
ก่อนที่สติสัมปชัญญะของนางจะเลือนดับไปจนสิ้น แว่วเสียงกีบเท้าม้าห้อทะยานมาลางๆ พร้อมเสียงคร่ำครวญว่ามาสายไป ทั้งยังะโเรียกชื่อเล่นของนางว่าเจาเจาด้วยหัวใจที่แหลกสลาย
น่าเสียดายที่นางไม่อาจลืมตาดูได้อีกว่าเ้าของเสียงที่กำลังร้องทุกข์เพื่อนางนั้นเป็ใคร นางมิอาจมองเห็น และมิอาจยลยินได้อีกต่อไปแล้ว
สายฝนตกกระหน่ำ สายฟ้าร้องคำรามลั่น
หยาดพิรุณร่วงหล่นจากท้องฟ้า ไอน้ำเย็นะเืแย่งกันซึมเข้าร่างผ่านขอบสาบเสื้อ คราบเืตรงชายผ้าสีอ่อนค่อยๆ โดนสายฝนชำระล้าง
กระบี่เปื้อนเืตกลงสู่พื้นเสียงดังเคร้ง เคล้าเสียงฝน และเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
วัสสานฤดูของเมืองเซียงเฉิงเริ่มต้นขึ้นแล้ว...
เชิงอรรถ
[1] องครักษ์จินอู๋ หมายถึง กองทัพส่วนตัวที่รับผิดชอบควบคุมองครักษ์รักษาพระองค์ และติดตามรับใช้
[2] ปัวซือ หมายถึงประเทศเปอร์เซีย
[3] ต้นซิ่ง หมายถึง ต้นแอปริคอต ซึ่งชื่อภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่าความสุข การปลูกต้นซิ่งในบ้าน จึงมีความหมายแฝงว่าชีวิตจะมีความสุข
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้