ผ่านไปไม่นาน คนจากสำนักราชการก็มาถึง ด้านหลังยังมีทหารคุ้มกันเมืองหลวงนำทัพโดยโจวถังเซิงมาด้วย
“ถอยไป ถอยไป” ทหารคุ้มกันพอมาถึงก็จัดการคนที่มามุงดูให้ถอยไปด้านหลัง จากนั้นก็ทำการป้องกันระหว่างกลุ่มคนกับร้านขายผ้าที่ไฟไหม้
โจวถังเซิงตรวจสอบความรุนแรงของไฟไหม้ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดอยู่ครู่หนึ่ง ดูจากสภาพคงไม่อาจช่วยได้แล้ว ถึงจะดับไฟได้แล้ว แต่ร้านขายผ้าก็คงเหลือแค่เสาเปล่าๆ ไฟรุนแรงขนาดนี้ไม่แน่ว่าจะทำให้คนตายด้วย
สายตาของโจวถังเซิงกวาดมองไปยังประชาชนที่มาดูไฟไหม้อยู่วงนอกก่อนจะถาม “ด้านในร้านขายผ้ายังมีคนอยู่หรือไม่?”
“ไม่มี” หนึ่งในนั้นตอบ “ร้านขายผ้านี้เดิมทีเป็ของเถ้าแก่หวังซวิน แต่เถ้าแก่ปิดร้านมาหลายวันแล้ว”
โจวถังเซิงไม่ได้พูดอะไรอีก
ไฟไหม้ในครั้งนี้ไหม้ยาวถึงสองชั่วยาม เปลวไฟสูงเฉียดฟ้าค่อยๆ มอดดับลง ตรงหน้าทุกคนเหลือเพียงแค่เศษซากที่ยุ่งเหยิง
จนกระทั่งควันและความร้อนสลายไปได้พอสมควรแล้ว โจวถังเซิงถึงได้สั่งให้ลูกน้องดำเนินการตรวจสอบด้านในว่ามีอะไรบ้าง ส่วนซูิเยว่ก็พาเสี่ยวอวี่กับหวังซวินที่ยืนอยู่ด้านหลังกลุ่มคนมองดูสถานการณ์ทั้งหมดอย่างมั่นใจ
ในตอนนี้เอง ภายในร้านขายผ้าที่ถูกเผาจนสภาพเละเทะจนดูไม่ได้ ทหารคุ้มกันเมืองหลวงที่เพิ่งเข้าไปตรวจสอบก็ร้องเสียงใออกมา “ใต้เท้า มีเื่ขอรับ!”
ทุกคนต่างถูกเสียงนั้นดึงความสนใจไป ในตอนนั้นต่างยื่นคอมองไปทางด้านหน้าอย่างอยากรู้อยากเห็น
โจวถังเซิงขมวดคิ้วเดินไปด้านหน้าสองก้าว แต่เพราะเศษซากเสาร้านที่ถูกไหม้จนหักลงมาขวางประตูเอาไว้ทำให้มองไม่เห็นสถานการณ์ด้านใน
“เกิดอะไรขึ้น?” คนที่อยู่ด้านในไม่ได้ตอบ แต่เพียงครู่เดียวก็มีสองคนยกของที่ไหม้เกรียมเดินออกมา
สีหน้าของทหารทั้งสองไม่ค่อยดีเท่าไร พวกเขายกของสิ่งนั้นออกมาแล้วโยนไปที่ว่างหน้าประตู
ทุกคนต่างมองก้อนดำไหม้เกรียมบนพื้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลายคนที่อยู่ใกล้ก็ได้กลิ่นไหม้ของเนื้อลอยออกมา
ทุกคนถึงได้ค่อยๆ รู้ตัวว่าก้อนดำที่อยู่บนพื้นนั้นคืออะไร ในตอนนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป มีหลายคนที่จิตใจอ่อนแอรับเื่พวกนี้ได้ยากก็จะจับตัวคนด้านข้างแล้วอาเจียนออกมา
ไม่ผิด ก้อนบนพื้นนั้นไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่เป็ศพคนตาย
ดูจากสภาพคงไม่อาจนับว่าเป็คนได้แล้ว ร่างกายหงิกงอเข้าหากัน ดูแล้วน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
สีหน้าของโจวถังเซิงดำทะมึน เขามองก้อนบนพื้นแล้วเดินถอยหลังไปสองก้าวด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปากและจมูกของตัวเอง
สีหน้าขององครักษ์ทั้งสองคนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน “ใต้เท้า พวกเราพบศพถูกไฟไหม้หนึ่งศพขอรับ”
“แล้วพบอย่างอื่นอีกหรือไม่?”
“ไม่ขอรับ”
“ร้านนี้ปิดมาหลายวันแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดด้านในถึงยังมีคนอยู่?”
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
โจวถังเซิงสะบัดแขนเสื้อตัวเองอย่างแรง เกิดเื่ใหญ่ขนาดนี้ในเขตที่เขาดูแล ยุ่งยากมากจริงๆ
ในตอนนี้เองมีคนคนหนึ่งเบียดมาจากด้านหลังกลุ่มคนที่มามุงดู คนคนนั้นเบิกตาโต ดวงตาเหมือนกับพบอะไรเข้าจึงสาวเท้าเดินมาข้างหน้า
“ทำอะไรน่ะ?” โจวถังเซิงหันกลับไปมองเขา
คนคนนั้นไม่พูดไม่จา แต่ดูจากเสื้อผ้าแล้วก็มองออกว่าคงจะเป็พ่อค้าที่ทำการค้าขายคนหนึ่ง เขาใช้มือปิดจมูกแล้วเดินเข้ามาก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าศพ หลังจากแยกแยะอยู่นานถึงได้ร้องออกมาอย่างใ “หวังซวิน เหตุใดถึงเป็เขาไปได้?”
