หลังประคบยาแล้ว ยาส่วนที่ต้มอยู่ในครัวเล็กก็เสร็จพอดี
กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นกำจายออกมาจากน้ำแกงยาดำปี๋ เซวียเสี่ยวหรั่นยกยาขึ้นตั้งโต๊ะ
เหลียนเซวียนเพิ่งล้างหน้าเสร็จหนวดเครายังเปียกแฉะ
เซวียเสี่ยวหรั่นประคองเขานั่ง เห็นน้ำหยดติ๋งๆ ก็อดบ่นไม่ได้ "ท่านจะโกนหนวดเคราบ้างมิได้เลยหรือ กินข้าวดื่มน้ำทีก็เลอะที วุ่นวายจะตาย"
มือที่ยกถ้วยยาอยู่ชะงักไปเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ดื่มยาขมลงไป
นี่คือการใช้ความเงียบปฏิเสธ เซวียเสี่ยวหรั่นเบะปาก
ไม่รู้ว่าเป็หลี่ขุยหรือจางเฟย [1] กลับชาติมาเกิด อายุน้อยแค่นี้กลับไว้หนวดเครารุงรังราวกับชายฉกรรจ์รุ่นใหญ่
เซวียเสี่ยวหรั่นยกถ้วยยาออกไป
เหลียนเซวียนลูบคลำหนวดเคราของตนเอง นึกถึงน้ำเสียงที่แสดงความเดียดฉันท์ของนางก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม
เขายังไม่สามารถโกนหนวดเคราเป็การชั่วคราว ตราบใดที่ยังคุ้มครองความปลอดภัยของพวกนางไม่ได้ ก็ยังมิอาจให้เบาะแสหลุดรอดออกไป
ก่อนอื่นต้องคิดหาวิธีติดต่อกับพวกเหลยลี่ให้ได้ก่อน
แต่แคว้นหลีไหนเลยจะมีคนที่สามารถเป็คนกลางในการติดต่อสื่อสาร
เหลียนเซวียนลูบเคราพลางดำดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิด
เงินในกระเป๋าถูกเติมกลับมาจนเต็มอีกครั้ง ยาของเหลียนเซวียนก็มีแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นจึงอารมณ์ดีมาก
แต่พอกลับไปที่ห้อง เห็นผ้าเนื้อหยาบหลากสีกระจายเต็มพื้น เธอก็เริ่มปวดศีรษะ
อูหลันฮวากำลังพยายามเย็บส่วนฐานของกระเป๋าถือ แต่ฝีเข็มโย้ไปเย้มาก เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นแล้วยังรู้สึกทนมองไม่ได้
ถึงแม้ว่าฝีมือการเย็บของตนเองจะไม่ได้ยอดเยี่ยมมาก แต่ก็ยังดีกว่านาง
"ต้าเหนียงจื่อ ท่านดูหน่อยว่าแบบนี้ถูกต้องหรือไม่" อูหลันฮวานำส่วนฐานที่จะเย็บเป็กระเป๋าใบเล็กส่งให้ดู นี่คือผลงานที่นางนั่งหลังขดหลังแข็งทำมาตลอด่เช้า
"ถูกมันก็ถูกอยู่" เซวียเสี่ยวหรั่นนั่งลงบนเก้าอี้กลม หยิบฐานกระเป๋ามาพลิกดู ตะเข็บเบี้ยวไม่ว่า บางตำแหน่งก็แน่นไปบางตำแหน่งก็หลวมไป ดูไม่แข็งแรงเท่าไร
"เฮ้อ น่าเสียดาย มู่เซียงไม่อยู่ มิเช่นนั้นนางคงเย็บเสร็จไปนานแล้ว" อูหลันฮวารู้ตัวดี ยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความประหม่า นางไม่มีพร์ต่องานที่ต้องอาศัยความประณีตเช่นนี้จริงๆ
