วันต่อมา
ณ ตำหนักอี้คุนกง
“คนที่แข็งแรงอยู่ดีๆ จะมาล้มป่วยได้อย่างไรกัน?” เสียงแหบกร้าวของฮองเฮาตู้ดังขึ้น หลังจากได้ฟังขันทีรายงานเื่ของหลิวมามา นางหันหน้าขวับ ทั้งๆ ที่อยู่ระหว่างการประทินโฉม
นางกำนัลที่ถวายการแต่งหน้ามองดูเส้นผมสีดำขลับที่ขาดร่วงติดมือตนมาด้วยสีหน้าซีดเผือด นางคุกเข่าลงดังตุ้บ “ฮองเฮาโปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว...ฮือ...”
นางกำนัลสาวพูดได้ไม่กี่ประโยคก็ถูกคนเข้ามาปิดปาก และลากตัวออกไป โทษของนางถึงไม่บอกก็พอคาดเดาได้
ฮองเฮาตู้จัดแต่งจอนผม ก่อนจะลุกยืน โดยมีขันทีคอยช่วยประคอง แม้อายุของนางจะล่วงเข้าสี่สิบปีแล้ว ทว่า ความงามของนางก็มิเคยจางไป เพราะได้รับการบำรุงเป็อย่างดี ริมฝีปากสีแดงสวยได้รูปเอ่ยขึ้นช้าๆ “มีเื่ให้ข้าไม่สบายใจแต่เช้าเลยนะ ว่ามา เกิดเื่อะไรขึ้น?”
“เมื่อคืนนี้มีรายงานจากตำหนักเชียนชิวพ่ะย่ะค่ะ จู่ๆ องค์หญิงใหญ่ก็เสด็จกลับมา ตอนนั้นพระองค์เข้าบรรทมแล้ว หลิวมามาก็เลยพาคนไปด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังกลับจากตำหนักเชียนชิวดูเหมือนว่านางจะป่วยเป็โรคอี้เจิ้ง[1]นอนหลับมิยอมตื่น เอาแต่พูดจาเพ้อเจ้อ เหล่าคนที่ติดตามหลิวมามาไปก็มีอาการเช่นเดียวกัน ได้ยินว่าพวกเขาเป็ เป็...”
“เป็อะไรล่ะ?”
“พวกเขาทำเื่ชั่วช้าไว้มาก ิญญาบริสุทธิ์ที่ตายไปเลยตามมาเอาชีวิตพ่ะย่ะค่ะ...”
“พูดจาเหลวไหล!” ฮองเฮาตู้พูดพลางตบโต๊ะ ทำเอาเหล่านางกำนัล และขันทีที่กำลังถวายการปรนนิบัติอยู่ต่างใ พากันลงไปคุกเข่า
“พระวรกายของฝ่าายังไม่แข็งแรง ภายในวังมีข้อห้ามไม่ให้พูดถึงเื่พลังประหลาดลึกลับพวกนี้ ดูท่าพวกเ้าคงไม่อยากมีหัวอยู่บนบ่าอีกต่อไปแล้วกระมัง!”
“ฮองเฮาโปรดอย่ากริ้วไปเลย กระหม่อมจะให้คนพาตัวหลิวมามาและคนอื่นๆ ไปรักษาตัวนอกวังพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาตู้ร้องเฮอะ พร้อมกับสีหน้าโกรธเกรี้ยวค่อยๆ จางลง แต่คิ้วยังคงขมวดเข้าหากันเช่นเดิม “เมื่อครู่เ้าบอกว่าองค์หญิงใหญ่กลับวังมายามวิกาลใช่ไหม? แล้วมีข่าวเื่เซ่อเจิ้งอ๋องหรือไม่?”
