เ้าก้างปลาหายตัวไปเสียแล้ว ทว่าข้าวของยังอยู่
บนเตียงยังคงมีเชือกอยู่ม้วนหนึ่ง เป็เชือกเส้นเดียวกันกับที่เขาเคยโยนให้อาลู่ใช้มัดตัวเอง นอกจากนี้ยังมีขวานอยู่อีกด้ามหนึ่ง ส่วนใบมีดนั้นมีทั้งรอยบิ่นและรอยเื ซ้ำยังสนิมเขรอะ อาลู่ไม่ได้แตะต้องขวานนั้น เพราะดูแล้วมันน่าจะหนักไม่เบา ลำพังเขาจะยกคงยังแทบไม่ไหว
ยังดีที่เขาพกมีดเล่มเล็กที่เจอพร้อมกับทารกน้อยในหีบนั้นมาด้วย มีดเล่มนี้แม้จะเก่าคร่ำคร่า ทว่ากลับคมไม่เบา กล่าวได้ว่าั้แ่เขาเกิดมายังไม่เคยเจอมีดเล่มใดจะคมเท่าเล่มนี้เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นวันปกติเขาจึงไม่ค่อยเอามันออกมาใช้นัก
ทว่าหากเพียงอาลู่นั้นมีความรู้สักนิด ย่อมจะรู้ว่ามีเล่มนี้แท้จริงแล้วมีไว้ใช้เพื่อการสังเวย ใช้เพื่อสังหาริญญาร้าย ซ้ำยังต้องใช้โลหิตในการผนึกมันไว้
สิ่งที่ราชครูทำกับองค์หญิงใหญ่คือการสะกดิญญาเพื่อเซ่นสังเวย
แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นมีพลังหยินรุนแรงจนอาจจะดึงดูดิญญาออกมาได้ ทว่าในขณะเดียวกันหากเขาทำพิธีสังเวยด้วยการสะกดิญญา ก็จะสามารถกักขังองค์หญิงใหญ่ไว้ใต้ก้นแม่น้ำแห่งนั้นตลอดไปได้ พิธีการเช่นนี้จะส่งผลต่อดวงชะตานาง ให้นางมิอาจไปผุดไปเกิดได้อีก
ยามที่ราชครูเห็นว่าองค์หญิงน้อยนั้นเป็ผู้ที่เหล่าทวยเทพเลือก เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าเื่นี้มีที่มาที่ไปเช่นไร ซ้ำยังดูเหมือนว่าชะตาขององค์หญิงใหญ่นั้นจะถูกฉกฉวยไปโดยใครบางคนเสียแล้ว ทว่าเพื่อชะตาของแคว้นเชิน เขาจึงได้แต่นิ่งเงียบ
จวบจนเพื่อให้ดวงชะตาขององค์หญิงน้อยมีความมั่นคง เขาจึงมีเพียงเส้นทางการก่อวิบากกรรมให้เลือกเท่านั้น
ทว่าเขากลับไม่นึกเสียใจ
เขาคือราชครูแห่งแคว้นเชิน
เพียงแต่เขากลับคาดไม่ถึงว่าจะมีคนที่ยังมีลมหายใจกล้าะโลงไปในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่องมองค์หญิงใหญ่ขึ้นมา
แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ช่างแสนไกล
ทว่าูเากระดูกกลับไกลยิ่งกว่า
ูเาที่เต็มไปด้วยกระดูกผีเช่นนั้น แม้แต่ทวยเทพก็ยังหลีกหนี
อาลู่พาดเชือกขึ้นหลัง แต่กลับไม่ได้นำขวานเล่มนั้นไปด้วย จากนั้นจึงออกไปจูงม้าของเ้าก้างปลาที่อยู่ในเรือน ทันทีที่เขาเจอกับเ้าม้าที่เต็มไปด้วยาแเต็มร่างกาย ก็พลันชะงักไปครู่หนึ่ง
คาดว่าเ้าก้างปลาปกติแล้วคงไม่ได้ดูแลม้าของตัวเองดีนัก