เสื้อผ้าที่ตัดเย็บเอง ตะเข็บก็เบี้ยวโย้เย้ แต่เพราะสวมใส่เองจึงไม่รังเกียจ
เซวียเสี่ยวหรั่นก็จนปัญญา แม้ฝีมือเธอจะดีกว่าอูหลันฮวา แต่เมื่อก่อนตอนอยู่บ้าน จำนวนครั้งที่จับเข็มกับด้ายแทบจะนับนิ้วได้
"ไม่เป็ไร ค่อยๆ เย็บไป ดีที่ตอนนี้ไม่ต้องรีบเร่งมากนัก"
เซวียเสี่ยวหรั่นได้แต่ปลอบใจตนเองอย่างนี้ ยาของเหลียนเซวียนหามาได้แล้ว เื่กระเป๋าช้าหน่อยก็ไม่มีปัญหา
สองวันต่อมา เซวียเสี่ยวหรั่นกับอูหลันฮวานำผ้าเนื้อหยาบเ่าั้มาเย็บแล้วรื้อ รื้อแล้วเย็บ ในที่สุดก็ทำกระเป๋าสะพายสีส้ม กระเป๋าถือสีชมพู แล้วก็กระเป๋าสตางค์สีม่วงออกมาอย่างละใบ แน่นอนว่ากระเป๋าสตางค์ก็ต้องปรับแบบให้ดูคล้ายถุงเงินของยุคสมัยนี้แต่ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นหน่อย
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบกระเป๋าถือสีชมพูขึ้นมาดู พูดตามความสัตย์ เธอยังไม่พึงพอใจกับสินค้าตัวอย่างที่ทำออกมา
แต่ฝีมือการเย็บของตนเองกับอูหลันฮวามีขีดจำกัด ถึงพยายามกันเต็มที่แล้ว ส่วนที่เป็รายละเอียดปลีกย่อยก็ยังค่อนข้างหยาบ ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางสองคนก็ไม่มีใครปักผ้าเป็ ้าจึงเรียบๆ ไร้ลวดลายสะดุดตา มองอย่างไรก็ธรรมดายิ่ง
ไม่สามารถทำให้คนดวงตาเป็ประกายั้แ่แรกเห็น
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกว่าสินค้าตัวอย่างแบบนี้ยังไม่ควรค่าแก่การนำออกมาแสดงให้ผู้อื่นชม
"ต้าเหนียงจื่อ กระเป๋าสีชมพูใบนี้สวยที่สุด" อูหลันฮวากลับรู้สึกว่าดีมาก งดงามกว่ากระเป๋าสะพายหลังสีเทาเข้มของพวกนางเป็ไหนๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นกระตุกมุมปาก วางกระเป๋าถือลง หยิบกระเป๋าสตางค์สีม่วงที่ปรับแบบแล้วให้ส่วนฐานกว้างขึ้น ติดสายสะพายไหล่ด้านข้าง ไม่ใช้เชือกผูกรัดปากถุง แต่ทำเป็ฝาปิดและใช้กระดุมกลัดเช่นเดิม
กระเป๋าแบบนี้ควรคู่กับการปักลวดลายอันวิจิตรประณีตถึงจะงดงามน่ามอง
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกว่าผลงานระดับครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ ยังคิดจะอ้างสิทธิทางปัญญาขอเป็หุ้นส่วน ก็เหมือนกับม้าที่ไม่รู้จักความยาวของหน้า [2] เกินไป
เธอลูบใบหน้าของตนเอง เฮ่อ... ใบหน้าของเธอแค่เรียวแต่ไม่ยาว อีกอย่างหนังหน้าก็ยังหนาไม่พออีกด้วย
