อารัมภบท
‘สวัสดีตอนเช้าวันจันทร์ที่สดใส คุณเขมแต่งงานกับเราเถอะ!’
ข้อความที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอส่งผลให้ผู้อ่านได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา ชายหนุ่มในชุดช่างสีเข้มซึ่งเต็มไปด้วยคราบน้ำมันเครื่องวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแล้วสอดตัวเข้าไปใต้ท้องรถอีกครั้งเพื่อทำงานของตัวเองต่อ หลังจากที่หยุดมันไปชั่วคราวเพื่ออ่านข้อความดังกล่าว
“ข้อความจากคนเดิมเหรอครับเฮีย”
“อืม”
เอ่ยพึมพำตอบรับคำถามของลูกน้องเสียงเบาในขณะที่สายตาก็ยังคงเพ่งเล็งอยู่ที่ใต้ท้องรถ เป็จังหวะเดียวกันที่ลูกน้องคนดังกล่าวนั่งยองลงมาแล้วเอ่ยหยอกเย้าทั้งใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย
“เป็การเริ่มต้นสัปดาห์ที่สดใสดีนะครับ”
คราวนี้ เขมนัษฐ์ ชะงักมือ ปิดไฟฉายที่คาดหัวอยู่แล้วตวัดสายตามองลูกน้องของตนทันที กระทั่งฝ่ายนั้นสะดุ้งสุดตัวพลางยกมือขึ้นเกาหลังท้ายทอยแก้เก้อแล้วส่งยิ้มแหยมาให้
“ว่างมากนักเหรอมึง ส่งประแจมาให้กู”
หากไม่ติดว่าคุณเขมกำลังทำหน้าที่เ้าของอู่ใหญ่อยู่ใต้ท้องรถ นายช่างผู้ช่วยคงได้โดนส้นเท้าลูกพี่ของตัวเองฝากรักไปแล้วแน่ ๆ ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นไปหยิบประแจให้ตาตื่น ก่อนจะวิ่งกลับมาอีกครั้งภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที เขมนัษฐ์เอ่ยพูดขอบคุณเสียงเบาก่อนจะหันกลับไปสนใจงานตรงหน้าอีกครั้ง ทว่าลูกน้องตัวแสบก็ยังไม่วายสวมบทบาทเป็เ้าหนูจำไมอยู่อย่างนั้น ก้มลงไปมองใต้ท้องรถเพื่อพูดคุยกับคู่สนทนาได้อย่างถนัด
“จะว่าไปก็แปลกนะเฮีย”
ผู้พูดทำหน้าฉงน ในขณะที่ร่างสูงเพียงละสายตาจากงานตรงหน้าแล้วหันไปมองอีกฝ่าย เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจว่าลูกน้องของตนกำลัง้าจะสื่อถึงเื่อะไร ก่อนจะชะงักไปในทันทีเมื่อได้ฟังประโยคต่อมา
“ปกติคู่หมั้นนี่เขาต้องขอแต่งงานกันด้วยเหรอ”
“…”
“ที่แปลกเข้าไปอีกคือเฮียนั่นแหละ ปฏิเสธคู่หมั้นตัวเองทุกวันแต่ก็ไม่ยอมขอถอนหมั้นสักทีนี่แหละ---โอ๊ย! ผมเจ็บนะเฮีย!”
