ในที่สุดฉู่เฟิงก็อิ่ม รู้สึกปริ่มเปรมมาก ร่างกายอุ่นสบายนอนแผ่อยู่บนเก้าอี้ ไม่อยากจะเคลื่อนไหวเลยสักนิด
ตอนนี้เขารู้สึกสบายอย่างยิ่ง ความรู้สึกหิวโหยก่อนหน้านี้ช่างน่าสยดสยอง แต่เมื่อผ่านพ้นมาแล้ว เขารู้สึกสบายตัวจริงๆ นะ
จานที่วางเกลื่อนเต็มโต๊ะล้วนว่างเปล่า ฉู่เฟิงชักสงสัยว่าตัวเองกินไปมากแค่ไหนกันแน่ แล้วจะอยู่ท้องหรือเปล่านะ?
ไม่ห่างเท่าไหร่ หวงหนิวนอนพุงกาง กลิ้งหลับจนกรนเสียงดัง
พอความง่วงงุนมาเยือน ฉู่เฟิงก็ฝืนไม่ไหว เดินหัวซุนกลับไปที่ห้องตัวเอง พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็ตาย เป็การนอนหลับที่เต็มอิ่มอย่างยิ่ง ตราบจนดวงอาทิตย์ขึ้นสูงจึงตื่น
ท้องร้องอีกแล้ว เพราะหิวถึงตื่นฉู่เฟิงชักวิตก หรือวันๆ จะมีแต่กินกับนอน แล้วจะไม่อ้วนเป็หมูหรือนี่?
หวงหนิวตื่นนานแล้ว ไอ้หมอนี่ค้นไปทั่วบ้าน เขมือบผลไม้ที่อยู่ในตู้เย็นจนเกลี้ยงแล้วยังไม่หนำใจ วิ่งมาเรียกร้องจากเขาอีก
“เร่งอะไรล่ะ เดี๋ยวพ่อจะทำสตูเนื้อให้กิน!” ฉู่เฟิงตอบแบบอารมณ์ไม่ดี เขาเอาเนื้อออกมาจากช่องแช่แข็ง เดินเข้าไปในครัว
หวงหนิวจ้องตาแทบถลน จากนั้นโวยวาย สองเขาสีทองเปล่งแสง จมูกมีควันขาวพวยพุ่ง ท่าทางเหมือนกับจะเอาเป็เอาตายกับเขา
“ไปนู่นเลย อย่ามาเกะกะ นี่มันซี่โครงหมู!” ฉู่เฟิงตอบแบบเหนียมๆ
สุดท้าย หวงหนิวกินซี่โครงหมูไปเยอะมาก รสชาติไม่เลวเลย มันครางอย่างเป็สุขอยู่ตรงนั้น
ส่วนฉู่เฟิง ตัดสินใจต้มเนื้อวัวขึ้นมาหม้อหนึ่ง เขาบอกหวงหนิวน้ำเสียงหนักแน่นว่านี่เป็เนื้อแพะ กลิ่นแรงมาก ไม่เหมาะที่จะให้มันกิน!
หวงหนิวสงสัยอยู่ครู่ พลางเหลือบแลไปทางหม้ออยู่บ่อยๆ อ้าปากพงาบๆ อยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะอยากชิมหรืออยากจะบอกอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ไปแตะต้องหม้อนั้นอีก
“ไอ้วัวเฮงซวยนี่ จมูกดีชะมัด อีกหน่อยคิดจะกินเนื้อวัวท่าจะลำบาก” ฉู่เฟิงแอบคิด
ขณะเดียวกัน เขาก็ค่อนแคะในใจ เป็วัว แต่ดันชอบกินเนื้อ!