เด็กหนุ่มยังคงรั้งอยู่ในเรือน ป้อนอาหารให้ม้า แล้วจึงอาบน้ำทำความสะอาดตัวให้มัน
เ้าม้าตัวนี้ดูท่าน่าจะฉุนเฉียวไม่เบา
ตอนอาลู่อาบน้ำให้มันก็พบว่าใต้ฝ่าเท้านั้นมีแผ่นเหล็กแผ่นหนึ่งฝังอยู่ เขาจึงค่อยๆ แกะออกให้มันอย่างระมัดระวัง เพียงครู่เดียวเ้าม้าตัวนี้ก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
ทั้งตัวของเ้าม้านั้นไม่เพียงแต่จะเต็มไปด้วยาแ กระทั่งใบหน้าก็สกปรกมอมแมม สิ่งที่เปื้อนอยู่บนหน้านั้นก็ดูแล้วไม่แน่ชัดว่าเป็ก้อนดินหรือก้อนเืกันแน่ เด็กหนุ่มจึงได้แต่ใช้น้ำเช็ดแรงๆ ให้หลุดออก จวบจนเมื่อทำความสะอาดใบหน้าฝั่งขวาของเ้าม้าเรียบร้อยแล้ว อาลู่ก็พลันตะลึงค้าง
เขาใช้มือเขี่ยก้อนเืที่เกาะอยู่บนตามันออก ก็พบว่าด้านในนั้นเริ่มเน่าเปื่อยจนเป็โพรงโบ๋แล้ว
เ้าม้าตัวนี้มีตาเพียงข้างเดียว
อาลู่ค่อยๆ แตะดวงตาของมันเบาๆ เ้าม้าส่งเสียงฮึดฮัดไม่ยินยอม
ทันใดเสียงแตรสัญญาณก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตูหนักๆ จากข้างนอก
“ออกเดินทางได้แล้ว เ้าลูกหมา” เสียงต้าโกวสั่ง
เด็กหนุ่มรีบะโขึ้นหลังม้า ใจคิดอยากไปบอกลาน้องสาวสักหน่อย ทว่าเพียงพริบตาเขากลับโดนเบียดเข้าไปอยู่กลางฝูงชนเสียแล้ว
“ครั้งนี้มีทั้งคนและม้าผ่านมามากมายนัก พวกเราเมื่อลงเขาแล้วจะได้กินเนื้อหรือกินดิน ก็ต้องดูฝีมือของพวกเ้าแล้ว พวกเ้าทุกคนพร้อมแล้วหรือไม่”
“พร้อมแล้ว! สังหาร!”
“สังหาร! สังหาร!”
“สังหาร!”
อาลู่ที่ถูกเบียดอยู่กลางฝูงชน เมื่อได้ยินเสียงผู้คนกล่าวคำว่าสังหารดังะเืฟ้าะเืดินเช่นนี้ทั้งกายพลันสั่นสะท้าน เสียงะโนี้ราวกับกำลังปลุกความดุดันในใจเขา จนอยากจะถือมีดขึ้นมาฆ่าฟัน
ม้าที่อยู่ใต้ร่างก็พ่นลมหายใจฮึดฮัดราวกับรู้สึกไม่สงบเช่นกัน
กลุ่มคนและม้ากลุ่มใหญ่ค่อยๆ ย่ำผ่านูเากระดูก
อาลู่เห็นเหล่าชายหนุ่มที่กำลังออกเดินทางล้วนยื่นมือลูบกองกระดูกนั้นคนละทีสองที เขาเองก็ยื่นมือออกไปลูบตามเช่นกัน ทว่าก็ไม่รู้ว่าเป็เพราะคนก่อนหน้าเขานั้นลูบกองกระดูกนี้เสียหลายทีหรือไม่ จึงทำให้กองกระดูกนั้นราวกับแผ่ความร้อนออกมา
เหล่าคนที่ออกเดินทางครั้งนี้ล้วนแต่เป็บุคคลเลื่องชื่อ แต่อาลู่ก็พบว่าในขบวนนั้นก็มีเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขาร่วมติดตามมาไม่น้อยเช่นกัน
เส้นทางลงเขานั้นยังคงเป็เช่นเดิม คือต้องเดินทางผ่านถนนกระดูก
ยามสัญจรผ่านถนนกระดูกนั้น ทุกคนล้วนแต่เคลื่อนตัวไม่เร็วนัก เสียงจอแจสนทนาจากหัวแถวท้ายแถวจึงดังมาเป็ระลอก ภาพคนเดินเรียงกันที่ปรากฏจึงดูคล้ายกับัตัวยาวก็ไม่ปาน
