“แล้วอย่างไรเล่า ข้าจำได้ว่าตอนนั้นในท้องของฮูหยินดูเหมือนว่ายังมีเด็กอีกคน นั่นต่างหากน้องชายที่เกิดจากภรรยาเอกของข้า ฟางอี๋เหนียงลงมือครานั้นยังไม่เห็นลังเลใจเช่นนี้เลย” โม่เสวี่ยิ่โต้ตอบฟางอี๋เหนียงอย่างไม่ไว้หน้า
“ท่านควรรู้ว่าตอนนี้นังเด็กนั่นเริ่มระแวงสงสัยในตัวท่านแล้ว หากนางยืมอำนาจจากจวนฝู่กั๋วกงขุดคุ้ยเื่ที่เกิดขึ้นในจวนเก่าที่เมืองอวิ๋นเฉิงมาตรวจสอบใหม่ ท่านรับประกันได้หรือไม่ ว่าพวกเขาจะไม่พบเบาะแสใดๆ แม้แต่น้อย ยามนั้นพวกเรากำลังจะเข้าเมืองหลวง เกรงว่าท่านคงมิได้จัดการกวาดล้างทุกสิ่งให้หมดจดหรอกกระมัง”
เื่สำคัญเช่นนี้หากถูกจับได้ ปัญหาย่อมมิใช่เพียงเื่จะได้ยกขึ้นเป็ภรรยาเอกหรือไม่แล้ว!
ฟางอี๋เหนียงหน้าซีดในบัดดล นิ้วมือที่ชี้หน้าโม่เสวี่ยิ่สั่นระริกพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นี่คือความลับที่เก็บซ่อนอยู่ในใจของนางมาตลอด โม่เสวี่ยิ่ไม่น่าล่วงรู้ได้ คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวจะยกออกมาพูด
นี่ก็แสดงว่านางรู้ เป็ไปได้อย่างไร นางรู้ได้อย่างไร เื่นี้เป็ความลับสุดยอด แม้แต่โม่ฮว่าเหวินยังไม่เคยระแคะระคาย ตอนนั้นโม่เสวี่ยิ่เพิ่งจะสิบเอ็ดขวบ เมื่อคิดถึงประเด็นนี้คงมิได้มีเพียงโม่เสวี่ยิ่คนเดียวที่รู้ พอนึกถึงความเป็ไปได้ที่โม่ฮว่าเหวินจะรู้ต้นสายปลายเหตุของเื่นี้ ฟางอี๋เหนียงก็อกสั่นหวาดผวา มือไม้สิ้นเรี่ยวแรงพับตกลงบนเตียง
“อี๋เหนียง... หากสาวใช้ผู้นั้นตายไป โอกาสรอดก็ยังพอมี แต่ถ้ายังคิดอะไรตื้นๆ อยู่ ไม่แจ้งใจในสถานการณ์แล้วยังดันทุรังทำในสิ่งโง่งม เฝ้าฝันลมๆ แล้งๆ ว่าท่านพ่อจะคิดเองได้แล้วยกท่านขึ้นเป็ภรรยาเอก เช่นนั้นก็เตรียมตัวรอวันตายเถิด ถึงเวลานั้นเด็กในท้องของท่านไม่ว่าจะคลอดออกมาแล้วหรือไม่ ท้ายที่สุดก็ต้องกำพร้ามารดา ข้ากับพี่ชายก็ต้องกลายเป็บุตรของอนุภรรยาผู้ชั่วร้าย ไม่อาจเงยหน้ามองผู้ใดตลอดชีวิต คิดหรือว่าท่านพ่อจะใจดีกับบุตรที่เกิดจากอนุภรรยาที่ทำร้ายฮูหยินคนก่อน ดังนั้นท่านยอมให้เขาตายั้แ่ตอนนี้ยังดีกว่า มิเช่นนั้นพวกเราแม่ลูกทั้งสองสามคนก็รอตายตามกันไปได้เลย”
น้ำเสียงเย็นะเืของโม่เสวี่ยิ่ไม่หนักและไม่เบาดังก้องอยู่ภายในห้อง ใบหน้าสะสวยแข็งกร้าวทำให้คนรู้สึกพรั่นพรึงในความร้ายกาจ ภายใต้แสงตะเกียงสีเหลืองนวล เงาร่างของโม่เสวี่ยิ่ทิ้งตัวลงบนเตียง สีหน้าของฟางอี๋เหนียงซีดเซียวสลับเขียวคล้ำ ดูน่าขนลุกแม้นภูตผีก็มิปาน
