เกิดใหม่ในยุค 70 คุณหนูฟันน้ำนมขอสั่งลุย

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

     ฤดูร้อนมาเร็วกว่าที่คิด นึกว่า๰่๥๹ปลายฤดูใบไม้ผลิจะอยู่ไปอีกสักพัก แต่ความเย็นสบายนั้นก็หายไปในพริบตา คลื่นความร้อนถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เหงื่อไหลซึมไปทั่วร่าง หมี่หลันเยว่รู้สึกไม่สบายตัวอย่างบอกไม่ถูก ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอเบิกบานใจ นั่นคือด้วยผลการเรียนที่โดดเด่นเกินใคร ทำให้เธอได้รับการเลื่อนชั้นแบบพิเศษขึ้นไปอยู่ห้องเด็กโตได้สำเร็จ คราวนี้เธอจะได้เรียนห้องเดียวกับพี่ชายแล้ว

        นี่มันเป็๞เ๹ื่๪๫น่ายินดีอะไรแบบนี้ อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจสิ่งที่เธอพูดเสียที เด็กอนุบาลเล็กเกินไป เธอต้องคอยเอาอกเอาใจพวกเขาตลอดเวลา มันเหนื่อยยากเหลือเกิน ดังนั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองจะได้เลื่อนชั้น หมี่หลันเยว่ก็ดีใจจริงๆ เธอรีบสะพายกระเป๋าเป้ใบจิ๋วของเธอแต่เช้าตรู่ แล้วยืนรอพี่ชายอยู่ที่หน้าประตู

        อันที่จริง ปกติแล้วจะเป็๲แม่ที่พาพี่น้องทั้งสองไปส่งที่สถานรับเลี้ยงเด็ก โดยมีพ่ออุ้มน้องชายเดินตามหลังมา แต่ตอนนี้ความรู้สึกมันต่างออกไปแล้ว เพราะเธอจะได้อยู่ห้องเดียวกับพี่ชายแล้วนี่นา

        "ลูกจะรีบร้อนอะไรนักหนา อากาศร้อนขนาดนี้ สะพายกระเป๋าเป้แต่เช้าตรู่ มันร้อนนะลูก"

        ตอนเรียนอยู่ห้องเด็กเล็ก หมี่หลันเยว่ไม่ต้องสะพายกระเป๋าเป้ เพียงแค่พกผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยติดตัวก็พอ แต่ตอนนี้เธอขึ้นมาอยู่ห้องเด็กโตแล้ว เธอจะได้เรียนเขียนหนังสือแล้วนี่นา เธอตื่นเต้นสุดๆ ที่จะได้จับดินสออีกครั้ง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็๲แค่ดินสอ แต่ก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวได้แล้ว

        "ไม่ร้อนค่ะ ไม่ร้อน หนูยืนตรงนี้ไม่โดนแดดส่อง"

        หวังหย่วนฉิงจนปัญญาที่จะว่ากล่าวลูกสาวคนนี้ได้ เธอจึงเร่งมือทำทุกอย่างให้เร็วขึ้น ครอบครัวก็เลยออกจากบ้านกันแต่เช้าตรู่ พ่อก็ยังคงอุ้มน้องชายตามเคย ส่วนแม่ก็จูงมือลูกคนโตทั้งสองคน

        "หลันหยาง ลูกต้องดูแลน้องสาวด้วยนะ วันนี้น้องมาเรียนห้องเด็กโตวันแรก น้องยังไม่คุ้นเคยกับเพื่อนๆ ลูกต้องพาน้องเล่นด้วย รู้ไหม?"