ที่ทำให้เขารู้สึกเบาใจขึ้นมาหน่อยก็คือ ปริมาณการกินที่ลดลงไปมากโข ไม่น่าใเหมือนเมื่อวาน
เมื่อเข้าไปในสวน เขาใช้มือข้างเดียวจับโต๊ะหินที่หนักอึ้งนั้นแน่น แล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ มันช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน
ฉู่เฟิงอยากรู้ว่าพละกำลังของตัวเองมากมายแค่ไหน เขาจ้องดูโขดหินประดับสวนที่อยู่ตรงกลาง ก้อนนั้นหนักอย่างยิ่ง ร่วมสามร้อยกว่ากิโลกรัม ตอนนั้นกว่าจะเคลื่อนย้ายมันเข้ามาได้ต้องใช้แรงงานคนตั้งหลายคน
หินก้อนนั้นไม่นับว่าเล็ก ไม่น่าจะยกไหว กระนั้นฉู่เฟิงยังพยายามใช้สองมือโอบกระชับ จากนั้นเกร็งกำลังขยับยก หินสีน้ำตาลขนาดมหึมาพลันถูกยกลอย
สุดท้าย เขาทิ้งหินลงพื้นดินถึงกับสั่นไหว
ฉู่เฟิงถึงกับงุนงงไปชั่วขณะ กำลังแขนทั้งสองข้างของเขาตอนนี้ช่างน่าใอย่างยิ่ง ถึงกับโอบหินก้อนมหึมายกลอยได้ เรียกได้ว่ามหัศจรรย์เลยทีเดียว
หากว่ามีคนมาเห็นเข้า มีหวังแตกตื่นกันตรงนี้แหละ
“มากกว่าคนทั่วไปสิบเท่านี่ไม่ใช่แค่นี้แน่” เขาพูดเบาๆ
จากนั้น ฉู่เฟิงเอานาฬิกาจับเวลาออกมา แล้วออกไปนอกสวน เขาเตรียมทดสอบความเร็วของตัวเอง พอพุ่งตัวออกไป เขาพลันรู้สึกว่าเสียงลมอื้ออึง แนวไม้สองข้างทางเหมือนกับวิ่งถอยหลัง
“ระยะทางร้อยเมตร ในสามวินาที?!” ฉู่เฟิงตะลึงงัน
ความเร็วขนาดนี้ แม้ไม่ถึงกับดีกว่าคนทั่วไปถึงสิบเท่า แต่ก็นับว่าน่าใแล้ว แค่ลองเล่นๆ ก็ทำลายสถิติขีดจำกัดของร่างกายไปแล้ว เขารู้สึกเหลือเชื่อ
เขาอึ้งอยู่เป็นาน
จากนั้น เขาลองทดสอบสารพัดอย่าง ทั้งการมองเห็น พลังการจู่โจม ปฏิกิริยาโต้ตอบ การได้ยิน แน่นอน ย่อมเป็การทดสอบด้วยตัวเองอย่างคร่าวๆ ไม่ได้อิงมาตรฐานแต่อย่างใด
สถิติเหล่านี้ดีขึ้นอย่างมากในทุกครั้งที่ทดสอบ ั้แ่ไม่กี่เท่าตัวจนถึงสิบเท่าตัว แตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง
ฉู่เฟิงทั้งดีใจระคนแปลกใจ ร่างกายของเขาเหมือนกับจะโปร่งแสง คล้ายกับผ่านการแปลงร่างมาแล้วหนึ่งครั้ง บางครั้งยามไม่ตั้งใจ ก็คลับคล้ายจะได้กลิ่นหอมสดชื่นบางเบาจากร่างกาย
ลักษณะเช่นนี้ คล้ายกับที่หนังสือประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ ว่ายามนักพรตหรือนักบวชชั้นสูงในยามปัจฉิมวัยนั้น กระดูก กายเนื้อล้วนโปร่งแสง ทั้งมีกลิ่นกายสดชื่น ยามละสังขารก็ไม่เน่าเปื่อย นับว่าเป็ปริศนาที่ยังไม่อาจอธิบายได้
อีกสองวันต่อมา ฉู่เฟิงไม่ย่างกรายออกจากบ้าน ได้แต่สังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองเงียบๆ ทั้งยังคงฝึกเคล็ดการหายใจทุกเช้าเย็น
เขาพบว่าความสามารถในการกินของตัวเองกลับคืนสู่ระดับปรกติ ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงของร่างกายก็มีแนวโน้มว่าเริ่มอยู่ตัว
สองวันนี้ หวงหนิวี้เีอย่างแรง เอาแต่นอนทั้งวัน หากเมื่อเวลาผ่านไป มันก็ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปรกติ กลับมาวอแวกับเครื่องมือสื่อสารของฉู่เฟิงอีกครั้ง
ฉู่เฟิงเห็นเข้าก็ขมวดคิ้วแน่น ด้วยระลึกถึงเื่คราวก่อนได้ จนบัดนี้เขาก็ยังขุ่นเคืองอยู่นะ มันน่าขายหน้าเสียจริงๆ อยากจะอธิบายแต่กลับไม่มีใครเชื่อ
“หนิวหมัวหวัง ฉันเตือนแกเลยนะ อย่าแตะต้องเครื่องมือสื่อสารของฉัน ไม่งั้นได้เห็นดีกันแน่!”