ขันทีมีสีหน้าลังเล ตอบกลับด้วยความประหม่า “ทูลฮองเฮา อันที่จริง เมื่อคืนหลังจากที่องค์หญิงใหญ่เสด็จกลับมาในยามวิกาลได้ไม่นาน ก็มีจดหมายมาจากจวนอัครมหาเสนาบดีบอกว่า...เออ บอกว่าภารกิจล้มเหลวพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าพวกปลิ้นปล้อน กล้าดียังไงถึงได้ปิดบังเื่สำคัญเช่นนี้ ทำไมไม่รีบรายงานข้า!”
“ฮองเฮาโปรดอภัย เพราะคุณชายิเยวี่ยบอกว่าสามารถจัดการเื่นี้ได้ กระหม่อมก็เลย...”
“หุบปาก! ตู้ิเยวี่ยล่ะ!”
“คุณชาย...คุณชายมารอพระราชเสาวนีย์อยู่ด้านนอกตำหนักั้แ่เช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ...”
“ไปตามเขาเข้ามา!”
ตู้ิเยวี่ยเดินตามขันทีเข้ามาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ทันทีที่เขาเอ่ยเรียก ‘ท่านอา’ ฝ่ามือของฮองเฮาตู้ก็ฟาดลงไปที่ใบหน้าของเขาอย่างแรง
“สวะ เื่เล็กแค่นี้ก็ทำไม่สำเร็จ!”
ตู้ิเยวี่ยยกมือขึ้นกุมใบหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงร้อง พลางเงยหน้ามองฮองเฮาตู้อย่างกังวล
“เล่าเื่ที่เกิดบนเรือเมื่อคืนนี้มาให้ละเอียด อย่าให้ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ตู้ิเยวี่ยไม่กล้าปิดบังแม้แต่น้อย เมื่อเล่าเื่ราวทั้งหมดอย่างละเอียดแล้ว จึงได้แต่มองฮองเฮาตู้ด้วยความวิตก ทั้งยังไม่ลืมที่จะพูดแก้ต่างให้ตนเอง “ท่านอา กระหม่อมพยายามทำอย่างสุดความสามารถแล้ว คนของเซียวเจวี๋ยฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก กระหม่อมคาดไม่ถึงว่าจะมีองครักษ์เงาของเขาซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำ ทันทีที่เขาโดนวางยาพิษ พวกองครักษ์เงาก็ปรากฏตัวขึ้น และฆ่าทุกคนจนหมด”
“ฮึ ข้าเคยเตือนเ้าแล้วว่าเซียวเจวี๋ยผู้นี้ไม่ธรรมดา” ฮองเฮาพูดเสียงเย็น ชายตามองหลานชาย “คนของพวกเราไม่มีใครเปิดโปงอะไรใช่ไหม?”
ตู้ิเยวี่ยส่ายหน้า “ท่านอาโปรดวางพระทัย คนที่โดนจับได้ล้วนเป็เพียงพวกคนลากเรือ[2]ที่ทำงานบนเรือลำนั้น”
ฮองเฮาตู้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วแววตาก็แปรเปลี่ยนเป็เคร่งขรึม “หากเป็เช่นที่เ้าว่า ฉู่ชิงอีไม่เพียงแต่ถูกวางยาปลุกกำหนัด แถมยังถูกตีจนหมดสติ แล้วเมื่อคืนนางกลับมายังวังหลวง โดยที่ไม่มีใครรู้เห็นได้อย่างไร?”
“เื่นี้ หลานเองก็ยังคิดไม่ตกเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“มีความเป็ไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น” ฮองเฮาตู้กล่าวเสียงเย็น “เซียวเจวี๋ยกำลังช่วยนาง!”
ตู้ิเยวี่ยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ภายในใจรู้สึกแค้นเคืองอย่างบอกไม่ถูก “หรือว่าเซียวเจวี๋ยจะมีความสัมพันธ์กับนางแล้ว? เ้าพวกหญิงร้ายชายเลว!”
