หลังจากเหตุการณ์นั้นคลี่คลายอวิ๋นซีก็ไม่รู้ว่าเจียงเฉิงพูดอันใดถึงได้จัดการกับปัญหาเ่าั้ได้นางทำเพียงมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องรับรอง และได้เห็นลู่อวี้ฉิงจากไปด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดส่วนผู้ช่วยในร้านผ้าคนนั้นก็ถูกไล่ออกไปเช่นกัน
สำหรับเื่นี้นางทำได้แค่ยิ้มๆ หากใครไม่มาหาเื่ข้าก่อน ข้าก็ไม่จำเป็ต้องไปหาเื่ใคร ส่วนผู้ช่วยคนนั้นที่คิดอยากจะเกาะคนร่ำรวยมีอำนาจก็ไม่แปลกอันใดที่เขาจะต้องเสียสละสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในชนชั้นใดของสังคมเมื่อทำเื่ผิดก็ล้วนต้องรับผิดชอบ
“พอใจแล้วหรือยัง”เจียงเฉิงมองไปยังสตรีที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางอมยิ้มแล้วมองไปทางผู้ดูแลที่กำลังอุ้มกล่องที่เต็มไปด้วยผ้าหลายพับอย่างน้อยๆ ในกล่องนั้นก็ต้องมีผ้าประมาณสิบกว่าผืน ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือผ้าเ่าั้ล้วนเป็แพรพรรณชั้นเลิศทั้งสิ้น
อวิ๋นซีหันกายไปมองเจียงเฉิงที่แสนสุภาพและสง่างามจากนั้นจึงพูดเรียบๆ ว่า “เจียงเฉิง การจะทำกิจการเกี่ยวกับการบริการ ความโอหังและหยิ่งยโสถือเป็สิ่งที่ไม่ควรมีอย่างที่สุดไม่แน่ว่าวันหนึ่งวันใด ความโอหังและหยิ่งยโสนี้อาจทำให้คนตายได้ ครานี้โชคดีที่หานโจวอยู่ห่างไกลเพราะหากอยู่ในเมืองหลวง ผู้ช่วยเช่นนี้มีแต่จะนำพาปัญหามาให้ท่านไม่จบไม่สิ้น”
“ฮูหยินฉินล้วนเป็ข้าผู้น้อยที่ไม่ดีเอง ผู้ช่วยคนนั้นอาศัยอยู่ข้างบ้านข้า ทั้งยังเป็คนที่ตัวข้าผู้ชราเห็นมาั้แ่ยังเล็กเดิมทีคิดอยากจะช่วยเหลือจึงได้พาคนมา มิคาดสุดท้ายแล้วจะทำให้เกิดเื่เช่นนี้ขึ้น”ผู้ดูแลร้านได้ยินคำพูดของอวิ๋นซีที่ถึงแม้อารมณ์กรุ่นโกรธจะเบาลงแล้ว แต่ความแหลมคมในน้ำเสียงนั้นยังคงมีอยู่เขาจึงไม่รอช้ารีบอธิบายทันที
อวิ๋นซีมองผู้ดูแลไปทีหนึ่ง“ตอนเกิดเื่ คนก็มักจะกล่าวโทษว่าเ้าจัดการลูกน้องไม่เข้มงวด ไม่ว่าจะเหตุผลใดย่อมไม่มีใครยอมฟังเ้าอธิบายหรอกในฐานะที่เป็ผู้ดูแลร้าน สิ่งที่เ้าควรทำคือการอบรมดูแลเด็กในร้านทุกคน และช่วยทำกำไรให้เถ้าแก่นี่คือหน้าที่และความรับผิดชอบของเ้า ทว่า เหตุที่เ้าไม่อาจสั่งสอนคนคนนั้นได้ก็เป็เพราะเขาและเ้าต่างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดไม่ว่าเ้าจะคิดจะทำอะไรก็ต้องคำนึงถึงใจอีกฝ่ายเสมอ ข้าไม่คัดค้านหรอกนะหากเ้าคิดจะเลือกใช้คนสนิทเพียงแต่คนคนนั้นจักต้องมีความสามารถ มีวินัยมาก”
