ร้านน้ำชายังคงสว่างไสว
ภรรยาของชายร่างั์นั่งอยู่หน้าร้านด้วยสีหน้ากังวล ราวกับว่าพร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
ทันใดนั้น ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า นางเบิกตากว้างด้วยความยินดี “ท่าน...”
ทว่าเบื้องหน้ามิใช่สามีที่นางรอคอย แต่เป็ลู่เต้าพร้อมกับเด็กชายตัวน้อยที่นั่งอยู่บนบ่าของเขา ฮูหยินเถ้าแก่ร้านน้ำชารีบตรงเข้าไปอุ้มเด็กชายตัวน้อยเข้ามากอด “เ้าเด็กแสบ! ทำแม่ใแทบแย่!”
จากนั้นก็วางเด็กชายตัวน้อยลง แล้วหันไปขอบคุณลู่เต้า “ขอบใจท่านมาก! ที่ช่วยพาเ้าตัวแสบกลับมา!”
“ไม่เป็ไร” ลู่เต้ารู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะพอนึกดูดีๆ แล้ว เื่นี้เขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ถือว่าหายกันไปแล้วก็แล้วกัน
“ว่าแต่ท่านเจอเขาที่ไหนกัน” ฮูหยินเถ้าแก่ร้านน้ำชาถาม
“ในเมือง เขานั่งอยู่ข้างถนนน่ะ”
“เอ๊ะ” ฮูหยินเถ้าแก่ร้านน้ำชาขมวดคิ้วอย่างสงสัย แล้วหันไปมองเด็กชายตัวน้อย
เด็กชายตัวน้อยถูกกดดันจากมารดา จึงได้แต่สารภาพความจริงด้วยท่าทีหวาดกลัว “ขะ...ข้าแค่พูดเล่น ข้าไม่กล้าไปทะเลสาบัทมิฬหรอก ที่นั่นมืดมาก แถม่นี้ยังมีผีอีก...”
ฮูหยินเถ้าแก่ร้านน้ำชามองลู่เต้าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ก่อนที่เด็กคนนี้จะหนีออกจากบ้าน เขาบอกว่าจะไปะโน้ำตาย สามีของข้าก็เลยรีบไปที่ทะเลสาบเพื่อตามหา...ลูก...จนถึงตอนนี้...”
นางเป็หญิงอ่อนแอ ทนเื่กระทบจิตใจไม่ไหว จึงเซไปเซมาราวกับจะหมดสติ ลู่เต้ารีบเข้าไปประคองฮูหยินเถ้าแก่ร้านน้ำชานั่งลง เขามองเด็กชายตัวน้อยด้วยสีหน้าระอาใจ ก่อนส่ายหน้าด่าทอ “เ้าเด็กแสบนี่!”
“ข้าแค่พูดเล่นเอง!”
******
ยามราตรีคืบคลาน บนท้องฟ้าโปร่งโล่ง เมฆาน้อยนิด
ลู่เต้าถือโคมไฟที่ยืมมาจากร้านน้ำชา เดินทางมาถึงริมฝั่งทะเลสาบัทมิฬเพียงลำพัง
เขานำมืออีกข้างป้องปากะโก้องไปในความมืด “เฮ้! เถ้าแก่! อยู่ที่นี่หรือไม่!”
ไม่มีเสียงตอบรับ
หลังจากที่ภรรยาของเถ้าแก่ฟื้นขึ้นมา นางก็ยืนกรานจะไปตามหาสามีที่ทะเลสาบัทมิฬ ด้วยร่างกายที่อ่อนแอเช่นนั้น เกรงว่าคงจะล้มลงั้แ่ยังไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ
ลู่เต้ารู้สึกสงสารจับใจ เขาจึงอาสาเป็คนดีช่วย ให้สองแม่ลูกอยู่ที่บ้าน ส่วนตัวเองจะไปตามหาเถ้าแก่ที่ริมทะเลสาบเอง
ลู่เต้าถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง “คืนนี้คงต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว”
จากนั้นเขาก็ถือโคมไฟ นำมือป้องปากอีกข้าง แล้วเดินเลียบฝั่งทะเลสาบพร้อมกับะโเรียก “นี่! เถ้าแก่! ลูกชายของท่านกลับบ้านแล้ว!”
