ฤดูร้อนมาเร็วกว่าที่คิด นึกว่า่ปลายฤดูใบไม้ผลิจะอยู่ไปอีกสักพัก แต่ความเย็นสบายนั้นก็หายไปในพริบตา คลื่นความร้อนถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เหงื่อไหลซึมไปทั่วร่าง หมี่หลันเยว่รู้สึกไม่สบายตัวอย่างบอกไม่ถูก ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอเบิกบานใจ นั่นคือด้วยผลการเรียนที่โดดเด่นเกินใคร ทำให้เธอได้รับการเลื่อนชั้นแบบพิเศษขึ้นไปอยู่ห้องเด็กโตได้สำเร็จ คราวนี้เธอจะได้เรียนห้องเดียวกับพี่ชายแล้ว
นี่มันเป็เื่น่ายินดีอะไรแบบนี้ อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจสิ่งที่เธอพูดเสียที เด็กอนุบาลเล็กเกินไป เธอต้องคอยเอาอกเอาใจพวกเขาตลอดเวลา มันเหนื่อยยากเหลือเกิน ดังนั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองจะได้เลื่อนชั้น หมี่หลันเยว่ก็ดีใจจริงๆ เธอรีบสะพายกระเป๋าเป้ใบจิ๋วของเธอแต่เช้าตรู่ แล้วยืนรอพี่ชายอยู่ที่หน้าประตู
อันที่จริง ปกติแล้วจะเป็แม่ที่พาพี่น้องทั้งสองไปส่งที่สถานรับเลี้ยงเด็ก โดยมีพ่ออุ้มน้องชายเดินตามหลังมา แต่ตอนนี้ความรู้สึกมันต่างออกไปแล้ว เพราะเธอจะได้อยู่ห้องเดียวกับพี่ชายแล้วนี่นา
"ลูกจะรีบร้อนอะไรนักหนา อากาศร้อนขนาดนี้ สะพายกระเป๋าเป้แต่เช้าตรู่ มันร้อนนะลูก"
ตอนเรียนอยู่ห้องเด็กเล็ก หมี่หลันเยว่ไม่ต้องสะพายกระเป๋าเป้ เพียงแค่พกผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยติดตัวก็พอ แต่ตอนนี้เธอขึ้นมาอยู่ห้องเด็กโตแล้ว เธอจะได้เรียนเขียนหนังสือแล้วนี่นา เธอตื่นเต้นสุดๆ ที่จะได้จับดินสออีกครั้ง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็แค่ดินสอ แต่ก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวได้แล้ว
"ไม่ร้อนค่ะ ไม่ร้อน หนูยืนตรงนี้ไม่โดนแดดส่อง"
หวังหย่วนฉิงจนปัญญาที่จะว่ากล่าวลูกสาวคนนี้ได้ เธอจึงเร่งมือทำทุกอย่างให้เร็วขึ้น ครอบครัวก็เลยออกจากบ้านกันแต่เช้าตรู่ พ่อก็ยังคงอุ้มน้องชายตามเคย ส่วนแม่ก็จูงมือลูกคนโตทั้งสองคน
"หลันหยาง ลูกต้องดูแลน้องสาวด้วยนะ วันนี้น้องมาเรียนห้องเด็กโตวันแรก น้องยังไม่คุ้นเคยกับเพื่อนๆ ลูกต้องพาน้องเล่นด้วย รู้ไหม?"
