อาหารเย็นมื้อนี้ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกัน
มู่อวิ๋นจิ่นก้มหน้าก้มตาทานด้วยรู้สึกมีความกดดันจากสายตาฉู่ลี่ สงสัยการที่รู้ว่าตำหนักของหรงเฟยถูกคนบุกเข้าไปคงจะอารมณ์เสียไม่น้อย
จู่ๆ มู่อวิ๋นจิ่นนึกเื่หนึ่งขึ้นมาได้จึงหันไปพูดกับฉู่ลี่ “ท่านอ๋องหรงจะแต่งมู่หลิงจูเป็สนมเช่อเฟย”
ฉู่ลี่พยักหน้ารับทราบเพียงเล็กน้อย
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นเขาแน่นิ่งเหมือนไม่สนใจในเื่ที่เล่า จึงก้มหน้าก้มตาทานข้าวจนหมดอย่างรวดเร็ว “ข้าทานอิ่มแล้ว”
ยังไม่ทันที่ฉู่ลี่จะเอ่ยปาก มู่อวิ๋นจิ่นกลับลุกขึ้นเดินออกจากห้องอาหารไป
ฉู่ลี่มองนางจากด้านหลังด้วยความสงสัย
……
มู่อวิ๋นจิ่นเดินออกไปแล้วมุ่งหน้าตรงกลับเรือนลี่เฉวียน แล้วถามจื่อเซียงระหว่างทางเดิน “เ้าว่าฉู่ลี่ทานยาผิดมาหรือวันนี้?”
“เห็นชัดๆ ว่าข่าอยู่จวนรอเขากลับมา ผลคือพบหน้าแล้วกลับเ็าไม่แยแสใส่”
จื่อเซียงได้แต่เม้มปาก “บ่าวไม่รู้นิสัยขององค์ชายหกดี อาจเป้นไปได้หรือไม่ว่าคุณหนูทำให้องค์ชายหกไม่พอใจเ้าคะ?”
“ก็ไม่มีนี่หน่า” มู่อวิ๋นจิ่นพยายามระลึก ก็นึกไม่ออกว่าไปทำให้เขาโกรธั้แ่เมื่อใด
หลังจากที่เดินมาถึงเรือนลี่เฉวียนแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นให้จื่อเซียงไปเตรียมน้ำร้อนเพื่อชำระร่างกาย
ไม่นานนัก จื่อเซียงเตรียมน้ำร้อนไว้เรียบร้อยแล้วมาช่วยมู่หลิงจูถอดอาภรณ์คลุมตัว พาดไว้ที่เก้าอี้ด้านข้าง จากนั้นมานั่งลงถอดปิ่นวางไว้ที่หน้าโต๊ะผลัดแป้ง
“ห๊ะ คุณหนู ทำไมอาภรณ์ถึงมีคราบเืเ้าคะ?” จื่อเซียงยกถอดอาภรณ์คลุมตัวขึ้นมาดูด้วยความใ
มู่อวิ๋นจิ่นวางหวีลงที่โต๊ะทันที รับอาภรณ์คลุมตัวเข้ามาดู พบว่าตรงบริเวณปกมีคราบเืหลายหยด สีสันยังสดดูแล้วเปื้อนมาไม่นาน
มู่อวิ๋นจิ่นไม่รู้ว่าคราบเืนี้เป็ของเหวินหย่วนหรือิหย่วน ที่กระเด็นมาโดนอาภรณ์คลุมตัวของนาง
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกใไม่ต่างกัน ขมวดคิ้วสงสัย เมื่อครู่นางไม่ทันสังเกตเห็นคราบเื ทว่าระหว่างที่ทานข้าว ฉู่ลี่คงสังเกตเห็นเข้าแล้ว
หากถูกเขาสงสัยเข้าแล้วละก็ มีหวังต้องซวยเป็แน่แท้
“คุณหนู คราบเืเหล่านี้……” จื่อเซียงเห็นมู่อวิ๋นจิ่นไม่ตอบ จึงถามขึ้นอีกครั้งด้วยความห่วงใย
มู่อวิ๋นจิ่นสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบอารมณ์ ก่อนเผยยิ้มออกมา “สงสัยเมื่อครู่ที่นอนคงตบยุงไปหลายตัว”
