ตอนที่ออกจากวัง ในสมองของอวิ๋นซียังคงมีถ้อยคำของเสี้ยวเหวินตี้วิ่งวน ถ้อยคำนั้นคือ งานเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ที่จะจัดในวังหลวง ก็ให้บิดามารดาของเ้ามาร่วมฉลองด้วยกันที่วังเสียเลยสิ
อวิ๋นซีที่กำลังหนุนตักของจวินเหยียนพูดขึ้นเสียงเบา “สามี นี่ข้าย้ายหินทับเท้าตนเอง [1] หรือไม่? ”
ด้วยเื่นี้คงมีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ หากนางกลับไปบอกเื่นี้แก่บิดาและอาจารย์อาน้อย คงไม่ต้องคาดเดาเลยว่า นางจะถูกจับมัดและโดนรุมตีหรือไม่ ถึงแม้ภายนอกของบิดาจะเหมือนท่านลุงที่แสนสุภาพใจดี แต่นางก็รู้ดี หากบิดาโกรธขึ้นมาเมื่อไร ผลลัพธ์นั้นจะร้ายแรงสักเพียงไหน
จวินเหยียนหัวเราะหึหึ “ตอนที่เ้าเอ่ยวาจาเช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าเก่งกล้ามากหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้ถึงได้กลัวเสียแล้วเล่า? ”
“ใช่ ข้ายอมรับว่าข้ากลัว พอใจหรือไม่” นางกลัวแล้วจริงๆ “สามี หากว่ากลับไปแล้ว ท่านพ่อมีท่าทีโกรธเคืองมาก ท่านก็อย่าลืมช่วยกันคนไว้ให้ข้าหน่อย” อย่างไรเสีย เนื้อหนังของสามีก็หยาบกระด้าง ต่อให้จะถูกตีสักรอบ ก็ไม่เป็อันใดมาก
จวินเหยียนที่ได้ฟังดังนั้นก็พูดยิ้มๆ ด้วยสีหน้าปลงๆ “ข้าเป็สามีเ้า ไม่มีทางทนมองเ้าถูกท่านพ่อตาตีอยู่แล้ว หากเขาตีเ้าจริงๆ สามีก็จะอยู่เป็กำบังให้เ้า ให้เขาตีข้าแทน”
อวิ๋นซีได้แต่หัวเราะหึหึขึ้นมา “จวินเหยียน ท่านเป็สุดยอดสามีในใต้หล้านี้จริงๆ ”
ทันทีที่กลับมาถึงจวนอ๋อง อวิ๋นซีก็ได้รู้ว่าบิดายังไม่กลับมา ส่วนอาจารย์อาน้อยเองก็ไม่รู้ว่าหายไปที่ใด นางอดไม่ได้ให้กังวลเล็กน้อย เนื่องจากวันนี้บิดาบังเอิญได้เจอหลิงเยว่เซวียน นางขบคิดแล้วพูดว่า “ข้าออกไปตามหาบิดามารดาสักหน่อยดีกว่า”
สำหรับนาง กว่าจะมีครอบครัวเช่นนี้ได้ก็ถือว่าไม่ง่ายนัก จึงไม่อยากให้ครอบครัวนี้ต้องแตกสลายไปด้วยเื่ใดๆ ดังนั้น ไม่ว่าคนที่ปล่อยข่าวลือเหล่านี้จะเป็ใคร นางล้วนไม่มีทางให้อีกฝ่ายได้สมดังปรารถนา
……...........................................................................................
ณ โรงสุรา จ้าวลี่เจียเฝ้าดูอวิ๋นซานที่ดื่มสุราไปมากมาย ในใจนางทนดูไม่ได้อีกแล้ว จึงเดินเข้าไปหาแล้วแย่งไหสุราในมือเขาออกมา “ไม่ต้องดื่มแล้ว อาซีจะเป็ห่วงเอา”
เมื่ออวิ๋นซานได้ยินคำว่า อาซี สติสตังที่เลือนหายพลันกลับมาได้อย่างมึนๆ งงๆ ก่อนจะหันมองสตรีที่ยืนอยู่ข้างกาย ถึงแม้ยามนี้จะเมาเล็กน้อย อีกทั้ง ใบหน้าของสตรีที่เข้ามาหยุดอยู่ข้างกายก็คลับคล้ายใครบางคน แต่เขาก็รู้ดีว่า นางไม่ใช่มารดาของอวิ๋นซี
เขายิ้มบางๆ “ในเมื่อมาแล้ว ก็มาดื่มเป็เพื่อนข้าสักสองจอกเถิด” เมื่อพูดจบ เขาก็ยื่นมือออกไปดึงให้คนนั่งลงข้างกายตน เขาหยิบไหสุราส่งให้นาง “ดื่มเป็เพื่อนคนหดหู่เช่นข้าสักสองสามจอก”
จ้าวลี่เจียขมวดคิ้ว และในตอนนั้นเองก็เป็เสี่ยวเอ้อที่พูดขึ้นว่า “ท่านทั้งสอง ร้านเราจะปิดแล้วขอรับ”