นิ้วมือของนางสั่นไม่หยุด ไม่อาจควบคุมตนเองได้
ให้เป็แบบนั้นไม่ได้ นางจะให้โม่ฮว่าเหวินค้นพบความจริงในยามนั้นไม่ได้ คำเตือนของโม่เสวี่ยิ่ไม่ได้เกินกว่าเหตุ ด้วยนิสัยของโม่ฮว่าเหวิน เขาให้ความสำคัญต่อลั่วเสียเป็ที่สุด หากเขารู้ความจริงจะต้องไม่ละเว้นชีวิตของตนเองแน่ ฟางอี๋เหนียงไม่กล้าเดิมพัน หรือจะพูดอย่างตรงจุด นางไม่กล้าเอาอนาคตของโม่อวี่เฟิงมาเดิมพัน และไม่กล้านำโชคอำนาจวาสนาของตนเองเข้าแลกด้วย
“ยิ่งไปกว่านั้น ในท้องของท่านก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็บุตรชาย อาจเป็เพียงบุตรสาวก็ได้” โม่เสวี่ยิ่ยังคงคุกคามด้วยวาจาต่อไป เห็นสีหน้าของฟางอี๋เหนียงจากหมองคล้ำเปลี่ยนมาเป็ขาวซีด จากขาวซีดก็กลับไปเป็หมองคล้ำอีก ก็รู้ได้ว่าเป้าหมายของตนเองเกือบจะสำเร็จแล้ว จึงลุกขึ้น สีหน้าเปลี่ยนกลับไปแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นที่เคยเป็
นางยืนอยู่ข้างเตียงแล้วคุกเข่าลง เอื้อมเข้ามาจับมือของฟางอี๋เหนียง เกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “อี๋เหนียงคิดอยากให้ข้าเรียกท่านว่าท่านแม่มาโดยตลอดมิใช่หรือ หากท่านได้เป็ภรรยาเอก ข้ากับพี่ชายก็สามารถเรียกท่านว่าท่านแม่ได้แล้ว ท่านเองก็ไม่ต้องแอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ ที่ไม่อาจออกหน้าได้อีกต่อไป”
“ตะ... แต่ว่า...” ฟางอี๋เหนียงอ้าปากพะงาบๆ หายใจไม่ออกไปชั่วขณะเหมือนมัจฉาชะตาขาด เหงื่อกาฬไหลท่วมศีรษะ
โม่เสวี่ยิ่ลุกขึ้น ริมฝีปากผลิยิ้มละมุนละไม “ไม่มีแต่ใดๆ ทั้งนั้น ความลับต้องเป็ความลับไม่อาจให้ใครรู้ได้ แต่หากมีคนรู้ก็ต้องตกเป็เบี้ยล่าง ไม่อาจลืมตาอ้าปากได้อีกต่อไป”
“ไม่ได้ นี่เป็น้องชายแท้ๆ ของเ้าเชียวนะ” ฟางอี๋เหนียงเอื้อมมือมาดึงชายเสื้อของโม่เสวี่ยิ่ ดวงตาเบิกกว้างมองบุตรสาวอย่างวิงวอน
“เอาเถิด เมื่ออี๋เหนียงรักใคร่ห่วงใยบุตรสาวถึงเพียงนี้ บุตรสาวเช่นข้าก็จะชี้แนะทางสว่างให้ แต่หากท่านยังทำพลาดอีก ก็คงเหลือแต่เส้นทางนี้เป็หนทางสุดท้ายแล้ว” โม่เสวี่ยิ่มองเหยียดลงมาด้วยสายตาเ็า
…