“อ๋อ ที่แท้เป็เช่นนี้ บ่าวใแทบแย่เลยเ้าค่ะ” จื่อเซียงถอนหายใจอย่างโล่งอก “อย่างนั้น คุณหนูไปอชำระร่างกายก่อนเถอะเ้าค่ะ บ่าวจะไปซักอาภรณ์คลุมตัวให้เ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าอนุญาต
จื่อเซียงหยิบอาภรณ์คลุมตัวเดินออกจากห้องไป บังเอิญเห็นฉู่ลี่เดินกลับมาที่เรือนลี่เฉวียนพอดิบพอดี
“คารวะองค์ชายหกเพคะ” จื่อเซียงย่อตัว
ฉู่ลี่ตอบรับ สายตาส่องมาหยุดลงที่อาภรณ์คลุมตัวมู่อวิ๋นจิ่นที่อยู่ในมือจื่อเซียง เขาสังเกตเห็นคราบเืติดอยู่
จื่อเซียงเห็นสายตาของฉู่ลี่จับจ้องมาที่อาภรณ์คลุมตัวในมือ พร้อมกับหัวเราะคิกคัก “เมื่อบ่ายคุณหนูนอนหลับเผลอตบยุงโดยไม่รู้ตัว เืยุงจึงติดอยู่ เมื่อครู่บ่าวเองก็ตระหนกใเหมือนกันเพคะ”
หลังจากจื่อเซียงอธิบายยืดยาว ฉู่ลี่ไม่ได้ว่าอะไร จื่อเซียงจึงทำความเคารพอีกครั้งแล้วนำชุดไปทำความสะอาด
ติงเซี่ยนที่เดินตามหลังฉู่ลี่หันกลับมามองอาภรณ์คลุมตัวในมือจื่อเซียง แล้วเดินเข้าไปกระซิบข้างหูฉู่ลี่ “พระชายานอนหลับยังสวมอาภรณ์คลุมตัวชุดนอกอีกเหรอพ่ะย่ะค่ะ”
“หึๆๆๆ” ฉู่ลี่หัวเราะในลำคอ
“มีอะไรเหรอครับองค์ชาย” ติงเซี่ยนงวยงงจนต้องเงยหน้ามองฉู่ลี่
ฉู่ลี่หัวเราะแต่ไม่ตอบอะไร สายตากลับจับจ้องไปห้องมู่อวิ๋นจิ่นที่แสงสว่างอยู่ สตรีผู้นี้ช่างน่าสนใจมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากนัก
จวนอัครเสนาบดีมู่เก็บความร้ายกาจไว้เงียบเชียบเหมือนไม่มีอะไร ลับหลังกลับฝึกบุตรสาวได้เก่งกาจสามารถมากถึงเพียงนี้ ช่างน่าสนใจเหลือเกิน!
……
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นอาบน้ำชำระร่างกายเป็ที่เรียบร้อย ก็เดินไปพิงตัวลงบนเตียงอ่อนนุ่ม หยิบคัมภีร์เฉวียนหลิงใต้หมอนขึ้นมาอ่าน
เมื่อพลิกเปิดหน้าแรกดูอีกครั้ง ด้วยความอยากรู้อยากลองมู่อวิ๋นจิ่นจึงเดินพลังลมปราณตามรูปภาพที่วาดไว้เป็ลำดับขั้น
โดยควบคุมพลังลมปราณไปตามจักระต่างๆ จนนางััได้อย่างชัดเจน
มู่อวิ๋นจิ่นเกิดความใขึ้นมา นึกไม่ถึงว่านางสามารถควบคุมพลังลมปราณได้แล้ว ขั้นต่อไปคงจะต้องเรียนรู้การนำไปใช้ประโยชน์
มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วพลิกดูหน้าต่อไป เริ่มเรียนรู้จากภาพที่วาดไว้เป็ลำดับขึ้นตอน
ระหว่างที่กำลังฝึกฝนอยู่นั้น มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นนึกว่าเป็จื่อเซียงจึงรีบปิดคัมภีร์เฉวียนหลิงกลับไปไว้ใต้หมอนดังเดิม เอ่ยเสียงอนุญาต “เข้ามาได้”
ประตูถูกเปิดออก มู่อวิ๋นจิ่นเงยหน้ามองไป เห็นเงาแวบเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ทำไมเป็เ้าไปได้?”