“มอ!” หวงหนิวประท้วง
“ตอนนี้ฉันต้องออกไปทำธุระข้างนอก ไม่มีแรงมาเล่นกับแก” ฉู่เฟิงบอก เขาอยากไปหาหมอหวังเพื่อตรวจร่างกายอีกครั้ง
แต่แล้ว สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป มองไปทางหวงหนิวพลางยิ้ม พูดว่า “ที่จริง แกอยากเล่นไอ้นี่ก็ไม่ยากนะ ฉันซื้อกลับมาให้แกสักเครื่องหนึ่งก็จบเื่แล้ว”
พอได้ยินฉู่เฟิงพูดอย่างนี้ หวงหนิวก็ลิงโลด หากก็แสดงสีหน้าระแวดระวังทันที อีกทั้งถอยหลังไปอีกสองก้าว ตาโตแบบวัวๆ จ้องเขาเขม็ง
“ไอ้วัวบ้า มองอย่างนั้นหมายความว่ายังไงหา? อย่ามาใช้ความคิดแบบวัวๆ ของแกมาตัดสินความใจกว้างของฉันนะ!” ฉู่เฟิงมองมันอย่างมีคำถาม
“มอ!” หวงหนิวเหยียดหยาม
“เอางี้แล้วกัน นอกจากเคล็ดวิธีหายใจแบบพิเศษนี่แล้ว แกยังมีวิชาพิสดารอะไรอีก สอนฉันหน่อยสิ เดี๋ยวฉันซื้อเครื่องมือสื่อสารรุ่นใหม่ถอดด้ามมาให้” ฉู่เฟิงฉีกยิ้ม
หวงหนิวแยกเขี้ยว หัวเราะเยาะ อย่างกับจะบอกว่า หางโผล่แล้วล่ะสิ?
ฉู่เฟิงยังคงเฉย หน้าไม่แดงสักนิด พูดว่า “เครื่องมือสื่อสารนี่เป็สมบัติล้ำค่าเลยนะ มีมันแล้วก็สามารถรู้ว่าทั่วโลกเกิดเื่อะไรขึ้นบ้าง แกคิดดูก็แล้วกัน”
พูดจบ เขาก็ผลักประตูเดินออกไป
สองวันนี้ อากาศในเมืองชิงหยางบริสุทธิ์สดชื่นเป็พิเศษ เมื่อหายใจเต็มปอดก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ฉู่เฟิงยังคิดเลย ว่านี่เป็ผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโลกหรือไม่?
จากที่ไกลๆ เห็นได้ว่าูเาเหล่านี้มีหมอกหลากสีล่องลอยออกมา กระจายไปทั่วพื้นที่ ทำให้อาณาบริเวณนี้ดูสดใสขึ้นอย่างมาก
คลินิกของหมอหวังชรามีคนไข้มากมาย ฉู่เฟิงต่อคิวรอเป็คนสุดท้าย รออยู่นานกว่าจะถึงคิวของเขาเสียที
“คนไข้เยอะขนาดนี้เลยเหรอฮะ” ฉู่เฟิงถาม
หมอหวังชราพอเห็นฉู่เฟิงก็ยิ้มร่า ต้อนรับเขาเข้าไปในสวนด้านใน เห็นได้ชัดว่าไม่้าให้ผู้อื่นล่วงรู้ถึงความพิเศษของฉู่เฟิง ช่างใส่ใจเหลือเกิน
“ไม่ใช่หรอก คนไข้พวกนี้แต่ก่อนก็เจ็บป่วยอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่สองวันนี้ พวกที่ป่วยเรื้อรังกลับค่อยๆ ดีขึ้น ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นด้วย”
ฉู่เฟิงอึ้งไป ยิ่งคิดสีหน้าก็ยิ่งแปลกประหลาด
“เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเหรอฮะ?” เขาคาดเดา
“ก็น่าจะนะ เธอดูยอดเขาที่อยู่ไกลๆ พวกนั้นสิ หมอกที่กระจายออกมา เหมือนกับจะมีสสารพิเศษสักอย่างที่เป็คุณต่อร่างกายมนุษย์” หมอหวังชราพยักหน้าหงึกหงัก เขาเองก็แปลกใจอย่างมาก คนไข้ที่มาหาด้วยโรคเก่าเรื้อรังในหลายวันนี้ล้วนค่อยๆ อาการดีขึ้น
ที่คนไข้มากันมากมายในวันนี้ เป็เพราะรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้น จึงมาตรวจเพื่อความแน่ใจ
“การเปลี่ยนแปลงใหญ่โตครั้งนี้ แต่แรกผู้คนก็แตกตื่นหวาดกลัวกัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่น่ากลัวอย่างที่คิดกัน” หมอหวังชราตอบพลางถอนใจ
ใน่หลายวันนี้ คนทั่วไปล้วนรู้สึกจิตใจปลอดโปร่งกันได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ผู้คนสดชื่นรื่นเริงกันอย่างมาก
ฉู่เฟิงมองไปไกลๆ ท่ามกลางูเาสูงใหญ่เ่าั้เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานา หากว่าหลุดออกมาได้ ย่อมไม่มีทางสงบสุขกันเช่นนี้อย่างแน่นอน
ก็อย่างคางคกั์ที่โจวเฉวียนเห็นนั่นไง ตัวใหญ่ขนาดโม่หินั์ สามารถไล่ล่าสัตว์ร้าย ล้มช้างเอามาเขมือบได้
หมอหวังชราตรวจร่างกายให้ฉู่เฟิง ทั้งยังทำการตรวจสอบสมรรถนะทางกายต่างๆ ให้ด้วย สุดท้ายก็ลงความเห็นอย่างประหลาดใจ ศักยภาพทางกายของเขาเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
ครั้งนี้ ฉู่เฟิงวิ่งได้หนึ่งร้อยเมตรภายในสองจุดห้าวินาที ทำเอาผู้สูงวัยแตกตื่นอย่างมาก
นอกจากนี้ สมรรถนะอื่นๆ ของเขา เช่น การได้ยิน ปฏิกิริยาตอบโต้ การมองเห็น ก็สูงกว่าคนทั่วไปถึงสิบสองเท่า มันน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก
“นี่...มันไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ นะ หรือว่าจะยังเพิ่มขึ้นได้อีก?” หมอหวังชราเหม่อลอย พึมพำกับตัวเอง
“น่าจะถึงจุดสูงสุดแล้วฮะ เพราะสองวันนี้ผมรู้สึกว่าร่างกายเริ่มอยู่ตัวแล้ว การกินอาหารก็กลับมาเป็ปรกติ ก็เลยมาตรวจดูสักหน่อย” ฉู่เฟิงรายงานตามตรง
“อย่างนี้นี่เอง นี่มันอย่างกับนิทานแน่ะ!” อารมณ์ของหมอหวังชรายังคงพลุ่งพล่าน ทันใดนั้นเขาก็ทำจมูกฟุดฟิด แล้วเอ่ย “ฉันได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ตลอดเวลาเลย ออกมาจากตัวเธองั้นหรือ?”