ผู้ดูแลถูกอวิ๋นซีตักเตือนเสียจนเหงื่อเย็นหลั่งไหลก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าฮูหยินฉินมิใช่สตรีธรรมดา ทว่า ตัวเขาก็คิดไม่ถึงว่าทุกคำพูดที่แสนจะตรงไปตรงมาเช่นนี้จะถูกเปล่งออกมาจากปากของสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าความกดดันที่เขาได้รับครานี้เห็นทีว่าจะมีมากกว่ายามที่ต้องยืนอยู่ต่อหน้าผู้นำตระกูล
“ขอรับขอรับ” เขารีบพูด
เจียงเฉิงมองไปทางผู้ดูแลร้าน“ไม่ใช่ใครจะโชคดีได้รับการชี้แนะจากฮูหยินฉินเช่นนี้”
อวิ๋นซีตวัดมองเจียงเฉิงด้วยสายตาเ็าไปทีหนึ่ง“ช่างเถิด ชาใหม่ที่ท่านนำมา ตัวข้าก็ได้ดื่มแล้ว ตอนนี้ยังมีธุระอื่นให้ต้องจัดการอีกข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน” ก่อนหน้านี้นางได้ตกลงกับจวินเหยียนไปว่า ครึ่งชั่วยามให้หลังให้เขาส่งคนมารับนางเมื่อลองนับเวลาดู ยามนี้ก็จวนจะได้เวลาแล้ว
เมื่อเจียงเฉิงได้ยินก็ยืนขึ้นมองไปยังอวิ๋นซี“ข้าเองก็ยังมีเื่ให้ต้องสะสางเช่นกัน ผ้าเหล่านี้ ข้าจะให้คนส่งไปให้ที่จวนฉินไม่ส่งท่านแล้ว”
อวิ๋นซีพยักหน้า“ได้”
เมื่อนางไปแล้วเจียงเฉิงก็มองไปทางผู้ดูแลแล้วจึงถามความเห็น “เ้าคิดว่าฮูหยินฉินผู้นี้เป็คนเช่นไร? ”
“สายตาเฉียบขาดตัดสินเื่ราวได้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ผู้น้อยคิดว่านางย่อมต้องเป็สตรีมากฝีมือ มากแผนการ”ผู้ดูแลกลับมามีทีท่าเช่นเดิม ไม่เหมือนคนที่ยอมยอบกายนอบน้อมและมีสีหน้าน้อมรับการสั่งสอนเมื่อครู่แม้เพียงนิด
“นั่นสิไม่อาจไม่พูดได้ว่า สตรีนางนี้เป็คนที่ร้ายกาจคนหนึ่ง” เจียงเฉิงอมยิ้ม พยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของผู้ดูแล
ผู้ดูแลกล่าวต่อ“น่าเสียดาย หากได้นางมาเป็นายหญิง การที่ตระกูลเจียงของเราจะกลายเป็ตระกูลที่รุ่มรวยอันดับหนึ่งแห่งหนานเย่านั้นก็นับว่าไม่ใช่เื่ยาก”
คำพูดของผู้ดูแลทำให้ใจที่สงบนิ่งของเจียงเฉิงถึงกับสั่นไหวน้อยๆนายหญิงหรือ? คำสองคำนี้ ทำให้อารมณ์ของเขาไม่อาจสงบนิ่งได้ดังเดิม
ชั่วขณะนั้นภาพความทรงจำจากเมื่อสองปีก่อนก็หวนกลับมาไม่รู้ว่ายามนั้นนางมีเื่ใดถึงต้องพาคนไปยังเหิงสุ่ย เมืองหนึ่งในหานโจวที่นั่นเป็ชานแดนหานโจวที่มีชาวหูออกมาเผาทำลาย และไล่ฆ่า ลักขโมยอยู่บ่อยๆ ในครั้งนั้นตัวเขาเองก็ได้นำขบวนการค้าผ่านไปบริเวณนั้นพอดีจึงถูกพวกโจรชั่วบนหลังม้าล้อมเอาไว้ และเป็นางที่พาคนเข้าไปช่วยพวกเขาไว้ได้ทัน
เมื่อคิดถึงตอนนั้นเพื่อจะช่วยเหลือเขา ทำให้นางต้องได้รับาเ็