หวังหย่วนฉิงพาพี่น้องทั้งสองมาส่งที่หน้าห้องเรียนเด็กโต แล้วกำชับลูกชายคนโต
"ครับแม่ แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ น้องสาวผมเป็เด็กดีขนาดนี้ ผมดูแลน้องได้แน่นอนครับ"
ต้องบอกว่าพอออกจากบ้านมาแล้ว หมี่หลันหยางก็ทำตัวเป็พี่ชายได้ดีทีเดียว ถึงแม้ว่าเขาจะอายุเพียงแค่หกขวบ แต่ก็มีความเป็ลูกผู้ชายที่สามารถรับผิดชอบได้แล้ว
"ถ้าลูกพูดแบบนี้แม่ก็สบายใจแล้วล่ะ ตอนเที่ยงแม่จะมาดูลูกๆ อีกที ตอนนี้ต้องไปส่งน้องชายแล้ว แม่ไปก่อนนะ"
หวังหย่วนฉิงโบกมือลาลูกทั้งสองคน แล้วยื่นมือไปรับหมี่หลันซิงมาจากมือของหมี่จิ้งเฉิง เธอต้องพาน้องคนเล็กที่อายุยังไม่เกินหนึ่งขวบไปส่งที่ห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กเล็กที่ยังกินนมแม่อยู่
มองตามแม่ที่อุ้มน้องชายเดินจากไป พ่อก็หันหลังเดินกลับไป หมี่หลันเยว่กับพี่ชายรีบโบกมือลาพ่อกับแม่ ทั้งสองได้ยินเสียงของลูกๆ ก็หันมาโบกมือให้ หมี่หลันเยว่รู้สึกขมขื่นเล็กน้อย มองดูพ่อแม่ที่ตรากตรำทำงานหนัก ทำให้ความปรารถนาที่จะเติบโตของเธอเพิ่มมากขึ้นเป็ทวีคูณ
หมี่หลันหยางจูงมือน้องสาวเดินเข้าไปในห้องเรียน
"หลันหยาง ทางนี้ๆ"
มีเพื่อนๆ หลายคนเห็นเขาแล้วรีบเรียก หมี่หลันหยางจึงจูงมือน้องสาวเดินไปนั่งลงตรงนั้น
"นี่...นี่น้องสาวนายเหรอ? ทำไมน่ารักกว่าตอนที่เคยมาที่ห้องเราครั้งก่อนอีกล่ะ?"
เด็กผู้ชายวัยห้าหกขวบก็รู้จักความสวยความงามแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีใจคิดอะไรเกินเลย แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดถึงสาวน้อยหน้าตาดี
"ไปเลยๆๆ สวยหรือไม่สวยมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยเล่า"
พอได้ยินคนอื่นพูดถึงน้องสาวของตัวเอง หมี่หลันหยางก็ไม่ชอบใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจความหมายของการกระทำแบบนี้ แต่ก็ปฏิเสธเื่นี้ด้วยใจจริง
"ก็ได้ๆ ไม่พูดก็ไม่พูด ทำไมต้องขี้เหนียวด้วยล่ะ"
นี่มันเด็กช่างพูดจริงๆ เขาคอยเซ้าซี้หมี่หลันหยางไม่หยุด หมี่หลันหยางถ้าอารมณ์ดีก็จะตอบไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่พูดอะไร หมี่หลันเยว่แอบขำอยู่ในใจ ไม่นึกเลยว่าพี่ชายจะเท่ขนาดนี้
"ครูบอกว่าวันนี้จะมีการถามคำถาม นายท่องจำมารึยัง?"
เด็กคนนั้นก็ไม่สนใจว่าหมี่หลันหยางจะสนใจเขาหรือไม่ เขายังคงหาเื่คุย หมี่หลันหยางถึงกับชะงักไป
"ถามอะไร?"