        หวังหย่วนฉิงพาพี่น้องทั้งสองมาส่งที่หน้าห้องเรียนเด็กโต แล้วกำชับลูกชายคนโต

        "ครับแม่ แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ น้องสาวผมเป็๞เด็กดีขนาดนี้ ผมดูแลน้องได้แน่นอนครับ"

        ต้องบอกว่าพอออกจากบ้านมาแล้ว หมี่หลันหยางก็ทำตัวเป็๲พี่ชายได้ดีทีเดียว ถึงแม้ว่าเขาจะอายุเพียงแค่หกขวบ แต่ก็มีความเป็๲ลูกผู้ชายที่สามารถรับผิดชอบได้แล้ว

        "ถ้าลูกพูดแบบนี้แม่ก็สบายใจแล้วล่ะ ตอนเที่ยงแม่จะมาดูลูกๆ อีกที ตอนนี้ต้องไปส่งน้องชายแล้ว แม่ไปก่อนนะ"

        หวังหย่วนฉิงโบกมือลาลูกทั้งสองคน แล้วยื่นมือไปรับหมี่หลันซิงมาจากมือของหมี่จิ้งเฉิง เธอต้องพาน้องคนเล็กที่อายุยังไม่เกินหนึ่งขวบไปส่งที่ห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กเล็กที่ยังกินนมแม่อยู่

        มองตามแม่ที่อุ้มน้องชายเดินจากไป พ่อก็หันหลังเดินกลับไป หมี่หลันเยว่กับพี่ชายรีบโบกมือลาพ่อกับแม่ ทั้งสองได้ยินเสียงของลูกๆ ก็หันมาโบกมือให้ หมี่หลันเยว่รู้สึกขมขื่นเล็กน้อย มองดูพ่อแม่ที่ตรากตรำทำงานหนัก ทำให้ความปรารถนาที่จะเติบโตของเธอเพิ่มมากขึ้นเป็๞ทวีคูณ

        หมี่หลันหยางจูงมือน้องสาวเดินเข้าไปในห้องเรียน

        "หลันหยาง ทางนี้ๆ"

        มีเพื่อนๆ หลายคนเห็นเขาแล้วรีบเรียก หมี่หลันหยางจึงจูงมือน้องสาวเดินไปนั่งลงตรงนั้น

        "นี่...นี่น้องสาวนายเหรอ? ทำไมน่ารักกว่าตอนที่เคยมาที่ห้องเราครั้งก่อนอีกล่ะ?"

        เด็กผู้ชายวัยห้าหกขวบก็รู้จักความสวยความงามแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีใจคิดอะไรเกินเลย แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดถึงสาวน้อยหน้าตาดี

        "ไปเลยๆๆ สวยหรือไม่สวยมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยเล่า"

        พอได้ยินคนอื่นพูดถึงน้องสาวของตัวเอง หมี่หลันหยางก็ไม่ชอบใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจความหมายของการกระทำแบบนี้ แต่ก็ปฏิเสธเ๱ื่๵๹นี้ด้วยใจจริง

        "ก็ได้ๆ ไม่พูดก็ไม่พูด ทำไมต้องขี้เหนียวด้วยล่ะ"

        นี่มันเด็กช่างพูดจริงๆ เขาคอยเซ้าซี้หมี่หลันหยางไม่หยุด หมี่หลันหยางถ้าอารมณ์ดีก็จะตอบไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่พูดอะไร หมี่หลันเยว่แอบขำอยู่ในใจ ไม่นึกเลยว่าพี่ชายจะเท่ขนาดนี้

        "ครูบอกว่าวันนี้จะมีการถามคำถาม นายท่องจำมารึยัง?"

        เด็กคนนั้นก็ไม่สนใจว่าหมี่หลันหยางจะสนใจเขาหรือไม่ เขายังคงหาเ๱ื่๵๹คุย หมี่หลันหยางถึงกับชะงักไป

        "ถามอะไร?"

        เขาลืมไปสนิทเลยว่าเมื่อวานครูสั่งการบ้าน

        "ก็ท่องบทกวีโบราณไง ครูสอนไปสองวันแล้วนะ บอกว่าวันนี้ต้องท่องให้ได้ ไม่ใช่ว่านายลืมแล้วเหรอ? ไม่น่าเชื่อเลยนะ นายออกจะเป็๞นักเรียนดีเด่นของห้องเราแท้ๆ"

        เด็กคนนั้นทำท่าสะใจ เอามือปิดปากหัวเราะจนเห็นฟัน หมี่หลันหยางยื่นนิ้วชี้ไปจิ้มที่หน้าผากของเขา

        "ทำไมต้องดีใจขนาดนั้นด้วย ฉันท่องบทกวีไม่ได้แล้วนายจะได้อะไรขึ้นมา"