ทันทีที่นางได้ยินก็รีบดึงคนให้ลุกขึ้น จากนั้นก็วางเงินไว้บนโต๊ะ ประคองร่างอวิ๋นซานจากไป “ไป พวกเรากลับกัน”
อวิ๋นซานปล่อยให้นางประคองไปเช่นนั้น ขณะเดียวกันกลิ่นสมุนไพรทำยาอ่อนๆ ก็กำจายออกมาจากร่างนาง เขาหัวเราะหึหึ “ข้าเกือบลืมไปแล้ว เ้าเองก็เป็หมอเหมือนอย่างข้า”
จ้าวลี่เจียทำเพียงอืมเบาๆ เสียงหนึ่ง ประคองเขาออกไปหารถม้าที่ด้านนอกโรงสุรา จากนั้นก็ให้สารถีพาไปส่งที่เรือนพักส่วนตัวของนางในเมืองหลวง ตอนนี้ในเมืองหลวงมีสายตาตั้งกี่คู่จับจ้องจวนหนิงอ๋องอยู่ หากนางพาอวิ๋นซานที่เมาสุราจนเละเทะเช่นนี้กลับไป พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีข่าวลืออันใดออกมาอีก
บนรถม้า อวิ๋นซานเอนกายพิงไปบนร่างของจ้าวลี่เจียอย่างคนเมามาย เขาพูดเสียงเบา “ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว มิคาดว่าทุกสิ่งที่ทำไปจะต้องแลกมาด้วยจุดจบเช่นนี้”
เดิมทีจ้าวลี่เจียคิดจะผลักเขาออกไป แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ มือนางก็ถึงกับชะงัก และปล่อยให้บุรุษที่เพิ่งเคยเจอกันวันนี้เป็วันแรกพักพิงบนไหล่นางให้สบาย อันที่จริงความรู้สึกของอวิ๋นซาน นางเองก็มีอยู่เช่นเดียวกัน
รักมายี่สิบปี รอคอยมายี่สิบปี ตอนนั้นนางเองก็เป็เช่นนี้ และสุดท้ายต้องพบกับจุดจบที่เศร้าโศก เขาจากไปแล้ว จากไปโดยไม่ลาสักคำ
ในตอนที่นางกำลังนั่งใจลอย บุรุษที่พิงอยู่บนไหล่นางก็กำลังมองนางอย่างเงียบๆ ในดวงตาเขาสับสนยิ่ง ทั้งยังเจือปนความปลงๆ อยู่สองสามส่วน ก่อนที่มือของเขาจะเข้าไปประคองใบหน้าเลื่อนลอยของจ้าวลี่เจียเบาๆ ชั่วขณะนั้นนางคิดจะผลักออก แต่จู่ๆ เขากลับพูดขึ้นว่า “จ้าวลี่เจีย ในใจเ้าเองก็คงมีความเ็ปเช่นกันกระมัง”
เขารับรู้ได้ถึงความอ้างว้างว่างเปล่าในดวงตาของนางเมื่อครู่ ซึ่งนางคงกำลังคิดถึงบุรุษที่ฝังลึกอยู่ในใจอยู่กระมัง
นางดึงมือเขาออกเบาๆ จากนั้นพยักหน้า “เกือบยี่สิบปี สุดท้ายเขาก็จากไปอยู่ดี หายไปจากโลกของข้าโดยไม่แม้แต่ร่ำลา แต่ว่า ตัวข้าคิดได้นานแล้ว จึงหวังว่าเ้าเองก็จะคิดได้เช่นเดียวกัน”
เขาเอนกายพิงผนังรถม้า หัวเราะหึหึ “อาซีโตเพียงนี้แล้ว ลูกก็มีแล้ว ตัวข้ายังจะมีอะไรให้คิดไม่ตกอีก เพียงแต่ยามนี้ลำบากอาซีแล้ว คิดว่าในใจนางคงจะเ็ปมากเฉกเดียวกัน ทั้งยังมีข่าวลือบ้าๆ ด้านนอกนั่นอีก”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อวิ๋นซานก็สร่างเมา สติถูกปลุกจนตื่นเต็มตา เขาขมวดคิ้วพลางมองไปยังจ้าวลี่เจีย ใบหน้านี้คล้ายกับมารดาของอาซีอยู่หลายส่วน จู่ๆ เขาก็พูดขึ้น “แม่นางจ้าว ข้ามีคำขอร้องที่ไร้เหตุผลอยู่ข้อหนึ่ง”
“ว่ามา” จ้าวลี่เจียพูด
“เ้าจะสามารถช่วยอาซีปลอมเป็มารดานาง ช่วยนางจัดการเื่เหล่านี้ได้หรือไม่? ” เขาพูด “ข้ารู้ว่าคำขอร้องนี้ สำหรับเ้าแล้ว มันก็ออกจะมากเกินไปหน่อย แต่นี่เป็เพียงวิธีเดียวที่จะช่วยอาซีได้ ในเมื่อคนพวกนั้นจงใจเปิดรถม้าของชายาอวี๋อ๋องที่นอกเมือง ทำให้ใบหน้าของนางปรากฏต่อสายตาทุกคน คนจักต้องมีแผนอื่นตามมาอีกแน่ อีกทั้ง ตอนนี้ร่างกายของอาซีก็ยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ หากยังต้องมากังวลกับเื่เหล่านี้อีก ข้า ในฐานะพ่อก็ไม่อาจทนรับได้”