ฮองเฮาตู้ไม่แม้แต่จะมองหลานชาย เสียแรงที่ตู้ิเยวี่ยมีสายเืสกุลตู้ไหลเวียนอยู่ แต่กลับไม่มีมันสมองเยี่ยงคนในตระกูลสักนิด
“ถ้าเ้าเป็เซียวเจวี๋ย เ้าจะทำเื่พวกนี้ เพื่อหญิงสาวนางหนึ่งเช่นนั้นหรือ?” ฮองเฮาตู้กล่าว พลางยิ้มเย็น “การที่เขาส่งฉู่ชิงอีกลับมา แสดงว่าเขา้าทำให้พวกเราลำบาก!”
“เช่นนั้นพวกเราควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮองเฮาตู้เอ่ยเสียงต่ำ “ถึงอย่างไรก็ให้ฉู่ชิงอีมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ก่อนอื่น เ้าลองไปสืบดูว่านางพูดอะไรไปบ้าง อย่างน้อย พวกเราจะได้รู้ว่าทางด้านเซียวเจวี๋ยนั้นรู้มากน้อยเพียงใด?”
แววตาของตู้ิเยวี่ยไหววูบ ยามนึกถึงภาพฉู่ชิงอีในชุดนางรำที่น่าเย้ายวนเมื่อคืน ไฟราคะก็ลุกโชน อย่างไรซะ ไม่ช้าก็เร็วนางก็ต้องตายอยู่ดี ก่อนตายก็ควรจะให้เขาได้เชยชมเสียก่อน ถึงจะคุ้มค่ากับความพยายามของเขาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา...
“ท่านอาโปรดวางใจ หลานจะจัดการเื่นี้ให้ท่านเอง”
หลังจากที่ตู้ิเยวี่ยออกมาจากตำหนักอี้คุนกง ไฟราคะโหมกระพือจนแทบทนไม่ไหว ต้องรีบร้อนเดินทางไปยังตำหนักเชียนชิว
ตำหนักเชียนชิวแทบไม่ต่างอะไรกับตำหนักเย็น ที่นี่มีนางกำนัลและขันทีอยู่ไม่กี่คน เสาเหย้ายืนอยู่นอกตำหนักด้วยใบหน้าเขียวช้ำบวมเป่งภายในใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ทว่า ทันทีที่นางเห็นชายหนุ่มรูปงามกำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อน ดวงตาของนางก็เป็ประกาย แล้วถลาตัวเข้าไปทักทาย
“คุณชายิเยวี่ย!”
ตู้ิเยวี่ยมีท่าทีใ หลังจากเห็นนาง “นางอัปลักษณ์ที่ไหนเนี่ย!”
เสาเหย้าเกือบจะร้องไห้ออกมา “ข้าคือเสาเหย้าไงล่ะเ้าคะ” เมื่อก่อนทุกครั้งที่ตู้ิเยวี่ยมาที่นี่ เขามักแอบเกี้ยวนางโดยที่ฉู่ชิงอีไม่รู้ ใบหน้านางบวมแค่นิดหน่อย แต่เขากลับจำนางไม่ได้เนี่ยนะ!
ตู้ิเยวี่ยเห็นใบหน้านางบวมเป่งยิ่งกว่าหัวหมู จึงพยายามเบี่ยงตัวหลบ พลางเอ่ยขึ้น “องค์หญิงใหญ่อยู่ด้านในใช่ไหม ข้ามาหานาง”
“คุณชายิเยวี่ย ท่านฟังข้าพูดก่อน องค์หญิงใหญ่ นาง...” เสาเหย้าพยายามที่จะบอกตู้ิเยวี่ยถึงท่าทีแปลกๆ ของชิงอี แต่นางกลับต้องประหลาดใจ เพราะเพียงแค่จะเอ่ยถึงชิงอี ลำคอกลับตีบไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ได้
“เ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?” ตู้ิเยวี่ยมองนางอย่างนึกรำคาญ
เสียงสดใสติดจะเกียจคร้านดังมาจากด้านหลัง แทบจะพร้อมกับประตูตำหนักที่เปิดออก ชิงอียืนส่งรอยยิ้มเอนกายพิงกับประตู เสมองเสาเหย้าอย่างสื่อความหมาย “นั่นสิ ข้าเองก็สงสัยเหลือเกินว่าเสาเหย้าคิดจะพูดอะไรกันนะ?”