"ช่างเถอะ วางไว้ก่อน ไป หลันฮวา พวกเราเดินเที่ยวกัน ตลาดคึกคักขนาดนั้น ยังไม่เคยเดินชมจริงจังสักที"
เธอวางกระเป๋าลง ก่อนลากอูหลันฮวาออกมาจากห้อง
เหลียนเซวียนกำลังเหลาลูกดอกซัวเปียวของตนเองอยู่ ส่วนเซวียเสี่ยวเหล่ยก็กำลังเขียนอักษรอยู่ข้างๆ
อาเหลยนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่มุมห้อง
พอเห็นพวกนางเข้ามา อาเหลยก็ทิ้งเมล็ดแตงแล้ววิ่งมาเกาะชายกระโปรงของเซวียเสี่ยวหรั่น ดวงตาสุกใสจ้องมองเธอเขม็ง
เซวียเสี่ยวหรั่นย่อตัวลงมาตบๆ หลังของมัน "อาเหลยอยู่ในห้องดีๆ เดี๋ยวพี่สาวจะซื้อถั่วลิสงกับเกาลัดมาฝาก"
"จะออกไปข้างนอกรึ" เหลียนเซวียนเงยหน้าขึ้น
ดื่มยามาสามวัน วิสัยการมองเห็นที่เคยเหมือนมีม่านหมอกหนาบดบัง ก็เริ่มค่อยๆ จางลง สามารถเห็นเงาสิ่งของเบื้องหน้า แน่นอนว่ายังห่างไกลกับคำว่าแจ่มชัด
"ข้ากับหลันฮวาจะออกไปเดินเที่ยวสักหน่อย ตรงถนนใหญ่ข้างหน้านี่เอง" เซวียเสี่ยวหรั่นกลัวเขาเป็ห่วงจึงไม่คิดจะไปไหนไกล
มาถึงชางตานเพียงไม่กี่วัน เหลียนเซวียนก็รู้ข่าวคราวในเมืองไม่น้อยจากห้องโถงใหญ่
แม้ว่าภายในแคว้นหลีจะวุ่นวาย แต่ความปลอดภัยของเมืองชางตานยังนับว่าไม่เลว ธรรมเนียมไม่เคร่งครัดมาก สตรีออกมาเดินเที่ยวชมตลาดหาใช่เื่แปลก ถึงเมืองหลวงแคว้นฉีจะเล็กแค่ไหน การรักษาความปลอดภัยระดับพื้นฐานของหน่วยลาดตระเวนยังคงมีอยู่
"ไปเถอะ แต่อย่าเกินหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน" เหลียนเซวียนกำชับเพิ่มเติม หากไม่ให้นางไปก็คงถูกบ่นไปครึ่งค่อนวัน กำหนดเวลาที่แน่นอนย่อมดีกว่าให้นางแอบหนีออกไป
หนึ่งชั่วยาม? สองชั่วโมงก็พอได้ เซวียเสี่ยวหรั่นเม้มริมฝีปาก
"เสี่ยวเหล่ย เ้าจะไปด้วยกันไหม"
"พี่สาว ข้ายังคัดอักษรไม่เสร็จเลยขอรับ" เซวียเสี่ยวเหล่ยเหลือบมองเหลียนเซวียนปราดหนึ่งก่อนสั่นศีรษะ
เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่คะยั้นคะยอ ที่นี่ควรมีใครสักคนอยู่เป็เพื่อนเหลียนเซวียน
"กลับมาจะซื้อของอร่อยมาฝากเ้า" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะคิกคักพลางโบกมืออำลาพวกเขา
"ต้าเหนียงจื่อ พวกเราจะไปเดินที่ไหนกันหรือ" อูหลันฮวารู้สึกตื่นเต้น
แม้ว่ามาถึงเมืองชางตานหลายวันแล้ว แต่สองวันนี้พวกนางล้วนยุ่งอยู่กับการตัดเย็บกระเป๋า ไหนเลยจะมีเวลาว่างออกมาเดินเล่น