ทุกครั้งที่นึกถึงเื่นี้เขาก็ให้รู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจ เนื่องจากเขาทราบดีว่า แม่นางที่ชอบพอเขาล้วนมีมากมายผ่านไปหลายปีเพียงนี้แล้วกลับไม่เคยมีใครเลยที่เข้าตาตน กระทั่งมีนางที่มาช่วยเขาไว้ในครั้งนั้นทำให้ตัวนางราวกับหยั่งรากลึกลงไปในใจที่แข็งแกร่งของเขา
สองปีมานี้เขายังไม่เข้าใจว่า แท้จริงแล้วในใจรู้สึกเช่นไรกันแน่ อีกทั้งเมื่อครู่ที่ผู้ดูแลกล่าวเขาที่จิตใจสั่นไหวพลอยให้รู้สึกปวดใจเล็กน้อย ปลงๆ เล็กน้อย ทั้งยังมีความเศร้าใจเคล้าคลออยู่ด้วย
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เขาก็ถอนใจเบาๆ การพบกันของสองเรานับว่าล่าช้าเกินไป ทุกสิ่งสายเกินไปแล้วอย่างไรเสียก็ถือว่าคลาดกันไปแล้ว ทว่าได้รู้แล้วยังไม่สู้ไม่รู้ เพราะอย่างน้อยๆก็สบายใจกว่า มีอิสระกว่า
บางครั้งความจริงก็เป็สิ่งที่ยากจะยอมรับและอาจเป็สิ่งที่โหดร้ายที่สุดด้วย ในเวลาเดียวกันนั้นอวิ๋นซีก็พาเค่อเอ๋อร์กลับมายังตระกูลฉิน และทันทีที่นางผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้วก็รีบกลับไปจวนหานอ๋องผ่านช่องทางลับส่วนผ้าเ่าั้ก็ให้เค่อเอ๋อร์เป็ผู้จัดการต่อให้
………........................................................................................
เมืองหลวง
จดหมายเร่งด่วนฉบับหนึ่งพร้อมด้วยของสองสามกล่องถูกส่งมาถึงมือขององค์ชายสี่โอวหยางเทียนหลานเมื่อเขาอ่านจบก็อดหัวเราะฮ่าๆ ออกมาไม่ได้ จากนั้นจึงสั่งให้คนรีบไปเตรียมรถม้าทันทีเพื่อจะได้เข้าวังไปเยี่ยมพระมารดา
ณ ห้องทรงพระอักษรฮ่องเต้เพิ่งจะอ่านฎีกาเสร็จ ขันทีที่รับใช้ใกล้ชิดก็ก้าวขึ้นหน้า “ทูลฝ่าา วันนี้องค์ชายสี่เสด็จเข้ามาในวังหลวงยามนี้อยู่ที่ตำหนักพระสนมอวี้เฟยพ่ะย่ะค่ะ พระสนมจึงให้คนมาทูลฝ่าาว่า พระนางจะทรงเข้าห้องเครื่องเพื่อเตรียมอาหารค่ำมื้อนี้ด้วยพระองค์เองมิทราบว่าฝ่าาจะเสด็จไปยังตำหนักพระสนมอวี้เฟยเพื่อร่วมเสวยพระกายาหารค่ำด้วยกันหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”
ฮ่องเต้แห่งหนานเย่ามองขันทีไปทีหนึ่งจากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยตอบ “นานมากแล้วที่เจิ้นไม่ได้ชิมรสมือของพระสนมอวี้เฟย”
เขาเดินออกจากห้องทรงพระอักษรและเมื่อเห็นเหล่าขันทีกับนางกำนัลขบวนใหญ่ที่เฝ้าอยู่ออกเดินตาม ชายชราผู้สูงส่งก็อดไม่ได้ให้ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า“ให้ขันทีไห่ตามไปคนเดียวก็พอ คนที่เหลือ หากมีสิ่งใดให้ควรทำก็ไปทำเสีย”
เมื่อพูดจบเขาก็พาขันทีไห่มุ่งหน้าไปยังตำหนักของพระสนมอวี้เฟย