เมื่อชิงอีปรากฏตัว เสาเหย้าก็ตัวแข็งทื่อราวกับหนูเจอแมวที่กลัวจนไม่อาจปริปากพูดอะไรอีก แล้วได้แต่ก้าวเท้าถอยหลังอย่างเงียบๆ
ตู้ิเยวี่ยเอาแต่จับจ้องไปที่ชิงอี จึงมิได้สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเสาเหย้า
ตู้ิเยวี่ยรู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อย เมื่อก่อนถึงแม้ฉู่ชิงอีจะสวย แต่มักจะมีท่าทีขลาดกลัว จนไม่อาจสร้างความหวั่นไหวให้เขาได้เลยสักนิด ทว่า ั้แ่เมื่อคืนเขาก็ไม่อาจลบภาพงดงามเย้ายวนของนางในชุดนางรำออกไปจากหัวได้เลย
พอวันนี้ได้เห็นอีกครั้ง ยิ่งทำให้เขาตะลึงในความงามของนางเข้าไปอีก
ชิงอีสวมใส่ชุดผ้าแพรสีแดงราวกับถูกย้อมด้วยเืไว้หลวมๆ คล้ายกับี้เีสวมใส่ ท่าทีขลาดกลัวในอดีตของนางหายไปหมดสิ้น มีเพียงความเปล่งประกายงดงามเกินจะเปรียบ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นคล้ายกับตะขอที่เกี่ยวดึงิญญาของผู้คนเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
ที่แท้ ฉู่ชิงอีก็สามารถงดงามเช่นนี้ได้เหมือนกัน!
ไฟราคะของตู้ิเยวี่ยพุ่งทะยานมากขึ้น เขาสาวเท้าไปข้างหน้า แต่ชิงอีกลับปิดประตูใส่เขาดังปังทันที
อีกเพียงนิดเดียวประตูก็จะกระแทกจมูกของตู้ิเยวี่ยแล้ว เขาโกรธจนหน้าดำหน้าแดง แต่เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่เลยได้แต่ข่มใจ พูดเสียงเว้าวอนจากด้านนอก
“อีเอ๋อร์ เ้าให้ข้าเข้าไปเถอะ มีเื่อะไรพวกเรามาคุยกันตัวต่อตัวดีกว่า”
มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่จะคุยกับเ้าตัวต่อตัว
ชิงอีเลิกคิ้ว จ้องมองผีสาวตรงหน้า แล้วเอ่ยว่า “โอกาสของเ้ามาถึงแล้ว”
**********************
[1] โรคอี้เจิ้ง หมายถึง โรคประสาทฮิสทีเรียและบุคลิกภาพผิดปกติแบบฮิสทีเรีย (Histrionic Personality Disorder) เป็ความผิดปกติทางจิตในกลุ่ม Cluster B จะมีอารมณ์ผิดปกติ อารมณ์รุนแรง แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ เรียกร้องความสนใจและมองเห็นภาพลักษณ์ของตนเองบิดเบือนไป
[2] คนลากเรือ คือ งานที่เป็การลากสัมภาระที่บรรทุกในเรือไปตามแม่น้ำ โดยการใช้เชือกเพียงไม่กี่เส้น ส่วนมากคนลากมักจะเปลือยกาย หรืออย่างมากจะใส่แค่ผ้าเตี่ยวผืนเดียว เนื่องจากหากใส่เสื้อผ้า อาจทำให้ป่วยจากเสื้อผ้าที่เปียกชื้นและอาจเกิดอันตรายได้ ถ้าไปเกี่ยวเข้ากับโขดหินหรือกิ่งไม้ รวมทั้งเป็การเพิ่มภาระมากขึ้นจากการที่จะต้องแบกน้ำหนักของผ้าที่อมน้ำ