ในเวลาเดียวกัน โม่ฮว่าเหวินถือราชโองการในมือเดินออกมาจากประตูวังหลวง สีหน้าเคร่งเครียดดูสับสนว้าวุ่นใจยิ่ง คนจากจวนโม่ที่มาดักรออยู่ด้านหน้าพอเห็นโม่ฮว่าเหวินออกมา ก็รีบเข้าไปรายงานข่าวดีว่าโม่เสวี่ยถงปลอดภัยแล้ว โม่ฮว่าเหวินจึงพรูลมหายใจอย่างโล่งอก ทว่าเมื่อสายตาเลื่อนไปที่พระราชโองการสีเหลืองทอง ใบหน้าก็ฉายแววจนใจ ริมฝีปากระบายยิ้มฝืดเฝื่อนโดยไม่รู้ตัว
เหตุการณ์เขย่าขวัญชวนตื่นตะลึงเช่นนี้ หากผู้ตรวจการพระนครอย่างเขาจัดการได้ไม่ดี ก็คงพูดลำบาก...
เมื่อคืนนี้จวนิกั๋วกงถูกปล้น นี่เป็เื่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในประวัติศาสตร์ สี่ตระกูลขุนนางใหญ่ที่มีคุณูปการต่อแว่นแคว้น ไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามีอำนาจมากมายเพียงใด จะมีโจรที่ไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ สวมหัวใจเสือเข้าปล้นทรัพย์สินในจวนกั๋วกง แต่ที่น่าแปลกก็คือเมื่อคืนยามที่บ้านตนเองเกิดเพลิงไหม้ก็เป็เวลาเดียวกันกับที่จวนิกั๋วกงถูกโจรปล้น
ผู้ตรวจการพระนครคนก่อนก็ถูกปลดจากตำแหน่งด้วยเหตุนี้
ได้ยินมาว่าเมื่อคืนประมาณยามชวด[1] มีโจรสิบกว่าคนไม่รู้ว่าบุกผ่านประตูกลางเข้าไปถึงเรือนชั้นในได้อย่างไร หญิงรับใช้าุโที่เฝ้าประตูถูกสังหารสิ้น ปล้นชิงของมีค่าไปมากมาย กว่าคนในจวนจะรู้เื่ก็ผ่านไป่เวลาหนึ่งแล้ว ยามนั้นเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย มีโจรสองสามคนตายในเหตุการณ์ ที่เหลือก็หลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอย
ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกมันอาศัย่ชุลมุนลักพาตัวคุณหนูในจวนคนหนึ่งไปด้วย เื่แบบนี้หากแพร่งพรายออกไป ไม่เพียงแต่คุณหนูผู้นั้นจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเท่านั้น แม้แต่จวนิกั๋วกงก็พลอยเสียหน้าไปด้วย ตระกูลขุนนางชั้นสูงที่มีคุณูปการต่อแผ่นดิน ทั้งเป็หนึ่งในสี่ตระกูลกงที่ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นต้องมาประสบกับเื่แบบนี้ จักรพรรดิจงเหวินตี้ทรงพิโรธจนท้องพระโรงแทบแตก มีพระบัญชาลงมา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตามจับโจรถ่อยเหล่านี้กลับมาเข้ากระบวนการทางกฎหมายให้ได้ แต่คนก็หนีไปหมดแล้ว ผืนดินแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ โม่ฮว่าเหวินก็จนปัญญารับมือเช่นกัน