เขาลืมไปสนิทเลยว่าเมื่อวานครูสั่งการบ้าน
"ก็ท่องบทกวีโบราณไง ครูสอนไปสองวันแล้วนะ บอกว่าวันนี้ต้องท่องให้ได้ ไม่ใช่ว่านายลืมแล้วเหรอ? ไม่น่าเชื่อเลยนะ นายออกจะเป็นักเรียนดีเด่นของห้องเราแท้ๆ"
เด็กคนนั้นทำท่าสะใจ เอามือปิดปากหัวเราะจนเห็นฟัน หมี่หลันหยางยื่นนิ้วชี้ไปจิ้มที่หน้าผากของเขา
"ทำไมต้องดีใจขนาดนั้นด้วย ฉันท่องบทกวีไม่ได้แล้วนายจะได้อะไรขึ้นมา"
"ฉันก็จะได้เห็นครูหน้าเสียไง ครูชอบนายที่สุด ชอบให้นายท่องหนังสือหรือทำโจทย์เป็คนแรกเสมอ แล้วนายก็ตอบได้ดีทุกครั้ง ถ้าวันนี้ครูเรียกนาย แต่นายกลับท่องไม่ได้ คิดดูสิว่าครูจะเสียหน้าขนาดไหน ฉันอยากเห็นสีหน้าของครูตอนนี้จังเลย"
ดูท่าทางแล้วเด็กคนนั้นคงจะไม่ประสงค์ดีแน่ๆ
"ท่องหนังสือไม่ได้มันก็น่าอายสำหรับฉันสิ ครูจะเสียหน้าได้ยังไง นายมีสมองหรือเปล่าเนี่ย ถ้านายมีพลังงานเหลือเฟือขนาดนี้ เอาเวลาไปท่องหนังสือเองไม่ดีกว่าเหรอ วันๆ เอาแต่สนใจเื่ไร้สาระ"
พอได้ยินพี่ชายรู้จักอบรมสั่งสอนคนอื่น หมี่หลันเยว่ก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ ที่บ้านพี่ชายเป็คนดีเหลือเกิน ยอมให้เธอและน้องชายทุกอย่าง ไม่เคยโกรธเคืองเธอเลย ตอนนี้เห็นเขาอบรมเพื่อนร่วมชั้นเหมือนผู้ใหญ่ ก็ดูเหมือนจริงจังขึ้นมาเลยทีเดียว
"พี่คะ พี่เป็หัวหน้าห้องเหรอคะ?"
ดูจากท่าทางของพี่ชายแล้ว สั่งสอนคนได้เป็ฉากเป็ตอนขนาดนี้ น่าจะเป็หัวหน้าห้อง
"ใช่...ใช่แล้ว พี่ชายเธอเป็หัวหน้าห้องนั่นแหละ นี่น้องไม่รู้เหรอ?"
หมี่หลันเยว่ไม่รู้จริงๆ ด้วย ที่แท้พี่ชายก็เป็หัวหน้าห้องนี่เอง เธอไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเื่นี้เลยสักครั้ง ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกเสียใจเล็กน้อย บางทีชาติที่แล้วพี่ชายก็คงจะเก่งกาจขนาดนี้แล้ว แต่เพราะเขาไม่เคยกลับมาคุยโวที่บ้าน เธอก็เลยไม่รู้ พี่ชายเก่งกว่าที่เธอคิดไว้อีก
"แล้ววันนี้พวกพี่จะสอบบทกวีอะไรกันคะ วันนี้มาแต่เช้า ลองท่องกันตอนนี้เลยดีไหมคะ เดี๋ยวครูมาจะได้ไม่ต้องเขิน"
หมี่หลันเยว่ไม่อยากให้พี่ชายต้องลุกขึ้นมาแล้วท่องไม่ได้จริงๆ
เ้าหนุ่มจอมซนที่อยู่ไม่สุขรีบตอบก่อนหมี่หลันหยาง
"ก็บทอะไรสามพันฉื่อๆ อะไรนั่นแหละ มันยากจะตาย 'เหงื่อหยดใต้ต้นข้าว' อะไรนั่นท่องง่ายกว่าเยอะเลย"
ที่แท้ก็คือบท ‘มองน้ำตกูเาหลู’ ของหลี่ไป๋ บทนี้มันง่ายสำหรับหมี่หลันเยว่มากเลยนะ เป็บทกวีสุดคลาสสิกเลยนี่นา
"ที่แท้ก็เป็บทกวีของหลี่ไป๋บทนี้นี่เอง หนูเคยได้ยินน้าที่ห้องเด็กเล็กท่องให้ฟังด้วยค่ะ"
หมี่หลันเยว่แกล้งพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ
"จริงเหรอ เธอเคยได้ยินครูท่องให้ฟังด้วย แล้วเธอท่องได้ไหม?"