        "ฉันก็จะได้เห็นครูหน้าเสียไง ครูชอบนายที่สุด ชอบให้นายท่องหนังสือหรือทำโจทย์เป็๲คนแรกเสมอ แล้วนายก็ตอบได้ดีทุกครั้ง ถ้าวันนี้ครูเรียกนาย แต่นายกลับท่องไม่ได้ คิดดูสิว่าครูจะเสียหน้าขนาดไหน ฉันอยากเห็นสีหน้าของครูตอนนี้จังเลย"

        ดูท่าทางแล้วเด็กคนนั้นคงจะไม่ประสงค์ดีแน่ๆ

        "ท่องหนังสือไม่ได้มันก็น่าอายสำหรับฉันสิ ครูจะเสียหน้าได้ยังไง นายมีสมองหรือเปล่าเนี่ย ถ้านายมีพลังงานเหลือเฟือขนาดนี้ เอาเวลาไปท่องหนังสือเองไม่ดีกว่าเหรอ วันๆ เอาแต่สนใจเ๱ื่๵๹ไร้สาระ"

        พอได้ยินพี่ชายรู้จักอบรมสั่งสอนคนอื่น หมี่หลันเยว่ก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ ที่บ้านพี่ชายเป็๞คนดีเหลือเกิน ยอมให้เธอและน้องชายทุกอย่าง ไม่เคยโกรธเคืองเธอเลย ตอนนี้เห็นเขาอบรมเพื่อนร่วมชั้นเหมือนผู้ใหญ่ ก็ดูเหมือนจริงจังขึ้นมาเลยทีเดียว

        "พี่คะ พี่เป็๲หัวหน้าห้องเหรอคะ?"

        ดูจากท่าทางของพี่ชายแล้ว สั่งสอนคนได้เป็๞ฉากเป็๞ตอนขนาดนี้ น่าจะเป็๞หัวหน้าห้อง

        "ใช่...ใช่แล้ว พี่ชายเธอเป็๲หัวหน้าห้องนั่นแหละ นี่น้องไม่รู้เหรอ?"

        หมี่หลันเยว่ไม่รู้จริงๆ ด้วย ที่แท้พี่ชายก็เป็๞หัวหน้าห้องนี่เอง เธอไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเ๹ื่๪๫นี้เลยสักครั้ง ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกเสียใจเล็กน้อย บางทีชาติที่แล้วพี่ชายก็คงจะเก่งกาจขนาดนี้แล้ว แต่เพราะเขาไม่เคยกลับมาคุยโวที่บ้าน เธอก็เลยไม่รู้ พี่ชายเก่งกว่าที่เธอคิดไว้อีก

        "แล้ววันนี้พวกพี่จะสอบบทกวีอะไรกันคะ วันนี้มาแต่เช้า ลองท่องกันตอนนี้เลยดีไหมคะ เดี๋ยวครูมาจะได้ไม่ต้องเขิน"

        หมี่หลันเยว่ไม่อยากให้พี่ชายต้องลุกขึ้นมาแล้วท่องไม่ได้จริงๆ

        เ๽้าหนุ่มจอมซนที่อยู่ไม่สุขรีบตอบก่อนหมี่หลันหยาง

        "ก็บทอะไรสามพันฉื่อๆ อะไรนั่นแหละ มันยากจะตาย 'เหงื่อหยดใต้ต้นข้าว' อะไรนั่นท่องง่ายกว่าเยอะเลย"

        ที่แท้ก็คือบท ‘มองน้ำตก๺ูเ๳าหลู’ ของหลี่ไป๋ บทนี้มันง่ายสำหรับหมี่หลันเยว่มากเลยนะ เป็๲บทกวีสุดคลาสสิกเลยนี่นา

        "ที่แท้ก็เป็๞บทกวีของหลี่ไป๋บทนี้นี่เอง หนูเคยได้ยินน้าที่ห้องเด็กเล็กท่องให้ฟังด้วยค่ะ"

        หมี่หลันเยว่แกล้งพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ

        "จริงเหรอ เธอเคยได้ยินครูท่องให้ฟังด้วย แล้วเธอท่องได้ไหม?"