ขณะที่ขึ้นรถม้าก็ตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมอาการถงเอ๋อร์ก่อน ค่อยกลับไปห้องหนังสือคิดหาวิธีจัดการปัญหา ยังโชคดีที่จักรพรรดิมิได้ทรงกำหนดวันที่เป็เส้นตาย จึงยังพอมีเวลาคิดวางแผนได้อยู่ แต่รถม้าเคลื่อนไปได้ไม่นานก็ต้องหยุดลง โหยวเยวี่ยเฉิงซื่อจื่อแห่งจวนิกั๋วกงถือกระบี่ยืนขวางทางอยู่นอกรถ สีหน้าดูเ็าดุดันกว่าปรกติหลายเท่า
“คารวะใต้เท้าโม่ ไม่ทราบว่าใต้เท้าจะหยุดคุยกันก่อนได้หรือไม่” โหยวเยวี่ยเฉิงเก็บกระบี่กลับลงไป แล้วประสานมือคารวะโม่ฮว่าเหวิน
โม่ฮว่าเหวินจึงจำต้องลงจากรถ แล้วเดินไปข้างทางพร้อมกับชายหนุ่ม ก่อนเริ่มเอ่ยถาม “ซื่อจื่อมีเื่อันใด”
“ใต้เท้าโม่ ข้ามีเื่รบกวนเื่หนึ่ง ไม่ทราบว่าใต้เท้าจะสะดวกหรือไม่ หากภายหน้ามีข่าวน้องหญิงห้าของข้า รบกวนท่านช่วยแจ้งให้ทราบทันทีได้หรือไม่” โหยวเยวี่ยเฉิงลดเสียงเบา ใบหน้าเ็าแข็งกร้าวยิ่งดูเฉียบคมขึ้นอีกหลายส่วน
น้องหญิงห้าที่เขาเอ่ยถึงก็คงเป็คุณหนูของจวนิกั๋วกงที่หายตัวไปกระมัง ดูจากเงากระบี่เย็นเยียบข้างมือ โม่ฮว่าเหวินย่อมกระจ่างใจในความหมายของอีกฝ่าย ได้แต่ถอนหายใจอยู่เงียบๆ การเกิดมาในตระกูลสูงส่งมั่งคั่งก็ใช่ว่าจะมีความสุขมากมาย แต่กลับเอ่ยปากให้คำตอบอย่างไม่ลังเล “ซื่อจื่อเกรงใจไปแล้ว หากมีข่าวคราวของนาง ข้าจะต้องแจ้งให้ซื่อจื่อทราบเป็คนแรก”
“ขอบคุณใต้เท้าโม่เป็อย่างยิ่ง” ในที่สุดโหยวเยวี่ยเฉิงก็วางใจ จากนั้นก็หมุนตัวพาคนหายไปในความมืด สถานที่ที่มุ่งหน้าไปมิใช่จวนิกั๋วกง เห็นได้ชัดว่ายังไม่ละความพยายามที่จะค้นหาคน
โม่ฮว่าเหวินมองตามหลังของเขาไป ไม่รู้ว่าตนเองควรจะยินดีหรือควรปวดเศียรเวียนเกล้า แต่ก็ยังคงทอดถอนใจเบาๆ เมื่อเปรียบเหตุการณ์ที่เกิดกับจวนิกั๋วกงแล้ว ปัญหาของจวนโม่กลายเป็เื่เล็กน้อยไปถนัดตา เื่ของิ่เอ๋อร์ยังนับว่ามีคำตอบที่พอลื่นไหลไปได้ เขาไม่ยินดีให้บุตรสาวคนโตของตนไปเป็อนุภรรยาผู้อื่น แต่สำหรับโม่เสวี่ยฉงธิดาผู้ไม่เอาไหน เขารู้สึกไร้วาจาจริงๆ
คิดแล้วก็ส่ายหน้า หัวคิ้วขมวดพลางก้าวขึ้นรถม้าแล้วสั่งให้ออกรถ คนขับตวัดแส้ทีหนึ่งรถม้าของจวนโม่จึงควบตะบึงออกไปอีกครั้ง