“เจ็บสิดี เลิกพูดมากแล้วมาช่วยงานกู! หาเื่อู้เก่งนักนะมึง”
กระตุกยิ้มร้ายอย่างสะใจพลางทอดสายตามองลูกน้องของตนที่เอามือลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ หลังจากโดนเขกกะโหลกไปหนึ่งที ฝ่ายนั้นเอ่ยบ่นกับตัวเองเสียงอุบอิบแต่กระนั้นก็ยอมลุกไปทำหน้าที่ของตนแต่โดยดี ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะจากลูกน้องคนอื่น ๆ …บรรยากาศภายในอู่กลับมาเป็ปกติได้ไม่นาน ก่อนเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์จะดึงความสนใจจากคนที่ทำงานอยู่ไปได้อีกครั้ง
RRRRRRRRRRRRRR
“ว่ายังไง”
(เฮียครับ ผมเจอน้องไฉรถเสียอยู่ข้างทาง)
ประโยคดังกล่าวส่งผลให้ผู้ฟังเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันทันที เมื่อไม่รู้ว่าคู่หมั้นของตัวเองกลับจากอเมริกาั้แ่เมื่อไร แม้จะขยันส่งข้อความมาเทียวไล้เทียวขื่อกันทุกวัน แต่ก็ไม่เคยบอกว่าจะกลับมาวันไหน ครั้นเมื่อลูกน้องอาสาจะเป็คนดูรถให้เองก็เอ่ยพูดออกไปทันที แล้วเดินไปหยิบกุญแจรถทั้งสภาพตัวเลอะน้ำมันเครื่อง
“ส่งที่อยู่มา กูไปดูเอง”
ไฉ หรือ อาไฉ ในวัยยี่สิบสามปีคือคู่หมั้นที่ถูกพูดถึง พวกเขารู้จักกันั้แ่อาไฉยังอยู่แค่ชั้นประถมศึกษา ก่อนจะหมั้นกันอย่างเป็ทางการเมื่ออีกฝ่ายอายุได้สิบเก้าปี...เด็กคนนี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า้าจีบเขามาั้แ่ไหนแต่ไร กระทั่งหลังจากหมั้นกันได้ไม่กี่เดือนก็ถูกครอบครัวส่งไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แม้จะคิดว่าด้วยระยะห่างที่มากถึงขนาดนั้นอาจจะทำให้เ้าตัวอยากตัดใจจากกันได้บ้าง ทว่าผลที่ได้รับกลับเป็ไปในทิศทางตรงกันข้าม
ดูอย่างข้อความขอแต่งงานที่ขยันส่งมาให้ทุกวี่ทุกวันนี่ก็ได้
“ไปไหนครับเฮีย อะ อ้าว!”
เหล่าลูกน้องภายในอู่ได้แต่ยืนงงเป็ไก่ตาแตก เมื่อเ้านายของตนจู่ ๆ ก็เดินไปหยิบกุญแจรถแล้วขับรถออกไปทันทีหลังจากวางหูโทรศัพท์เสร็จ จะบอกว่าถึงเวลาไปรับลูกกลับจากโรงเรียนแล้วก็คงไม่ใช่ในเมื่อตอนนี้เพิ่งจะเก้าโมงเช้าเองด้วยซ้ำ
ฝ่ายเขมนัษฐ์ที่ขับรถออกไปตามทางที่ได้รับข้อมูลมาพลางมองข้างทางไปด้วย ครั้นเมื่อเห็นรถคันหนึ่งจอดหน้าจุ่มอยู่กับต้นไม้ข้างทาง พร้อมกับร่างเล็กที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้าง ๆ กันจึงหาที่จอดใกล้กันแล้วเปิดประตูรถลงไปหา
“เดี๋ยวผมเรียกรถมาเอารถคันนี้ไปที่อู่นะครับ”
“อืม”
พยักหน้ารับคำลูกน้องคนของตนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว พลางกวาดสายตาสำรวจภาพรวมของรถและคนขับที่มานั่งกอดเข่าคุดคู้อยู่ไม่ไกล ส่วนหน้าของรถชนเข้ากับต้นไม้ แม้จะไม่ได้บุบมากมายถึงขนาดนั้นแต่ก็ควรที่จะนำไปตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยในทันที ทันทีที่ลูกน้องในอู่ขับรถออกไป บรรยากาศระหว่างกันก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ร่างสูงละความสนใจจากรถยนต์ตรงหน้าแล้วหันไปมอง เห็นคนตัวเล็กที่นั่งกอดเข่าอยู่แอบช้อนสายตาขึ้นมองกัน ครั้นเมื่อรู้ตัวว่าถูกจับได้ก็รีบหลุบสายตาลงมองพื้นทันใด เขมนัษฐ์ลอบถอนหายใจออกมาเสียงเบา แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปหากระทั่งหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่มีอายุน้อยกว่าตนถึงห้าปี
“ทำไมถึงไปชนต้นไม้ได้”
เอ่ยถามคำถามเปิดบทสนทนาแรกหลังจากไม่ได้พบหน้ากันมาเกือบสี่ปี ทว่าดวงตาก็คอยสำรวจให้ทั่วว่าได้รับาเ็ที่ตรงไหนหรือไม่ โดยรวมเ้าของรถปลอดภัยดี จะมีก็บริเวณหน้าผากที่มีรอยช้ำและมีเืออกเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววผ่อนคลายลงเมื่ออาไฉไม่ได้เป็อะไรมากมาย ร่างเล็กกลอกสายตาไปมาก่อนจะยอมสารภาพออกมาเสียงอุบอิบ
“ขับรถไปคุยโทรศัพท์ไป แล้วน้องหมาตัดหน้ารถพอดีก็เลยใ...”