เ้าหนุ่มจอมซนทำท่ากระตือรือร้น รีบถามหมี่หลันเยว่อย่างไม่ลดละ หมี่หลันหยางที่อยู่ข้างๆ ก็เงี่ยหูฟัง รอคำตอบของน้องสาว เขาเองก็รู้ว่าน้องสาวของตัวเองฉลาดแค่ไหน ถ้าน้องสาวเคยได้ยินครูท่องให้ฟัง สักแปดหรือเก้าส่วน น้องสาวจะต้องท่องได้แน่
บทกวีบทนี้ครูเคยสอนก็จริง แต่สอนให้ท่องตามแค่ไม่กี่รอบเท่านั้น ตัวเขาเองก็จำประโยคแรกไม่ได้ ตัวเองก็ลืมไปแล้วว่าครูบอกให้กลับไปท่องจำที่บ้านด้วย ไม่อย่างนั้นกลับไปบ้านเขาคงจะท่องหลายๆ รอบ จนจำได้ขึ้นใจไปแล้ว ก็เขาไม่อยากขายหน้าในวันแรกที่น้องสาวมาเรียนนี่นา
"หนูท่องได้ค่ะ 'แสงสุรีย์ฉายส่องต้องกระถาง ม่านธูปจางแปรเปลี่ยนเป็ม่วงพร่าง แลไกลโพ้นคือน้ำตกหน้าผากลาง สายธาราล่วงลงล่างสู่แผ่นดิน ดุจฟากฟ้าวิมานถล่มดิน' พี่คะ หนูท่องถูกไหมคะ?"
ถึงแม้ว่าตัวเองจะยังท่องไม่คล่อง แต่ถ้าน้องสาวท่องออกมา เขาก็ยังฟังออกว่าถูกหรือผิด
"หลันเยว่ เก่งมาก บทกวีที่ยากขนาดนี้ก็ท่องได้ แถมยังถูกหมดเลย"
หมี่หลันหยางภาคภูมิใจมากที่เขามีน้องสาวฉลาดขนาดนี้ ไม่ว่าจะพาไปที่ไหน ก็คงจะทำให้คนอื่นอิจฉา เขาทำท่าทางเหมือนเป็พี่ชายที่แสนดี ลูบหัวน้องสาวเบาๆ เพื่อแสดงความชมเชย
"ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ น้าคนนั้นชอบท่องบทกวีบทนี้ตอนกล่อมพวกหนูนอน ก็เลยจำได้เองค่ะ"
เธอไม่อยากทำให้พี่ชายรู้สึกว่าเขาด้อยกว่าตัวเอง จนเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เธออยากทำให้พี่ชายเก่งขึ้น ดีขึ้น สิ่งแรกที่ต้องมีก็คือความมั่นใจในตัวเอง
"พี่ชาย พวกพี่จะสอบบทกวีบทนี้เหรอคะ งั้นหนูท่องให้ฟังหลายๆ รอบ พี่จะได้ฟังหลายๆ รอบ เดี๋ยวครูมาสอบ พี่จะได้ท่องได้ ดีไหมคะ"
หมี่หลันหยางพยักหน้า เริ่มตั้งใจฟังน้องสาวท่องบทกวี
หมี่หลันเยว่ท่องช้าๆ แถมยังเน้นเสียงหนักที่ประโยคแรก เน้นพยางค์แรกๆ ด้วยซ้ำ ขณะที่ท่องก็ทำท่าทางประกอบไปด้วย แสงแดดก็ชี้ไปที่ดวงอาทิตย์ กระถางธูปก็เอามือวาดเป็รูปทรงที่หน้าอก หมอกสีม่วง ก็เอานิ้ววาดเป็วงกลมแล้วยกขึ้นข้างบน ดูสมจริงมาก ทำให้หมี่หลันหยางจำประโยคนี้ขึ้นใจในทันที
ไม่รู้ว่าท่องไปกี่รอบ เมื่อครูเดินเข้ามา หมี่หลันเยว่รีบนั่งตัวตรง มองดูพี่ชายและเ้าหนุ่มซนที่นั่งตัวตรงเหมือนกัน ดูเหมือนว่าอำนาจของครูจะใช้ได้ผล นักเรียนต่างก็แสดงท่าทีที่เหมาะสมต่อการปรากฏตัวของครูทันที
"นักเรียนทั้งหมดทำความเคารพ"
"สวัสดีค่ะ/ครับคุณครู"
"สวัสดีนักเรียน"
ที่แท้ ห้องเด็กโตก็ทำเหมือนเวลาไปโรงเรียนอย่างเป็ทางการแล้ว แถมยังเรียกครู ไม่เรียกน้า ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกดีขึ้นเยอะ อย่างน้อยการเรียกครูก็เป็การพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นักเรียนแล้ว นั่นก็คือโตขึ้นแล้ว ส่วนการเรียกน้าก็เหมือนบอกว่าตัวเองยังเป็เด็กเล็กอยู่ ต้องมีคนคอยดูแล ความหมายมันต่างกันมาก
"เมื่อวานครูบอกว่าจะสอบบทกวีของหลี่ไป๋ ไม่รู้ว่านักเรียนท่องกันได้หรือยัง?"