และแล้วสถานการณ์ก็เป็ดังคาด วันรุ่งขึ้น ข่าวลือเื่จวนิกั๋วกงก็ดังกระหึ่มไปถ้วนทั่วหัวระแหง กลบข่าวเื่ไฟไหม้จวนโม่เสียสนิท เหลือกระแสให้ได้ยินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เนื่องจากจวนโม่เป็เพียงจวนของขุนนางขั้นสาม ย่อมไม่อาจเทียบกับจวนสกุลโหยวได้ อีกทั้งเื่ในสกุลโม่ก็เป็เพียงเื่เล็กๆ ของสตรี ได้ยินว่าเื่นี้ยังเป็ความเข้าใจผิดกันอีกด้วย หญิงสาวที่เจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่ออุ้มออกมาจากเหตุเพลิงไหม้ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ แต่เป็คุณหนูสี่ เนื่องจากเสื้อผ้าของคุณหนูในจวนมีลักษณะคล้ายคลึงกัน สาวใช้จึงเข้าใจผิดไป ต่อมาจึงพบว่าแท้จริงแล้วเป็คุณหนูสี่
คุณหนูสี่สกุลโม่เป็บุตรอนุภรรยา จวนเจิ้นกั๋วโหวย่อมไม่แต่งเป็ภรรยาเอก ดังนั้นจึงกำหนดให้เป็บ้านรอง และเนื่องจากซือหม่าซื่อจื่อยังมิได้แต่งภรรยา ฐานะบ้านรองนี้จึงเพียงแค่กำหนดไว้ก่อน ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูสี่ที่อายุน้อยยังต้องเรียนรู้แบบแผนมารยาทการเป็กุลสตรีอีกสองสามปี ถึงเวลาซื่อจื่อก็แต่งภรรยาเอกแล้ว ไม่แน่ว่าบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกอาจคลอดออกมาก่อนก็ได้ คุณหนูสี่จึงค่อยแต่งเข้าจวน เช่นนี้ก็นับว่าเหมาะสมลงตัวพอดี
แม้ข่าวจะแพร่ออกไปเช่นนี้ แต่ก็ยังมีคนซุบซิบกันในที่ลับว่าผู้ที่ถูกอุ้มออกมาก็คือคุณหนูใหญ่ เพียงแต่คุณหนูผู้นี้ไม่ยินยอมเป็อนุภรรยา จึงผลักเื่นี้ไปให้น้องสาวที่ยังเยาว์ ส่งผลให้น้องสาวผู้นั้นต้องไปเป็อนุภรรยาแทนตน แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็เช่นไร เื่ที่โม่เสวี่ยฉงจะไปเป็อนุภรรยาของซือหม่าหลิงอวิ๋นกลับเป็ผลลัพธ์ที่พึงพอใจของทั้งสองฝ่าย
จะให้บุตรสาวคนโตที่มีความสามารถในศาสตร์ชั้นสูงไปเป็บ้านรองของผู้อื่น ไม่ว่าอย่างไรโม่ฮว่าเหวินก็ไม่อาจทำใจได้จริงๆ แต่เมื่อเกิดเื่เช่นนี้ขึ้นก็ต้องมีคนออกไปรับผิดชอบ ถึงอย่างไรโม่เสวี่ยฉงกับซือหม่าหลิงอวิ๋นก็มีกรณีกันอยู่ โม่ฮว่าเหวินจึงจำต้องใช้วิธีการของฟางอี๋เหนียง อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียบุตรสาวทั้งสองคนไปเป็อนุภรรยาทั้งหมด
โม่เสวี่ยิ่เก็บตัวสงบเสงี่ยมยิ่ง ยามปรกติก็ไปคารวะเหล่าไท่ไท่ หลังจากนั้นก็ไปนั่งที่เรือนของฟางอี๋เหนียง ได้ยินว่ายังตัดชุดเด็กทารกไว้มากมายเพื่อมอบให้บุตรในครรภ์ของฟางอี๋เหนียง