คราวนี้ผู้ฟังขมวดคิ้วเข้าหากันทันที ฝ่ายคนอายุน้อยกว่าเมื่อเห็นดังนั้นก็กัดปากเบา ๆ หันซ้ายหันขวาหาจุดสนใจให้ตัวเองใหม่ ก่อนจะจบลงด้วยการคว้ากิ่งไม้ที่วางอยู่ใกล้ ๆ มาเขี่ยดินไปมา ท่าทางดูคล้ายกับเด็กที่กลัวจะถูกพ่อแม่ดุอยู่ก็ไม่ปาน ก่อนจะชะงักมือไปเมื่อได้ฟังน้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพูดอีกครั้ง
“ลุกขึ้นมา”
“...”
“อาไฉ”
แต่จนแล้วจนรอด ร่างขาวก็ยังคงนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่อย่างนั้น กระทั่งคนที่ยืนรออยู่ต้องเรียกซ้ำด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ คราวนี้อาไฉทนแรงกดดันไม่ไหว เงยหน้าขึ้นไปเถียงกลับทันที ไม่วายยกกิ่งไม้ขึ้นมาถือไว้ให้มั่น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ากิ่งไม้อันเล็กแค่นั้น เขมนัษฐ์จะแย่งมาหักทิ้งเสียั้แ่ตอนนี้ก็ยังได้
“ถ้าเราลุกไปแล้วโดนคุณเขมดุขึ้นมาจะทำยังไงอะ”
“จะดุเธอไปเพื่ออะไร”
อาไฉแอบช้อนสายตาขึ้นมองกันอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าคุณเขมยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีท่าทีคล้ายจะดุกันแต่อย่างใดก็เริ่มเผยรอยยิ้มซุกซนออกมาได้ ยื่นมือทั้งสองข้างไปจนสุดแขนเพื่อสื่ออะไรบางอย่างกระทั่งผู้มองแอบขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
“คราวนี้อะไรอีก”
“เราเพิ่งเจออุบัติเหตุมานะ ปวดแขนปวดขาไปหมด...”