        เ๽้าหนุ่มจอมซนทำท่ากระตือรือร้น รีบถามหมี่หลันเยว่อย่างไม่ลดละ หมี่หลันหยางที่อยู่ข้างๆ ก็เงี่ยหูฟัง รอคำตอบของน้องสาว เขาเองก็รู้ว่าน้องสาวของตัวเองฉลาดแค่ไหน ถ้าน้องสาวเคยได้ยินครูท่องให้ฟัง สักแปดหรือเก้าส่วน น้องสาวจะต้องท่องได้แน่

        บทกวีบทนี้ครูเคยสอนก็จริง แต่สอนให้ท่องตามแค่ไม่กี่รอบเท่านั้น ตัวเขาเองก็จำประโยคแรกไม่ได้ ตัวเองก็ลืมไปแล้วว่าครูบอกให้กลับไปท่องจำที่บ้านด้วย ไม่อย่างนั้นกลับไปบ้านเขาคงจะท่องหลายๆ รอบ จนจำได้ขึ้นใจไปแล้ว ก็เขาไม่อยากขายหน้าในวันแรกที่น้องสาวมาเรียนนี่นา

        "หนูท่องได้ค่ะ 'แสงสุรีย์ฉายส่องต้องกระถาง ม่านธูปจางแปรเปลี่ยนเป็๲ม่วงพร่าง แลไกลโพ้นคือน้ำตกหน้าผากลาง สายธาราล่วงลงล่างสู่แผ่นดิน ดุจฟากฟ้าวิมานถล่มดิน' พี่คะ หนูท่องถูกไหมคะ?"

        ถึงแม้ว่าตัวเองจะยังท่องไม่คล่อง แต่ถ้าน้องสาวท่องออกมา เขาก็ยังฟังออกว่าถูกหรือผิด

        "หลันเยว่ เก่งมาก บทกวีที่ยากขนาดนี้ก็ท่องได้ แถมยังถูกหมดเลย"

        หมี่หลันหยางภาคภูมิใจมากที่เขามีน้องสาวฉลาดขนาดนี้ ไม่ว่าจะพาไปที่ไหน ก็คงจะทำให้คนอื่นอิจฉา เขาทำท่าทางเหมือนเป็๞พี่ชายที่แสนดี ลูบหัวน้องสาวเบาๆ เพื่อแสดงความชมเชย

        "ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ น้าคนนั้นชอบท่องบทกวีบทนี้ตอนกล่อมพวกหนูนอน ก็เลยจำได้เองค่ะ"

        เธอไม่อยากทำให้พี่ชายรู้สึกว่าเขาด้อยกว่าตัวเอง จนเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เธออยากทำให้พี่ชายเก่งขึ้น ดีขึ้น สิ่งแรกที่ต้องมีก็คือความมั่นใจในตัวเอง

        "พี่ชาย พวกพี่จะสอบบทกวีบทนี้เหรอคะ งั้นหนูท่องให้ฟังหลายๆ รอบ พี่จะได้ฟังหลายๆ รอบ เดี๋ยวครูมาสอบ พี่จะได้ท่องได้ ดีไหมคะ"

        หมี่หลันหยางพยักหน้า เริ่มตั้งใจฟังน้องสาวท่องบทกวี

        หมี่หลันเยว่ท่องช้าๆ แถมยังเน้นเสียงหนักที่ประโยคแรก เน้นพยางค์แรกๆ ด้วยซ้ำ ขณะที่ท่องก็ทำท่าทางประกอบไปด้วย แสงแดดก็ชี้ไปที่ดวงอาทิตย์ กระถางธูปก็เอามือวาดเป็๲รูปทรงที่หน้าอก หมอกสีม่วง ก็เอานิ้ววาดเป็๲วงกลมแล้วยกขึ้นข้างบน ดูสมจริงมาก ทำให้หมี่หลันหยางจำประโยคนี้ขึ้นใจในทันที

        ไม่รู้ว่าท่องไปกี่รอบ เมื่อครูเดินเข้ามา หมี่หลันเยว่รีบนั่งตัวตรง มองดูพี่ชายและเ๯้าหนุ่มซนที่นั่งตัวตรงเหมือนกัน ดูเหมือนว่าอำนาจของครูจะใช้ได้ผล นักเรียนต่างก็แสดงท่าทีที่เหมาะสมต่อการปรากฏตัวของครูทันที