“ทำไมเปิ่นหวงจื่อจะมาหาเ้าไม่ได้?” ฉู่ลี่ย้อนถาม
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มมุมปากด้วยความเก้อเขิน เนื่องด้วยนางเพิ่งชำระร่างกาย อาภรณ์ที่สวมก็เป็ชุดนอน ฉู่ลี่มายืนจ้องมองก็ทำตัวไม่ค่อยถูก
ฉู่ลี่เห็นนางสวมชุดนอนสีขาวบางเบา พริ้วไหวไปตามลม ใบหน้าของนางงดงามเป็ธรรมชาติราวกับนางฟ้าจากสรวง์มิปาน แต่นึกขึ้นได้ว่าการเปรียบเช่นนี้อาจดูเกินจริงไป เพราะที่จริงแล้ว นางเป็สุนัขจิ้งจอกเ้าเล่ห์ต่างหาก!
คิดได้เช่นนั้น ฉู่ลี่ยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
พอมู่อวิ๋นจิ่นเห็นสีหน้าของเขาที่แสดงออก กลับรู้สึกจิตใจไม่สงบ แต่ไหนแต่ไรมา บุรุษผู้นี้ปกติเ็าไร้ความรู้สึก แต่ในวันนี้กลับมายิ้มมุมปากให้นางดู
“เ้ามาหาข้ามีธุระอะไรกันแน่?” มู่อวิ๋นจิ่นเลือกย้อนถามด้วยใบหน้าฉงน
“พรุ่งนี้เปิ่นหวงจื่อจะเดินทางไปเมืองจางโจว เ้าจะไปด้วยไหม?” ฉู่ลี่ถามขึ้น
ด้วยความแปลกใจ ตามสัญชาตญาณของนางเกิดความกลัววไม่อยากไป แต่คิดดูแล้ว ขอเลือกถามต่อไป “ไปไหน? ไปทำอะไร?”
“ไปหาเงินหาทอง” ฉู่ลี่ตอบเสียงนิ่ง
“หาเงินหาทอง?” มู่อวิ๋นจิ่นเบิกตาโพลงเท่าไข่ห่าน “จะไปเอามายังไง?”
“ถึงตอนนั้นเ้าก็รู้เอง” ฉู่ลี่เลิกคิ้วขึ้น “ถ้าไม่ไปก็คงไม่เหลือ”
มู่อวิ๋นจิ่นยกเท้าขึ้นมานั่งขัดสมาธิ สายตามองไปรอบห้อง “เงินทอง” เป็ของที่ยุคไหนๆ มิอาจปฏิเสธได้ทั้งนั้น ถึงแม้นางจะมีตุนอยู่สามหมื่นตำลึงทอง ทว่าใครต่างอยากมีสะสมไว้มากๆ
“ถ้าข้าไปด้วย จะได้เงินทองมาเท่าไหร่?” ถึงแม้ยังไม่ทราบวิธีการ แต่มู่อวิ๋นจิ่นกลับเชื่อฉู่ลี่อย่างหมดใจในเื่นี้
ฉู่ลี่ยิ้มแห้ง “อย่างน้อยห้าพันตำลึงทอง”
มู่อวิ๋นจิ่นตาเลิกโพลงโตขึ้นกว่าเดิม ยกมือขึ้นมานับ เงิห้าพันตำลึงทองไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ในเมื่อฉู่ลี่กล้าเอ่ยปากบอก มีหรือที่นางจะไม่ตื่นเต้น
ระหว่างที่กำลังจะอ้าปากตอบตกลง ฉับพลันนึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ นางจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ฉินมู่เยว่ไปด้วยหรือไม่?”