เอ่ยพูดเสียงเบา พลางกะพริบตาปริบ ๆ ทำท่าทางดูคล้ายกับกำลังออดอ้อนกันอย่างถึงที่สุด เขมนัษฐ์นิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง ก่อนจะยื่นมือไปหมายจะช่วยดึงให้ยืนขึ้น แต่เมื่อสังเกตเห็นคนตัวเล็กแอบลอบยิ้มกริ่ม ไม่ได้มีท่าทีดูเจ็บมากมายอย่างที่ปากว่าแต่อย่างใด มือที่กำลังจะจับกับอีกฝ่ายก็ชักออกมา เปลี่ยนเป็ล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองแล้วเดินนำไปก่อนทันที เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
“พี่ตัวเลอะน้ำมันเครื่อง เดี๋ยวจะเปื้อนไปด้วย”
คราวนี้อาไฉได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ มองตามเ้าของแผ่นหลังกว้างที่เดินตรงดิ่งไปที่รถ แผนการแอบหลอกจับมือคู่หมั้นของตัวเองถูกรู้ทันเข้าเสียก่อนจึงต้องยุติไปในทันใด ใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะควานหาเสียงของตัวเองพบ ครั้นเมื่อตั้งตัวได้ก็ต้องรีบหยัดกายลุกขึ้นทันที
“คุณเขมเราเจ็บจริง ๆ นะ! โอ๊ยไม่เจ็บแล้วก็ได้ รอเราก่อนสิ”
รีบลุกขึ้นยืน แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งพาร่างตัวเองตามไปที่รถอย่างทุลักทุเล เมื่อยัดตัวเองขึ้นรถแล้วสวมเข็มขัดนิรภัยได้ก็หอบแฮ่ก หันไปมองคนข้างกายอย่างคาดโทษ เป็จังหวะเดียวกันที่รถยนต์ถูกขับออกสู่ท้องถนนไปสักระยะหนึ่ง ก่อนจะหยุดลงที่หน้าร้านขายยาแห่งหนึ่งท่ามกลางสีหน้าสงสัยของคนตัวเล็ก เขมนัษฐ์เดินหายเข้าไปภายในร้านไม่นาน ก่อนจะเดินออกมาอีกครั้งพร้อมกับอุปกรณ์ทำแผลในมือ
สำลีและยาทำแผลถูกแกะออกจากซอง พร้อมกับเ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่เงยหน้าขึ้นมองกันก่อนจะพบว่าถูกอาไฉแอบมองกันอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมมองอุปกรณ์ทำแผลในมือสลับกับใบหน้าของคนตรงหน้าไปมา ก่อนคนอายุมากกว่าจะยอมเอ่ยพูดออกมาอีกครั้งในที่สุด
“ขยับหน้าเข้ามา อยู่ไกลขนาดนั้นพี่จะทำแผลให้ยังไง”
สิ้นคำสั่ง พลันอาไฉที่ตั้งท่ารออยู่แล้วก็ยิ่งหูผึ่ง ขยับหน้าเข้าใกล้ทันทีเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการทำแผล ทว่าอาจจะใกล้มากเกินไปเสียหน่อย คราวนี้เป็เขมนัษฐ์เสียเองที่ชะงักไป ต้องรีบขยับตัวออกเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะห่างพลางเอามือดันหน้าผากคนซุกซนเอาไว้เสียก่อนที่จะใกล้กันไปมากกว่านี้
คนหนึ่งพยายามดันหน้าอีกคนออก ในขณะเดียวกันคนที่ถูกต่อต้านก็ยิ่งพยายามยื่นหน้าตัวเองเข้าไปใกล้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ก็ทำให้เขมนัษฐ์ถอนหายใจอย่างหน่ายใจเป็ครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ในรอบวัน ตัดสินใจปล่อยมือที่ดันหน้าผากคนตัวเล็กออกกะทันหัน คราวนี้อาไฉเริ่มเสียหลัก ใบหน้าชนเข้ากับแผงอกกว้างทันทีโดยไม่ได้ตั้งใจ
!!!
“...”
พลันดวงตาสีสวยเบิกกว้างทันทีทั้งเสียงหัวใจภายในอกที่เต้นกระหน่ำ ตัวแข็งทื่อ มือไม้เริ่มสะเปะสะปะเมื่อไม่รู้ว่าควรจะวางอะไรไว้ที่ตรงไหน กลิ่นน้ำมันเครื่องที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าของคนอายุมากกว่าบ่งบอกได้เป็อย่างดีว่าพวกเขาอยู่ใกล้กันมากเพียงใด ยิ่งได้ยินเสียงแค่นหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นในลำคอของอีกฝ่ายก็ยิ่งหน้าแดงเถือก เป็จังหวะเดียวกันที่เขมนัษฐ์ก้มหน้าลง ตั้งคำถามใส่คนที่นั่งตัวแข็งทื่อไปแล้ว
“เป็อะไร ทำไมถึงไม่กล้ามองหน้าแล้ว?”