อาลู่บัดนี้นั่งอยู่บนหลังม้าของเ้าก้างปลา ด้วยความที่อาศัยอยู่กับเหล่าปามานาน เขาจึงตัดสินใจว่าจะต้องตั้งชื่อให้เ้าม้าตัวนี้ให้ได้ เมื่อคิดไปคิดมาเขาจึงตั้งชื่อมันว่า “เ้าก้าง”
ทว่าทันใดอาลู่ก็เกิดลางสังหรณ์บางอย่างจนต้องหันกลับไปมองด้านหลัง เมื่อปรับสายตาได้แล้วเขาก็เห็นว่าบนยอดเขานั้น มีแม่นางหลัวและอาโย่วในอ้อมแขนกำลังยืนมองเขาอยู่
มือคู่น้อยของอาโย่วนั้นก็กำลังโบกมาทางเขา
แม้จะเป็เพียงภาพเงาน้อยๆ ทว่าเขากลับมั่นใจเสียยิ่งกว่ามั่นใจว่าจะต้องเป็น้องสาวของตนแน่ๆ
เมื่อภาพอาลู่หันไปมองบนูเานั้นปรากฏแก่สายตา ต้าโกวที่ตามหลังเขามาก็พลันด่าขึ้นเสียงดัง “อย่าหันกลับไปมอง เมื่ออยู่บนถนนกระดูกห้ามหันกลับไปมองเด็ดขาด” ชายหนุ่มตวาดด่าลั่น พร้อมฟาดแส้ออกไปหมายจะฟาดลงบนตัวเด็กหนุ่ม
“เ้าลูกหมา ข้ารู้ว่าเ้าเพิ่งจะเคยออกมาครั้งแรก ทว่าหากเ้าทำให้พวกข้าพลอยลำบากไปด้วย เ้าได้กลายเป็ศพแรกของพวกข้าในวันนี้แน่”
เพียงแต่แส้ที่ฟาดมานั้นกลับตวัดมาไม่ถึงตัวเด็กหนุ่ม มันกลับเป็เ้าม้าที่ได้รับเคราะห์นี้ไป
ถนนกระดูกนั้นแคบนัก
เ้าม้าเมื่อใก็เซทีหนึ่งจนเกือบพาอาลู่ตกลงไปยังหุบเหวเบื้องล่าง
เหล่าชายโฉดเมื่อเห็นท่าทางเ้าม้าก็พากันหัวเราะ
เด็กหนุ่มไม่ได้หันกลับไปมอง เพียงจับสายบังเหียนม้าให้แน่นขึ้นเท่านั้น
ต้าโกวนั้นมองไม่เห็นแววตาของอาลู่ เห็นแต่เพียงร่างกายที่ผอมบางนั่งหลังตรงอยู่บนหลังม้า
ถนนกระดูกนั้นจริงๆ แล้วไม่นับว่ายาวไกลอะไร เพียงแต่ทุกคนนั้นเดินช้านัก เมื่อลงมาถึงตีนเขา คนด้านหน้าอาลู่จึงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน เพราะคนก่อนหน้านั้นล้วนห้อตะบึงราวกับบินไปหมดแล้ว
อาลู่จึงขี่ม้าตามเหล่าคนด้านหลังไปไม่ช้าและไม่เร็วนัก
เดิมทีชายหนุ่มคิดว่าเ้าเด็กเหลือขอนี่จะต้องมาเป็ตัวถ่วงให้พวกเขาแน่ ทว่ากลับไม่คาดคิดว่าฝีมือการขี่ม้าของเ้าเด็กนี่นั้นก็ไม่เลวนัก
แต่ต้าโกวได้แต่รู้สึกประหลาดใจอยู่เงียบๆ ม้าใกล้ตายตัวนี้ของเ้าก้างปลา ยามที่เ้าก้างปลาขี่มันนั้นยังต้องเฆี่ยนเสียแทบตาย มันถึงยอมออกวิ่ง คาดไม่ถึงว่ายามอยู่ใต้ร่างเ้าเด็กหนุ่มนี่ มันไม่เพียงแต่ฟังคำสั่ง ทั้งยังวิ่งได้เร็วไม่เบา
หรือเ้าม้านี่มันจะเลือกคน
หน้าที่ของเขาแท้จริงแล้วก็มีเพียงจับตาเ้าเด็กนี่ไว้ ทว่าหน้าที่หลักก็ยังเป็การปล้น ดังนั้นขอแค่เ้าเด็กนี่ไม่ทำอะไรผิดพลาดก็พอ
........