ขณะเดียวกัน ตอนที่เขาพูดคำว่าหวังซวินออกมา หวังซวินที่ยืนอยู่ข้างซูิเยว่ด้านหลังกลุ่มคนก็ถึงกับตัวแข็งทื่อแล้วเดินหน้าไปดูทันที
โจวถังเซิงขมวดคิ้วเข้าหากันมองพ่อค้าคนนั้น “เ้ารู้ได้อย่างไร?”
คนคนนั้นยืนขึ้นแล้วถอยหลังไปหลายก้าว เขาชี้นิ้วไปที่คอของศพ “ใต้เท้าท่านดูแม่กุญแจอายุยืนที่คอของเขาสิขอรับ”
โจวถังเซิงขมวดคิ้วแน่นแล้วมองอย่างละเอียด เขาถึงได้เห็นว่าที่คอของศพที่ไหม้เกรียมห้อแม่กุญแจอายุยืนอยู่อันหนึ่ง เป็เพราะศพถูกเผาจนไหม้เกรียมจึงทำให้น้ำมันเหลืองบนตัวศพไปติดที่แม่กุญแจ ถึงได้หาพบยาก
ริมฝีปากพ่อค้าคนนั้นยกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าแปะคำว่าไม่อยากจะเชื่อเอาไว้ “ครอบครัวของข้านั้นทำร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปและทำธุรกิจกับเถ้าแก่หวังอยู่ตลอด ความสัมพันธ์จึงไม่เลวเลย เขาเคยให้ข้าดูแม่กุญแจอายุยืนของเขามาก่อน ข้าถึงจำได้ ก่อนหน้านี้เขาก็หายตัวไป เหตุใดตอนนี้ถึงได้ขังตัวเองอยู่ในร้านขายผ้ากัน”
หลายคนพอได้ฟังคำพูดของเขาก็ต่างพากันว้าวุ่น เสียงพูดคุยกันของกลุ่มคนก็เริ่มดังขึ้นมา
โจวถังเซิงได้ยินพ่อค้าคนนั้นพูดจบ ผ่านไปครู่หนึ่งก็โบกมือ “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว”
หลังจากพ่อค้าถอยไปด้านหลังกลุ่มคนอีกครั้ง โจวถังเซิงก็สั่งให้คนยกศพไป จากนั้นก็หันไปพูดกับกลุ่มคนที่มายืนดูเสียงดัง “เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายไปได้ เื่หลังจากนี้ถึงตอนนั้นพวกเราจะมาตรวจสอบให้ชัดเจนอีกที”
เมื่อเห็นว่าเื่สนุกจบลงแล้ว กลุ่มคนก็พากันแยกย้ายกลับไปกันคนละทาง
“ไปกันเถิด” ซูิเยว่ดูพอแล้วก็เอ่ยปากเสียงเรียบ “จัดการธุระเสร็จแล้ว”
หวังซวินยังคงตกตะลึงอยู่ พอได้ยินคำพูดนี้ของซูิเยว่ก็ได้สติกลับมาแล้วตามนางแฝงตัวในหมู่ผู้คนออกไป
เขาไม่ได้โง่ เขารู้ว่าเื่ทั้งหมดตรงหน้าเมื่อครู่ล้วนเป็สิ่งที่ซูิเยว่สั่งการออกมา นี่เป็การแกล้งตายที่นางพูดถึง
ในหัวของหวังซวินตอนนี้ยุ่งเหยิงไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะใกับเื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ดี หรือควรจะนับถือซูิเยว่ที่วางแผนได้รอบคอบขนาดนี้
เสี่ยวอวี่ทำท่าอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดอยู่นาน เมื่อทนไม่ไหวถึงได้เอ่ยปากออกมา “เมื่อครู่ทั้งหมดล้วนเป็แผนของคุณหนูหรือเ้าคะ?”
ซูิเยว่มองนางด้วยใบหน้ายากจะคาดเดา “เช่นนั้นจะเป็ใครไปได้อีกล่ะ?”
เสี่ยวอวี่นึกถึงสภาพไหม้จนจำรูปร่างเดิมไม่ได้เมื่อครู่แล้วก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา “คุณหนู ศพนั่นคืออะไรเ้าคะ?”
“นั่นเป็ศพที่ข้าให้เสี่ยวหยวนไปหามาจากหลุมศพไร้ญาติ”
ทั้งสองคนตกสู่ความเงียบ
หลังจากทั้งสามคนเดินตามกลุ่มคนออกมาได้สักพัก ซูิเยว่ก็พาพวกเขาเลี้ยวไปในตรอกที่ไม่มีคน
“คุณหนู”
หนิงหยวนเดินออกมาจากมุมกำแพงด้านหน้าที่หนึ่ง
“เป็อย่างไรบ้าง ไม่มีใครจับได้ใช่หรือไม่”
หนิงหยวนหัวเราะแหะๆ “วางใจเถิด คุณหนู ข้าเข้าไปทางด้านหลังร้าน ไม่มีใครพบขอรับ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้