“เรากล้า!”
จะอะไรก็แล้วแต่ แต่คนอย่างอาไฉย่อมเสียหน้าไม่ได้เด็ดขาด ร่างขาวเบิกตากว้างทันทีคล้ายกับถูกกระตุ้นได้ตรงจุด รีบผละใบหน้าออกมาเอ่ยเถียงอย่างไม่ยอมความ ในหัวมีประโยคเตรียมไว้ต่อปากต่อคำเป็ร้อยประโยค แต่แล้วก็ได้แต่อ้าปากกินอากาศอยู่อย่างนั้นเมื่อร่างสูงหันไปหยิบกระปุกยาเพื่อทำแผลให้ ไม่ได้คิดจะก่อาน้ำลายต่อแต่อย่างใด
“กลับมาไทยั้แ่เมื่อไร”
คำถามใหม่ถูกส่งมาให้ พร้อมกับคนอายุมากกว่าที่ค่อย ๆ ซับรอยเืออกให้อย่างเบามือเพื่อเตรียมจะทำแผลให้ อาไฉตอบกลับทันทีเสียงใสโดยไม่คิดปิดบัง
“เราเพิ่งมาถึงเมื่อเช้า”
“...”
ร่างสูงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย คล้ายกับยังมีเื่สงสัยอยู่มากแต่ก็ไม่คิดถามออกมาแต่อย่างใด เพียงทำแผลต่อไปให้อย่างเงียบ ๆ ในขณะที่คนตัวเล็กใช้โอกาสนี้ทอดมองใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็เรียวคิ้วเข้ม สันจมูกโด่ง ริมฝีปากบางกระจับ…หรือกระทั่งดวงตาคมสีรัตติกาลที่ตรึงเขาเอาไว้ให้จดจ้องอยู่แต่ที่ตรงนั้นอยู่นาน ผ่านไปสี่ปีก็ยังดูดีไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
เขมนัษฐ์ที่เอาแต่ให้ความสนใจอยู่แต่กับการทำแผลชะงักมือไปครู่หนึ่ง เมื่อเริ่มรู้สึกตัวคล้ายกับกำลังถูกจับจ้องอยู่ ครั้นเมื่อก้มหน้าลงจึงพบกับดวงตาสีสวยของอาไฉที่ทอดมองกันอยู่ก่อนแล้ว ริมฝีปากอิ่มคลี่รอยยิ้มซุกซน เอ่ยพูดชักชวนเสียงเจื้อยแจ้ว ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ยังนั่งตัวแข็งสิ้นฤทธิ์อยู่เลยด้วยซ้ำ
“ถ้าคุณเขมอยากรู้มากกว่านี้ก็ยอมจูบกับเราสักทีเถอะ---โอ๊ย!”
“เป็เด็กเป็เล็ก…เสร็จแล้ว”
อาไฉยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ ทั้งใบหน้างอง้ำเมื่อถูกดีดหน้าผากใส่ แม้จะไม่แรงนักแต่ก็ไม่ค่อยเบาแรงด้วยเช่นกัน ในขณะที่เขมนัษฐ์ใช้มือข้างหนึ่งยันหน้าผากของคนที่จะพุ่งเข้ามาหาตนอีกครั้งในรอบวัน พลางก้มหน้าก้มตาเก็บขยะใส่ถุงและเก็บกระปุกยาเข้าที่เดิม เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงขับรถต่อไปอีกครั้ง ท่ามกลางใบหน้าสงสัยของคนที่นั่งอยู่ข้างคนขับ
“คุณเขมจะพาเราไปไหน”
“พากลับบ้าน”
“เราไม่อยากกลับบ้าน”
“ต้องฟังด้วยเหรอ?”