หลังจากสุขภาพของโม่เสวี่ยถงดีขึ้นแล้ว ก็ไปคารวะเหล่าไท่ไท่ทั้งเช้าค่ำตามปรกติ เหล่าไท่ไท่เพียงแค่ทักทายตามเหมาะสม แล้วโบกมือให้นางกลับเรือนไป หลานสาวที่อยู่ข้างกายเหล่าไท่ไท่เป็เพื่อนพูดคุยได้นานหน่อยก็มีเพียงโม่เสวี่ยเยี่ยน ส่วนหลานสาวคนอื่นๆ เห็นแล้วกลับรู้สึกขวางหูขวางตา
หากไม่ใช่เพื่อเื่งานแต่งงานของหลานสาวผู้นี้ ไหนเลยจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากโม่ฮว่าเหวิน นางต้องเหน็ดเหนื่อยไปกับเื่ของโม่เสวี่ยถงและโม่เสวี่ยิ่ แต่โม่เสวี่ยถงทำราวกับไม่รู้เื่ใดๆ ทั้งสิ้น ยังคงรักษามารยาทตามธรรมเนียมที่หลานสาวพึงกระทำอยู่เหมือนเดิมทุกประการ วันนี้เหล่าไท่ไท่จึงเพียงแค่นเสียงสองครั้งก่อนไล่นางกลับไป
ทันทีที่กลับมาถึงเรือน โม่อวี้ก็วิ่งหน้าบานหัวเราะคิกคักเข้ามาพร้อมกับส่งเทียบเชิญฉบับหนึ่งให้ “คุณหนู ฮูหยินผู้เฒ่าฉินส่งเทียบมาเ้าค่ะ ถามว่าคุณหนูพอมีเวลาว่างไปไหว้พระที่วัดชิงเหลียงเป็เพื่อนนางหรือไม่”
สกุลฉินเข้าเมืองหลวงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว บัดนี้เพิ่งจะส่งเทียบเชิญมา หากดูจากความสัมพันธ์ของสองตระกูลก็ถือว่าช้าไปหน่อย
“สาวใช้ประจำตัวของท่านยายส่งมาหรือ” โม่เสวี่ยถงรับมา ถามพลางเปิดเทียบอ่านด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่สาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าเ้าค่ะ แต่เป็สาวใช้ของอวี้ฮูหยิน ดูเหมือนจะเป็สาวใช้ขั้นสองประจำเรือนของนาง ชื่อเสียเอ๋อร์อะไรนี่แหละเ้าค่ะ”
“แล้วนางล่ะ” โม่เสวี่ยถงวางจดหมายลง ถามเสียงเรียบ
“อยู่ข้างในเ้าค่ะ คุณหนูเข้าไปเถิด เดี๋ยวบ่าวจะเรียกคนเข้ามาให้คุณหนูสอบถามด้วยตนเอง”
โม่เสวี่ยถงพาโม่หลันเข้าไปในห้องแล้วนั่งลง โม่อวี้พาสาวใช้คนหนึ่งอายุประมาณสิบสามสิบสี่เดินเข้ามา โม่เสวี่ยถงและบ่าวสองสามคนอยู่จวนฉินมาปีกว่า ย่อมรู้จักสาวใช้ที่อยู่ตรงหน้าว่าเป็บ่าวในเรือนของสะใภ้สกุลอวี้จริงๆ ฮูหยินผู้เฒ่าฉินกับสะใภ้สกุลอวี้ไม่ค่อยลงรอยกัน แล้วจะใช้คนของลูกสะใภ้นำจดหมายมาส่งได้อย่างไร
..............................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ยามชวด หรือยามจื่อ คือเวลา 23:00-1:00 น.