นี่เป็ครั้งแรกที่อูหลันฮวาได้มาเมืองใหญ่ขนาดนี้ จะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
"อืม เดินไปตามถนนใหญ่ดูให้ทั่วๆ แล้วกัน" เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปเดินตรงไหน
ทั้งสองเดินเที่ยวอย่างเอ้อระเหยบนถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน
"ต้าเหนียงจื่อ ท่านดูสิ มีคนขี่ม้าตั้งเยอะ" อูหลันฮวาเห็นสิ่งใดก็แปลกตาไปหมด
ผู้คนสัญจรบนถนนมีมาก รถม้าก็ไม่น้อย คนที่ควบอยู่บนหลังอาชาส่วนมากล้วนสวมเสื้อแพร แลดูมีอำนาจราชศักดิ์
อูหลันฮวากำลังตื่นเต้น เสียงย่อมดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว นำมาซึ่งสายตาประหลาดใจแกมเหยียดหยันจากคนที่อยู่ละแวกใกล้เคียง
พอเห็นคนจำนวนมากมองมาที่ตนเอง อูหลันฮวาก็ได้สติ หุบปากทันทีด้วยจิตใต้สำนึก
ยามอยู่ขู่หลิ่งถุน แม้จะถูกหัวเราะเยาะอยู่บ้าง แต่ทุกคนล้วนคุ้นเคยกันดี สายตาที่มองอูหลันฮวาก็มิได้รังเกียจเดียดฉันท์
อูหลันฮวาก็ไม่เคยใส่ใจเื่ที่ตนเองออกเสียงไม่ชัด
แต่ตอนนี้ แค่เริ่มเอ่ยปากก็ได้รับสายตาดูิ่เหยียดหยันทุกรูปแบบ อูหลันฮวาเม้มริมฝีปากแน่น
เซวียเสี่ยวหรั่นจูงมือนาง แล้วเดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เวลาแบบนี้ยิ่งต้องสงบเยือกเย็น มิเช่นนั้นกลุ่มคนที่อยากรู้อยากเห็นจะยิ่งเพิ่มขึ้น
"ไป พวกเราเข้าไปดูกัน"
เธอเดินเข้าไปในร้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่
"ต้าเหนียงจื่อ ข้าทำให้ท่านขายหน้า" พอเข้ามาในร้าน อูหลันฮวาก็คอตกเอ่ยเสียงเบา
"เหลวไหล" เซวียเสี่ยวหรั่นกุมมือนางไว้ "สายตาของผู้อื่นไม่ได้สลักสำคัญเพียงนั้น อย่าเก็บเื่ไม่สำคัญเหล่านี้มาใส่ใจ"
"เ้าค่ะ" แม้จะรับคำ แต่อูหลันฮวาก็ดูไม่มีความสุขเหมือนยามที่เพิ่งออกมา
...
[1] หลี่ขุย หนึ่งในร้อยแปดผู้กล้าแห่งเขาเหลียงซาน ซึ่งมาจากนวนิยายเื่ซ่งเจียง หรือ ซ้องกั๋ง รูปร่างหน้าตาดุดัน ผมเผ้ารุงรังไว้หนวดเคราเต็มหน้าั้แ่อายุน้อยๆ ส่วนจางเฟิงหรือที่รู้จักในนามเตียวหุย เป็ขุนพลและพี่น้องร่วมสาบานของเล่าปี่ในวรรณคดีเื่สามก๊ก รูปลักษณ์ภายนอกของจางเฟยหรือเตียวหุย ตามบทบรรยายบอกว่าเป็ชายสูงประมาณห้าศอก ศีรษะเหมือนเสือ จักษุกลมใหญ่ คางพองโต เสียงดังฟ้าร้อง กิริยาดั่งม้าควบ
[2] มาจากสำนวนที่ว่า วัวไม่รู้จักความโค้งงอของเขา ม้าไม่รู้จักความยาวของหน้า เป็ความเปรียบถึงคนที่ไม่รู้จักข้อบกพร่องของตนเอง