อาไฉอ้าปากพะงาบ ๆ ทำท่าจะเถียงเมื่อเขาไม่ได้อยากจะกลับบ้านตอนนี้เสียหน่อย แต่เมื่อเห็นคู่หมั้นของตนหันสายตามามองกันก็ได้แต่ขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันแล้วหันไปมองนอกกระจกอย่างดื้อดึง กระทั่งรถมาจอดลงที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ใบหน้าหวานที่งอง้ำอยู่ก่อนแล้วก็ยิ่งบูดบึ้งเข้าไปใหญ่
“ลงรถ”
“...”
“หรือจะให้พี่แบกเธอลงไป”
“เราอยากไปบ้านคุณเขม”
“เข้าบ้าน”
เมื่อคนหนึ่งดื้อดึง อีกคนก็เข้มงวดใส่เช่นเดียวกัน อาไฉแอบส่งเสียงฮึดฮึดในลำคอ ยอมเปิดประตูรถลงไปก่อนที่จะต้องถูกอุ้มลงมาแทน กระนั้นก็ยังไม่วายก้มหน้าลงมาเอ่ยพูดประโยคประชดประชันผ่านกระจก ทำเอาผู้ฟังแอบกระตุกยิ้มลอบขำในใจอยู่กับตัวเอง
“เราต้องเอาต้นกุหลาบสักเก้าสิบเก้าต้นไปถมหน้าบ้านหรือไง คุณเขมถึงจะยอมให้เข้าบ้าน”
เขมนัษฐ์คิดว่าเด็กคนนี้นับวันยิ่งแปลกคนเข้าไปใหญ่ ใช่ว่าทุกคนจะชอบดอกกุหลาบเหมือนตัวเองเสียเมื่อไร กระนั้นก็ยังไม่วายแค่นหัวเราะในลำคอ เอ่ยตอบท้าทายกลับไปทั้งรอยยิ้มร้ายที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองเอาต้นดอกกุหลาบมาวางไว้หน้าบ้านสักเก้าสิบเก้าต้นอย่างที่ปากว่า เผื่อพี่จะให้รางวัล”
เอ่ยพูดทิ้งท้ายเพียงเท่านั้นก่อนจะขับรถออกไป ปล่อยให้อาไฉยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ที่เดิม คิดจะท้าคนอย่างอาไฉมันยังเร็วไปสิบปี แหกปากะโไล่หลังรถคันดังกล่าวไปโดยไม่ยอมความเช่นกัน
“ได้...ได้เลย...คุณเขมรอดูได้เลย!!!”
เช้าวันต่อมา
“เฮีย เฮียครับ เฮียตื่นก่อน!”
เสียงโหวกเหวกของลูกน้องรับรุ่งอรุณดังมาแต่ไกล ก่อนบานประตูหน้าห้องจะถูกเคาะรัว ๆ ส่งผลให้คนที่กำลังนอนหลับอยู่ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นแล้วแอบสบถออกมาเสียงเบาอย่างขัดใจ ค่อย ๆ ขยับตัวขึ้นเป็ท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง ทั้งภายในอ้อมแขนที่ประคองลูกสาวตัวน้อยวัยสี่ขวบซึ่งยังคงนอนหลับสนิทเอาไว้
“อะไรของมึง”
“หน้าอู่ หน้าอู่ครับเฮีย!”