จ้าวลี่เจียไม่เคยคิดเลยว่า อวิ๋นซานที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกจะกล้าขอร้องเื่เช่นนี้ออกมา นางเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มขึ้น “เ้าล้อเล่นแล้วกระมัง เื่นี้ยังจะปลอมกันได้ด้วยหรือ? ”
อวิ๋นซานมองนางด้วยสีหน้าจริงจัง พูดว่า “พวกเราต่างต้องเผชิญเื่ราวคล้ายๆ กัน ทั้งยังเป็หมอเหมือนกัน หากเป็ไปได้ ข้าก็ไม่ปฏิเสธหากในอนาคตจะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเ้า จ้าวลี่เจีย ตัวข้าก็ใกล้จะสี่สิบแล้ว ไม่ใช่คุณชายวัยหนุ่มอะไร ย่อมรู้ดีว่าตนกำลังทำอันใดอยู่ ดังนั้น รักแรกพบอันใดนั่นคงไม่เหมาะกับพวกเราแล้วกระมัง ข้าคิดว่า หากการอยู่ด้วยกันในอนาคต เ้าและข้าล้วนคิดว่าไม่มีปัญหา ไม่ปฏิเสธกันและกัน เราสองที่ถูกความรักทำร้ายจนาเ็ทั้งคู่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ด้วยกันได้ดีไปจนแก่เฒ่าก็เป็ได้”
อวิ๋นซานยังคงจดจ้องจ้าวลี่เจียที่ยามนี้คล้ายจะดึงสติกลับมาไม่ได้เล็กน้อย เขายิ้มแล้วพูดต่อ “กลับจวนอ๋องเถิด ตอนนี้ข้าเองก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ส่วนข้อเสนอของข้านั้น เ้าลองพิจารณาให้ดีสักหน่อยเถิด อาซีของข้าเป็เด็กกตัญญู ตัวเ้าเองก็ชอบฉางรุ่ย ฉางฮว๋าย ข้าเชื่อว่า เ้าจักต้องชอบการได้อยู่ร่วมกันกับครอบครัวนี้แน่”
จ้าวลี่เจียไม่พูดอะไร อันที่จริงในใจนางชัดเจนดีว่า เหตุที่อวิ๋นซานตั้งใจจะกระทำเช่นนี้ก็เพียงเพื่อ้าปกป้องบุตรสาวและหลานชายของเขา บุรุษที่ปกป้องลูกหลานตนเอง แท้จริงแล้วก็นับว่าเป็คนที่มีความรับผิดชอบยิ่ง แต่ว่า บุรุษเช่นนี้ก็น่ากลัวเป็ที่สุดเช่นกัน
เพราะว่าในใจของเขา บุตรสาวและหลานชายของเขาสำคัญที่สุด
เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงหน้าจวนอ๋อง ยามที่กำลังจะลงมา อวิ๋นซานก็ไม่ลืมที่จะช่วยประคองจ้าวลี่เจียลงมาด้วย จากนั้นคนทั้งสองก็เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันเข้าไปในจวนอ๋อง ซึ่งในระหว่างนั้นเป็อวิ๋นซานที่กล่าวขึ้นมา “ลองเก็บข้อเสนอเมื่อครู่ของข้าไปพิจารณาให้ดีเถิด”
คนทั้งสองกลับมาที่จวนอ๋องด้วยกัน ทำให้เหล่าองครักษ์พากันประหลาดใจเป็อย่างมาก ส่วนคนที่แอบซุ่มดูจวนอ๋องอยู่นั้นก็รีบนำข่าวนี้กลับไปรายงานนายตน
อวิ๋นซีและจวินเหยียนออกไปหาคนมารอบหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นว่าหาไม่เจอจริงๆ จึงได้ตัดสินใจกลับมา ทว่า ตอนนี้ที่พวกเขาเห็นผู้าุโทั้งสองปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกันนั้น สองสามีภรรยาก็ถึงกับดึงสติกลับมาไม่ได้เล็กน้อย “ท่านพ่อ...พวกท่าน พวกท่านออกไปด้วยกันหรือเ้าคะ? ”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ย้ายหินทับเท้าตนเอง(搬起石头砸自己的脚)เปรียบเปรยว่า ยกหินขึ้นมาเพื่อที่จะเอาไปทำร้ายผู้อื่น แต่หินก้อนนั้นกลับหล่นทับตัวเอง คล้ายๆ ประโยคที่ว่า ทำตัวเอง