พอครูพูดจบ ในห้องเรียนก็เงียบกริบ หมี่หลันเยว่คาดเดาอยู่ในใจว่า นักเรียนส่วนใหญ่คงจะท่องไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเด็กตัวเล็กตัวน้อยวัยนี้คงจะรีบยกมือแสดงออกไปแล้ว
"ทำไม ไม่มีใครอาสาบ้างเลยเหรอ ใครท่องได้ก็ยกมือขึ้นเองได้เลยนะ"
ครูจงใจเหลือบมองไปที่หมี่หลันหยาง นี่คือนักเรียนที่ครูชอบที่สุด จะปล่อยให้งานที่ครูมอบหมายต้องล้มเหลวไม่ได้ ถ้าทั้งห้องท่องไม่ได้ ก็ไม่ใช่ปัญหาของนักเรียนแล้ว แต่เป็ปัญหาของครูต่างหาก
หมี่หลันหยางมองไปทางซ้ายทีขวาที เห็นว่าไม่มีใครยกมือ เขาก็มองไปที่น้องสาวที่อยู่ข้างๆ เขาไม่อยากขโมยผลงานของน้องสาว ถ้าหากน้องสาวสามารถลุกขึ้นมาท่องได้ นั่นก็ถือเป็เกียรติของเขาเช่นกัน หมี่หลันเยว่กลับส่ายหน้าให้เขาเบาๆ เป็สัญญาณว่าเธอจะไม่ลุกขึ้น แถมยังกำหมัดให้กำลังใจพี่ชายอีกด้วย พี่ชาย หนูจะช่วยพี่เองค่ะ
เห็นน้องสาวยืนกราน หมี่หลันหยางก็เห็นว่าไม่มีเพื่อนร่วมชั้นคนไหนยกมือ เขาก็เลยต้องยกมือขึ้น ในฐานะหัวหน้าห้อง เขาต้องเป็ผู้นำ ครูเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนในทันที
"หมี่หลันหยาง เธอมาท่องสิ"
หมี่หลันหยางที่ลุกขึ้นยืน กำลังจะอ้าปาก แต่ประโยคแรกก็หายวับไปกับตา จู่ๆ ก็จำไม่ได้ขึ้นมา ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ท่องจนคล่องแล้วแท้ๆ เขาเหลือบมองไปที่น้องสาวโดยไม่รู้ตัว เห็นเธอยื่นนิ้วชี้ไปที่ท้องฟ้าข้างนอก แล้วเอามือวาดเป็รูปทรงที่หน้าอก
"แสงสุรีย์ฉายส่องต้องกระถาง ม่านธูปจางแปรเปลี่ยนเป็ม่วงพร่าง แลไกลโพ้นคือน้ำตกหน้าผากลาง สายธาราล่วงลงล่างสู่แผ่นดิน ดุจฟากฟ้าวิมานถล่มดิน"
น้องสาว ขอบคุณมาก! ขณะที่นั่งลง หมี่หลันหยางเห็นรอยยิ้มที่สดใสเหมือนดอกไม้ของน้องสาวที่อยู่ข้างๆ