หากฉินมู่เยว่ไปด้วยละก็ จะได้เงินทองมากมายเท่าไหร่ หัวเด็ดตีนขาดก็ก็จะไม่ไป!
“นางไม่ไป มีเพียงเ้ากับข้าสองคน!” ฉู่ลี่หันมองมู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยค “ติงเซี่ยนก็ไม่ได้ไปด้วยครั้งนี้”
เมื่อได้ยินว่าไปกันเพียงสองคน มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย แต่พอมานึกดูดีๆ แล้ว การที่ติงเซี่ยนไม่ได้เดินทางไปด้วยในคราวนี้ นางต้องลองถามหยั่งเชิงเสียหน่อย “ติงเซี่ยนเป็องครักษ์ประจำตัวมิใช่หรือ? เหตุใดไม่พาเขาไปด้วย?”
“การเดินทางในครั้งนี้ คนยิ่งน้อยยิ่งดี หรือว่าเ้าอยากแบ่งกับคนมากๆ” ฉู่ลี่ถามเสียงเรียบ
“ไม่มีทาง อย่างนั้นเ้ากับข้าไปกันสองคนก็ได้!” มู่อวิ๋นจิ่นพยายามเก็บความรู้สึกตื่นเต้น ไม่ให้แสดงออกมาทางแววตา เพียงแค่คิดถึงเงินทองหลังจากต้องออกจากจวนองค์ชายหก นางก็จะเป็เศรษฐีนีผู้มั่งมี
หลังจากตกลงกันเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ฉู่ลี่เตรียมตัวเดินกลับไปที่ห้องของตนเอง ด้านนอกมีเสียงเอะอ่ะดังขึ้น
“อั๊ยย่ะ ฉินไท่เฟยเดินช้าๆ หน่อยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ออกไป อายเจียจะไปดูลี่เอ๋อร์กับจิ่นเอ๋อร์ พวกเขาพักอยู่ที่ห้องไหน?”
ทันทีที่ได้ยินเสียงของฉินไท่เฟย มู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่หันหน้ามาสบตากันโดยพร้อมเพรียงด้วยความใ จากนั้นเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น
“ลี่เอ๋อร์ จิ่นเอ๋อร์ อายเจียขอเข้าไปได้ไหม?” ฉินไท่เฟยถามอยู่หน้าประตูด้านนอก
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักหันหน้ามองฉู่ลี่ ได้ยินเขาตอบว่า “เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
ประตูถูกเปิดออก แม่นมชวีประคองฉินไท่เฟยเดินเข้ามาด้านในห้องนอนมู่อวิ๋นจิ่น เข้ามานั่งบนเตียงข้างมู่อวิ๋นจิ่น ส่วนฉู่ลี่กลับยืนอยู่ด้านข้าง “เมื่อครู่ที่อายเจียเคาะประตู ก็นึกกลัวว่าเข้ามาขัดจังหวะหรือเปล่า ดูท่าแล้วมาได้เห็นเื่ดีๆ พอดิบพิดี”
เมื่อได้ยินคำพูดที่แฝงความหมายของฉินไท่เฟย มู่อวิ๋นจิ่นตอบอย่างขวยเขิน “ไท่เฟย กลางค่ำกลางคืนมาอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“เห้อ อย่าเอ่ยถึงมันเลย” ฉินไท่เฟยลุกขึ้นไปนั่งเก้าอี้ มองค้อนไปทางฉู่ลี่ “อายเจียได้ยินมาว่า วันนี้คุณหนูฉินพัวพันลี่เอ๋อร์ทั้งวัน ทำแบบนี้ไม่ดีเลย!”