        "นักเรียนทั้งหมดทำความเคารพ"

        "สวัสดีค่ะ/ครับคุณครู"

        "สวัสดีนักเรียน"

        ที่แท้ ห้องเด็กโตก็ทำเหมือนเวลาไปโรงเรียนอย่างเป็๞ทางการแล้ว แถมยังเรียกครู ไม่เรียกน้า ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกดีขึ้นเยอะ อย่างน้อยการเรียกครูก็เป็๞การพิสูจน์ว่าตัวเองเป็๞นักเรียนแล้ว นั่นก็คือโตขึ้นแล้ว ส่วนการเรียกน้าก็เหมือนบอกว่าตัวเองยังเป็๞เด็กเล็กอยู่ ต้องมีคนคอยดูแล ความหมายมันต่างกันมาก

        "เมื่อวานครูบอกว่าจะสอบบทกวีของหลี่ไป๋ ไม่รู้ว่านักเรียนท่องกันได้หรือยัง?"

        พอครูพูดจบ ในห้องเรียนก็เงียบกริบ หมี่หลันเยว่คาดเดาอยู่ในใจว่า นักเรียนส่วนใหญ่คงจะท่องไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเด็กตัวเล็กตัวน้อยวัยนี้คงจะรีบยกมือแสดงออกไปแล้ว

        "ทำไม ไม่มีใครอาสาบ้างเลยเหรอ ใครท่องได้ก็ยกมือขึ้นเองได้เลยนะ"

        ครูจงใจเหลือบมองไปที่หมี่หลันหยาง นี่คือนักเรียนที่ครูชอบที่สุด จะปล่อยให้งานที่ครูมอบหมายต้องล้มเหลวไม่ได้ ถ้าทั้งห้องท่องไม่ได้ ก็ไม่ใช่ปัญหาของนักเรียนแล้ว แต่เป็๞ปัญหาของครูต่างหาก

        หมี่หลันหยางมองไปทางซ้ายทีขวาที เห็นว่าไม่มีใครยกมือ เขาก็มองไปที่น้องสาวที่อยู่ข้างๆ เขาไม่อยากขโมยผลงานของน้องสาว ถ้าหากน้องสาวสามารถลุกขึ้นมาท่องได้ นั่นก็ถือเป็๲เกียรติของเขาเช่นกัน หมี่หลันเยว่กลับส่ายหน้าให้เขาเบาๆ เป็๲สัญญาณว่าเธอจะไม่ลุกขึ้น แถมยังกำหมัดให้กำลังใจพี่ชายอีกด้วย พี่ชาย หนูจะช่วยพี่เองค่ะ

        เห็นน้องสาวยืนกราน หมี่หลันหยางก็เห็นว่าไม่มีเพื่อนร่วมชั้นคนไหนยกมือ เขาก็เลยต้องยกมือขึ้น ในฐานะหัวหน้าห้อง เขาต้องเป็๞ผู้นำ ครูเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนในทันที

        "หมี่หลันหยาง เธอมาท่องสิ"

        หมี่หลันหยางที่ลุกขึ้นยืน กำลังจะอ้าปาก แต่ประโยคแรกก็หายวับไปกับตา จู่ๆ ก็จำไม่ได้ขึ้นมา ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ท่องจนคล่องแล้วแท้ๆ เขาเหลือบมองไปที่น้องสาวโดยไม่รู้ตัว เห็นเธอยื่นนิ้วชี้ไปที่ท้องฟ้าข้างนอก แล้วเอามือวาดเป็๞รูปทรงที่หน้าอก

        "แสงสุรีย์ฉายส่องต้องกระถาง ม่านธูปจางแปรเปลี่ยนเป็๲ม่วงพร่าง แลไกลโพ้นคือน้ำตกหน้าผากลาง สายธาราล่วงลงล่างสู่แผ่นดิน ดุจฟากฟ้าวิมานถล่มดิน"

        น้องสาว ขอบคุณมาก! ขณะที่นั่งลง หมี่หลันหยางเห็นรอยยิ้มที่สดใสเหมือนดอกไม้ของน้องสาวที่อยู่ข้างๆ