คำตอบกำกวมที่ดังผ่านทะลุประตูเข้ามายิ่งทำให้ผู้ฟังขมวดคิ้วแน่นกว่าเก่า หันหน้าไปมองนาฬิกาเห็นเวลาเพียงเจ็ดโมงครึ่งเท่านั้น ตัดสินใจค่อย ๆ ประคองลูกสาวบุญธรรมให้นอนหนุนหมอนนุ่มแล้วห่มผ้าให้อย่างดี ก่อนจะเดินออกไปทั้งสภาพท่อนบนเปลือยเปล่าและกางเกงนอนสีเข้มเพียงหนึ่งตัว
เหล่าลูกน้องภายในอู่นับหลายรายมายืนออกันอยู่หน้าประตูห้องนอน ครั้นเมื่อถูกผู้เป็นายมองอย่างคาดโทษก็ได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนแล้วเดินนำทางไป ทุกคนดูเร่งรีบอยากจะให้รีบจ้ำเท้าเดินตามไปโดยเร็วที่สุดจนชายหนุ่มเริ่มนึกประหลาดใจ ก่อนจะชะงักไปในทันทีเมื่อเห็นร่างของใครบางคนยืนอยู่ที่หน้ารั้วประตูอู่ซ่อมรถ
“คะ คุณไฉมาหาครับเฮีย”
เสียงพูดของใครสักคนไม่ได้เข้าหูของเขมนัษฐ์แต่อย่างใด ในเมื่อดวงตาคมกำลังเพ่งความสนใจไปยังคู่หมั้นของตนทั้งหมด ร่างเล็กของอาไฉยืนกอดอกจ้องเขม็งมาที่เป้าหมายของตนผ่านรั้วเหล็กขนาดใหญ่ เื้ัเป็รถบรรทุกและพนักงานที่กำลังนำกระถางต้นดอกกุหลาบจำนวนเก้าสิบเก้าต้นลงวางเรียงไว้ที่หน้าอู่ บ่งบอกว่าอาไฉดันกำลังทำตามคำท้าจริงอย่างที่ปากว่า
“คุณเขมท้าเราเองเมื่อวานนี้ ว่าถ้าทำได้จะให้รางวัล”
“...”
“ไม่มีอะไรที่คนอย่างอาไฉทำไม่ได้ รู้เอาไว้ด้วย!!”
ดูคล้ายว่าคนอย่างอาไฉจะเป็ประเภทฆ่าได้หยามไม่ได้โดยแท้ คราวนี้เขมนัษฐ์กดแย้มรอยยิ้มร้ายเ้าเล่ห์ หันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านท่ามกลางสายตางุนงงจากทุกฝ่าย ก่อนจะเดินกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับกล่องนมจืดขนาดไม่ใหญ่มากในมือ เหล่าลูกน้องภายในอู่ต่างทอดมองภาพตรงหน้าตาเป็มัน เกาะติดสถานการณ์อย่างใคร่รู้ว่าคู่หมั้นแสนประหลาดคู่นี้จะงัดอะไรมาสู้กันอีก
“ไอ้เจต ไปเปิดประตูให้กู”
“คะ ครับเฮีย!”
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก ให้คนทั้งสองคนได้เผชิญหน้ากันด้วยระยะห่างที่ค่อย ๆ ลดหลั่นลงเมื่อร่างสูงของเขมนัษฐ์เริ่มเดินเข้ามาใกล้ ในขณะที่คนอายุน้อยกว่าเริ่มก้าวเท้าถอยหลังเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามาหากันทั้งสภาพท่อนบนเปลือยเปล่า
ก่อนที่นมกล่องจืดจะถูกยัดใส่มือน้อย ๆ ของคู่หมั้นตัวแสบ บ่งบอกว่ารางวัลของคำท้าที่ว่า ก็คือนมจืดกล่องนี้นี่เอง พร้อมกับประโยคต่อมาที่ทำเอาอาไฉได้แต่ถลึงตา อยากจะะโกัดคอแก้แค้นเหลือเกินหากไม่ติดว่าะโขึ้นไปไม่ถึง ด้วยความต่างของส่วนสูงที่มีมากพอสมควร
“รางวัลสำหรับเด็กเก่ง ดื่มนมให้หมดกล่องแล้วก็กลับบ้านไปได้แล้วหนู”
“คุณเขม!!!”
“หรือไม่กินนมจืด? ในตู้เย็นบ้านพี่ยังมีนมรสช็อกโกแลตอยู่อีกกล่อง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้