“นางรู้ทั้งรู้ว่าลี่เอ๋อร์มีครอบครัวแล้ว ยังตามติดหนึบข้างกาย เสมือนไม่รู้จักมารยาทที่ดี ไม่เหมาะสมกับเกิดในตระกูลสูงศักดิ์แม้แต่น้อย”
“ดังนั้น อายเจียตัดสินใจแล้ว ่นี้จะย้ายมาอยู่ที่จวนนี้สักระยะหนึ่ง เพื่อจับตาฉินมู่เยว่โดยเฉพาะ ให้หยุดความคิดอาจเอื้อมลี่เอ๋อร์ มิฉะนั้นอายเจียจะสั่งให้คนไปลากตัวนางมาโบยให้ตายประเดี๋ยวนี้!”
มู่อวิ๋นจิ่นปากกระตุกหลายที ที่แท้ฉินไท่เฟยมาด้วยเื่ของฉู่ลี่และฉินมู่เยว่นี่เอง นางจึงเลิกไม่ตอบ ปล่อยให้ฉู่ลี่เป็คนรับมือเอง
ฉู่ลี่เห็นอารมณ์ฉินไท่เฟยยังขึ้นอยู่ จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงยืดยาว “วันพรุ่งนี้กระหม่อมจะพาอวิ๋นจิ่นไปเที่ยวด้านนอก สองสามวันนี้อาจไม่ได้อยู่ที่จวนพ่ะย่ะค่ะ”
“ห๊ะ? ไปกับอวิ๋นจิ่นจริงใช่ไหม?” ฉินไท่เฟยปรายตามองฉู่ลี่ด้วยไม่ค่อยเชื่อใจ
ฉู่ลี่พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “เื่จริงพ่ะย่ะค่ะ”
“ค่อยยังชั่วหน่อย เ้ากับฉินมู่เยว่ไปเที่ยวเล่นกันมาสองคงเกินพอแล้ว ไม่ควรไปมาหาสู่กันทุกวัน นางมีมารยาสาไถยไม่น้อย! อายเจียเห็นหน้านางเพียงแวบแรกก็ไม่ถูกชะตาแล้ว!”
ฉินไท่เฟยเอ่ยจบลงก็ส่งสายตาให้แม่นมชวี “วันนี้ก็ดึกมากแล้ว อายเจียจะพักที่นี่สักหนึ่งคืน พวกเ้าสองคนก็รีบพักผ่อนเร็วเข้าล่ะ”
ยังไม่ทันที่มู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่จะน้อมส่ง ฉินไท่เฟยหันกลับมากะพริบตาอย่างมีนัยยะ “ถ้าให้ดีรีบให้อายเจียมีหลานอุ้มเร็วไวหน่อยแล้วกัน”
จากนั้นฉินไท่เฟยเดินยวดยาดออกจากห้องไป และสั่งให้คนปิดประตูให้สนิท
มู่อวิ๋นจิ่นปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นนวดขมับ และพูดกับฉู่ลี่ขึ้นยืนอยู่ว่า “ดึกแล้ว เ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ”
“เ้าช่วยเดินไปดูที่หน้าประตูให้หน่อยได้ไหมเอ่ย” ฉู่ลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หือ?” มู่อวิ๋นจิ่นยังไม่เข้าใจว่าฉู่ลี่ทำไมไม่ไปดูเอง
นางจึงลงจากเตียง สวมรองเท้าเดินตรงไปที่ประตู แง้มอย่างระมัดระวังเพื่อเปิดดู เห็นภายนอกเต็มไปด้วยองครักษ์รักษาพระองค์
ด้วยเหตุนี้มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่ถอนหายใจ ปิดประตูอย่างเบามือ ยืนพิงเสา “อย่างนั้นคืนนี้เ้าจะนอนที่ไหน?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้