ในตอนที่เขาเดินไปถึงตำหนักของพระสนมอวี้เฟยก็ไม่ลืมสั่งห้ามไม่ให้นางกำนัลหน้าตำหนักส่งเสียงแจ้งการมาถึงของตนก่อนจะเดินเข้าไปด้านในอย่างเงียบๆ และเป็ตอนนี้เองที่เขาได้ยินเสียงโอดครวญของเ้าสี่“เสด็จแม่ ท่านได้ให้คนไปแจ้งเสด็จพ่อแล้วใช่หรือไม่ เหตุใดจนป่านนี้แล้วพระองค์จึงยังไม่เสด็จมายามนี้ข้าหิวมากๆ แล้ว หากเป็เช่นนี้ข้าขอกินก่อนได้หรือไม่ เพราะพี่สะใภ้เคยบอกข้าว่าของเหล่านี้ต้องรีบกินตอนร้อนๆ ถึงจะเลิศรส”
“หากว่าเ้ากล้ากินก่อนก็ลองดูสิว่าข้าจะกล้าตีเ้าหรือไม่” พระสนมอวี้เฟยที่สวมกงจวงสีฟ้าอ่อน เครื่องหน้างามงดกำลังถลึงตาใส่บุตรชายตน“อาหารเหล่านี้ล้วนเป็เปิ่นกง [1] ที่เข้าครัวไปตระเตรียมด้วยตัวเองนั่นก็เพื่อเตรียมไว้ให้พระบิดาของเ้า หากเ้าตะกละ เช่นนั้นก็นับว่าเป็บุตรอกตัญญูแล้ว”
“ถ้าข้าล่วงรู้ก่อนว่าจะเป็เช่นนี้ข้าก็คงจะกินเสียที่จวนตนแล้วค่อยส่งเข้ามาในวัง” เทียนหลานบ่นกระปอดกระแปดและทำตัวราวกับเป็ลิงค่างไม่อาจนั่งนิ่งๆ ไปได้โดยตลอด เมื่อคิดอยากจะลุกก็ลุกขึ้นะโโลดเต้น ขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่อาหารบนโต๊ะที่พระมารดาเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
อาหารบนโต๊ะนี้มีส่วนหนึ่งที่ทำขึ้นจากวัตถุดิบที่ถูกส่งมาจากหานโจวตัวอย่างเช่นน้ำแกงที่เคี่ยวมาจากสมุนไพร ทั้งยังมีมันเทศที่ตอนนี้เลื่องชื่อที่สุดในหานโจวสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็วัตถุดิบที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะอาหาร
แม้ว่าเทียนหลานจะได้ไปพักอาศัยอยู่ที่หานโจวได้เดือนกว่าๆแต่เขาก็ยังรู้สึกอยากจะกลับไปอีกครั้งจริงๆ เขาชอบที่นั่นมาก เนื่องจากไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ส่วนใดของที่นั่นก็ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอิสระเสรี
เพียงไม่นานเสี้ยวเหวินตี้ที่หยุดยืนฟังอยู่ไม่ไกลก็เดินเข้ามาใกล้สิ่งที่อยู่ในคลองสายตานับแต่แรกย่างเท้าเข้ามาก็คือสนมของตนที่กำลังนั่งอ่านตำราด้วยท่าทีสบายๆอยู่บนเก้าอี้ ส่วนโอรสนั้นก็เอาแต่จับจ้องอยู่ที่อาหารบนโต๊ะ ชั่วขณะนั้นเขาก็นึกถึงถ้อยคำเมื่อครู่ที่บุตรตนเพิ่งพูดไปว่าจะกินก่อน หรือไม่ก็ควรจะกินก่อนเสียั้แ่ที่จวนองค์ชาย เขาแค่นเสียงเ็าอย่างไม่พอใจไปเสียงหนึ่งเ้าเด็กบ้านี่ เสียทีที่เขาทั้งรักทั้งเอ็นดูเพียงนั้น
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] เปิ่นกง(本宫)เป็คำที่สตรีผู้มีบรรดาศักดิ์ในวังใช้เรียกแทนตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้