เขามีท่าทางลังเล สีหน้าแปลกใจ
ฉู่เฟิงพยักหน้า
พอหมอหวังชราตรวจจนแน่ใจแล้วว่าเป็กลิ่นที่ออกมาจากตัวเขาโดยธรรมชาติจริงๆ ก็ถึงกับนิ่งแข็งเป็หิน เขารู้สึกว่ามันยากเหลือเกินที่จะเชื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“นี่...มันเป็ไปได้ยังไง?!” เขาตาค้าง ปากก็ค้างด้วย จ้องมองฉู่เฟิงอยู่เป็นาน จะพูดก็พูดไม่ออก
“อย่างนี้จะมีปัญหาอะไรไหมฮะ?” ฉู่เฟิงถาม
“จะไม่มีปัญหาได้ยังไงเล่า อย่างนี้ถ้าเป็สมัยโบราณนะ เป็เื่ใหญ่โตทีเดียวล่ะ พวกนักพรตหรือนักบวชที่อายุยืนเกินร้อยปี บางทีก็มีกลิ่นกายหอมอ่อนๆ อย่างนี้ แล้วบวกกับสภาพร่างกายพละกำลัง ในยุคโบราณมีคำพูดอยู่คำหนึ่ง กายเนื้อสู่กายทิพย์”
“มีคำพูด...อย่างนั้นด้วยเหรอฮะ?” ฉู่เฟิงตะลึงงัน
“ใช่ กายเนื้อสู่กายทิพย์!” หมอหวังชราตอบหนักแน่นอย่างมั่นใจ
ฉู่เฟิงตะลึง นี่มันมหัศจรรย์จริงๆ
“มีตำราโบราณบางเล่ม ถึงแม้จะดูลี้ลับแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ บางอย่างยังน่าเชื่อถือด้วยซ้ำ” หมอหวังชราเอ่ย
เขาชำนาญการแพทย์แผนตะวันตก หากมาจากครอบครัวแพทย์แผนจีนที่ได้มาตรฐาน ศึกษาค้นคว้าตำราการแพทย์แผนโบราณมาทะลุปรุโปร่ง อย่างน้อยตำรายาพื้นเมืองก็ต้องเคยผ่านตามาบ้าง หนึ่งในนั้นมีตำราโบราณที่กล่าวถึงวิถีแห่งเต๋าและวิถีแห่งพุทธ ดังนั้นจึงมีความเข้าใจอยู่พอตัว
“ร่างกายคนเรามีขีดจำกัด อันสามารถข้ามผ่านได้ เธอก็เป็ตัวอย่างที่เพิ่งทำได้ไม่ใช่หรือ?” หมอหวังตอบพลางทอดถอน “ยุคโบราณมีคนบางคนสามารถทำได้ ยกตัวอย่างเช่นท่าศากยะทุ่มคชสาร1 ฟังดูลี้ลับ แม้กายเนื้อของคนเรามีขีดจำกัด หากก็ยังมีคนทำสำเร็จ”
ตามที่เขาพูด องค์ศากยะมุนีก็เป็มนุษย์ จำต้องใช้พละกำลังมหาศาลจากกายเนื้อ จึงจะสามารถยกช้างขึ้นทุ่มได้
“ศากยะทุ่มคชสาร นักพรตย้ายภูผา ล้วนเป็การแสดงให้เห็นด้วยเื่ของกายเนื้อเป็กายทิพย์ บุคคลเหล่านี้เมื่อตายไป ร่างกายไม่เน่าเปื่อย ทั้งมีกลิ่นหอมอ่อนจาง
หมอหวังชรายิ่งเล่าก็ยิ่งตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าเขาสนใจตำราโบราณเหล่านี้อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นตัวอย่างตัวเป็ๆ อย่างฉู่เฟิง ยิ่งไม่อาจสงบลงได้
“อย่างเธอตอนนี้ยังทุ่มช้างไม่ได้หรอก แต่ก็ทำให้ฉันตระหนักได้ว่า ขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ก็มีความเป็ไปได้ที่จะก้าวข้ามล่ะ” หมอหวังชราแทบจะอดไม่ได้ที่จะจับฉู่เฟิงมาผ่าศึกษาค้นคว้าให้ละเอียดทุกรูขุมขน
ฉู่เฟิงรีบลุกขึ้น กล่าวคำอำลา แทบจะวิ่งออกไปจากตรงนั้น
ระหว่างทาง ความคิดฉู่เฟิงพรั่งพรู
พอเข้าใกล้ประตูบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวดังมาจากในสวน ตามมาด้วยเสียงครั่นครื้นดังสนั่น
เกิดเื่อะไรขึ้น? เขาเป็กังวล หนิวหมัวหวังคงไม่ได้ก่อเื่อะไรขึ้นอีกนะ?
ฉู่เฟิงพุ่งเข้าไปในสวน แต่แล้วก็ต้องตะลึง เขาเห็นหวงหนิวยืนด้วยสองขาหลัง ส่วนสองขาหน้ากำลังเคลื่อนไหว มัน...กำลังต่อยมวย!
เสียงลมดังสะท้านะเื ครั่นครื้นเหมือนฟ้าร้องล้วนมาจากตัวมัน นี่คือวิชาหมัดมวยงั้นหรือ?
วัวตัวหนึ่ง รู้จักวิชาหมัดมวยด้วย!
**************************************************
1 ท่าศากยะทุ่มคชสาร เป็ท่าที่นีม่อชิงใช้ยกโขดหินทุ่มใส่ราชครูจักรทองในนิยายเื่เอี้ยก้วยเ้าอินทรี ของกิมย้ง