ครั้งนี้พวกเขาเจอกับแพะตัวอ้วนเข้าแล้ว
กลุ่มชายฉกรรจ์เดินทางไปยังจุดดักซุ่มเป็อันดับแรก จากนั้นจึงเริ่มลงจากหลังม้าแล้วแยกย้ายกันไป ไม่ได้ออกันอยู่จุดเดียว
อาลู่เดินตามต้าโกวและชายอีกราวสิบกว่าคนไปหยุดข้างลำธารสายเล็กสายหนึ่ง
เมื่อลงจากหลังม้าแล้วอาลู่ก็ตรวจดูอาการของมันครู่หนึ่ง ตามคำที่เหล่าปาเคยสอนว่ายามไปปล้นสะดมนั้นจะต้องดูแลม้าของตนให้ดี เพราะยามคับขันก็ย่อมเป็เ้าม้านี่แหละที่จะช่วยชีวิตเขาได้
เ้าก้างที่ดวงตาาเ็อยู่นั้นถูกอาลู่แกะสะเก็ดเืให้ั้แ่เช้า บัดนี้ดวงตาข้างที่เป็แผลเน่าจึงดูน่ากลัวไม่เบา แผลนี้ดูท่าว่าน่าจะได้รับาเ็มา แต่เ้าก้างปลาไม่ได้สนใจมันจึงได้เป็เช่นนี้
เด็กหนุ่มเดินไปข้างแม่น้ำ จากนั้นจึงใช้มีดของตนกะเทาะน้ำแข็งออกมาก้อนหนึ่ง แล้วนำไปประคบบนเบ้าตาที่ลึกโบ๋ของเ้าก้าง
เ้าก้างจากท่าที่ดุร้ายในทีแรกนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็สงบลง
เหล่าชายหนุ่มที่สนทนากันอยู่ในทีแรกนั้น เมื่อเห็นท่าทางของอาลู่ก็พากันหันไปมอง
ต้าโกวเห็นดังนั้นก็พลันเอ่ยขึ้น “เ้าลูกหมา มีดเ้าดูไม่เลวนี่ เอาอย่างนี้เป็อย่างไร ยกมันให้ข้าเสีย แล้วข้าจะคอยคุ้มกันให้เ้า”
อาลู่ไม่ได้เอ่ยปากตอบ ยังคงประคบน้ำแข็งให้เ้าก้างต่อ จากนั้นจึงไปหาหญ้าเสียนเฉ่ามาเคี้ยวให้ละเอียด แล้วทาลงบนเบ้าตาที่เน่ากลวงของเ้าม้า หาผ้ามาปิดแผล จากนั้นจึงใช้เชือกรัดให้เรียบร้อย
เมื่อเรียบร้อย เ้าม้าก็ดูแล้วเป็ม้าตาเดียวเต็มตัวเสียที
เมื่อจัดการเ้าม้าแล้ว เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าเ้าม้าค่อยๆ หันไปทางต้าโกว แล้วส่ายหน้าน้อยๆ
“มีดของข้าไม่ได้มีไว้มอบให้ผู้อื่น มีดอยู่ ข้าก็อยู่เช่นกัน”
ต้าโกวได้ยินดังนั้นก็คิดจะะเิโทสะ ทว่าทันใดกลับได้ยินเสียงเตือนที่มีความหมายว่าเป้าหมายมาถึงแล้วดังขึ้น
เขาจึงไม่อาจจัดการเ้าเด็กนั่นต่อได้ ทำได้เพียงแต่ะโขึ้นหลังม้าเช่นเดียวกันกับคนอื่น ส่วนอาลู่เองก็ทำตาม รีบะโขึ้นหลังม้า แล้วออกเดินตามกลุ่มคนข้างหน้าเงียบๆ
เหล่าชายหนุ่มพากันแอบอยู่ในป่า ป่าแห่งนี้คือป่ากลางหุบเขาที่หาได้ยากนัก
เด็กหนุ่มยังคงอยู่บนหลังม้า วิสัยทัศน์การมองของเขานั้นดีเยี่ยม ในขณะที่คนอื่นกำลังพยายามเพ่ง เขาก็มองเห็นเหล่าคนที่พวกเขาตามหาเสียแล้ว
ภาพที่ปรากฏคือคนจำนวนมากกำลังสัญจรเรียงกันเป็แถวยาว ด้านข้างยังมีชายสวมชุดเกราะขี่ม้าอยู่ มองดูแล้วราวกับจะได้กลิ่นความน่าเกรงขามกำจรออกมา
ทว่าเมื่ออาลู่มองเห็นเหล่าคนที่กำลังเดินนั้นได้ชัดเจน ร่างของเด็กหนุ่มก็พลันแข็งค้าง
เพราะสตรีที่นั่งอยู่บนเกวียนเทียมวัวท้ายขบวนนั้น เมื่อมองดีๆ แล้วก็คือท่านแม่ของเขานั่นเอง
ท่านแม่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาก ในอ้อมอกยังมีทารกน้อยอยู่อีกคน ทั้งยังมิรู้สนทนาอะไรกัน ใบหน้านั้นจึงได้มีรอยยิ้มกว้างเช่นนี้