ทะเลสาบัทมิฬกว้างใหญ่นัก ลู่เต้าเดินอยู่ครึ่งชั่วยาม ก็ยังเดินไม่ถึงหนึ่งในสามด้วยซ้ำ การะโเป็เวลานานและอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้เขาปากคอแห้งผาก โชคดีที่อยู่ริมทะเลสาบพอดี ลู่เต้าวางโคมไฟลง คุกเข่าลงกับพื้น แล้วก้มหน้าดื่มน้ำในทะเลสาบอย่างกระหาย
ฟู่...เมื่อความร้อนลดลง เขายืนขึ้นเช็ดปากอย่างพอใจ แล้วเตรียมจะออกตามหาเถ้าแก่ต่อ
ทันใดนั้น พื้นดินใต้ฝ่าเท้าก็สั่นะเื!
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวของลู่เต้า แผ่นดินไหวอย่างนั้นหรือ
ไม่นานเขาก็เปลี่ยนความคิด “ไม่ นี่ไม่ใช่แผ่นดินไหวธรรมดา!”
แรงสั่นะเืที่มีจังหวะเช่นนี้ ทำให้เขานึกถึงหมูป่าที่ท่านปู่เคยจับได้ ตอนนั้นท่านปู่ตั้งใจจะเลี้ยงมันไว้สักพัก แล้วค่อยเชือดเอามากินตอนเทศกาล
หมูป่ามีนิสัยดุร้าย ต่างจากหมูบ้านลิบลับ เขายังจำได้ว่าตอนที่เพิ่งได้หมูป่ามาใหม่ๆ มันเอาแต่เอาหัวชนกรงเหล็กไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน
แรงสั่นะเืใต้ฝ่าเท้า บังเอิญซ้อนทับกับจังหวะที่หมูป่าชนกรงเหล็กในความทรงจำ ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะพุ่งทะลุกรงขังออกมาจากใต้ดิน
แรงสั่นะเืรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผิวน้ำที่ราบเรียบดุจกระจกก็เกิดระลอกคลื่น บริเวณใจกลางทะเลสาบมีแสงสีเขียวประหลาดส่องสว่างวาบ แม้จะอยู่ไกลลิบ ลู่เต้าก็ยังมองเห็นรางๆ ว่าเป็ใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัว รูทั้งเจ็ดบนใบหน้าต่างเปล่งประกายอัปมงคล ช่างน่าขนลุกยิ่งนัก
ขณะที่แผ่นดินกำลังจะสั่นะเืรุนแรงที่สุด แผ่นดินไหวก็หยุดลงกะทันหัน แสงสว่างใต้ทะเลสาบก็ดับลงเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น” ลู่เต้าหันหน้าไปทางทะเลสาบัทมิฬ นึกว่าตนตาฝาด จึงขยี้ตาดูอีกครั้ง
ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหลือเพียงระลอกคลื่นบนผิวน้ำที่ยังไม่สงบ เตือนสติลู่เต้าว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้หาใช่ภาพลวงตา
น่าเสียดายที่ไป๋เสียไม่ได้มาด้วย หากเ้าหมอนั่นอยู่ที่นี่ละก็ คงจะอธิบายสถานการณ์ได้กระมัง
ทว่าเื่ประหลาดกลับเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ห่างไปไม่ไกลก็มีเสียงสตรีกรีดร้องดังมาจากด้านหลัง
ลู่เต้าเติบโตขึ้นมาจากการล่าสัตว์ เขาจึงเชี่ยวชาญเื่การฟังเสียงแยกแยะทิศทาง เขาค่อยๆ ปรับทิศทาง ไม่นานนักเขาก็รับรู้ถึงเป้าหมาย รีบพุ่งตรงไปพร้อมกับโคมไฟในมือ
ลู่เต้าวิ่งไปในป่าอย่างบ้าคลั่ง เสียงที่เดิมทีฟังไม่ชัดเจนเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ด้านหน้าไม่ได้เห็นเพียงแสงไฟเท่านั้น แต่ยังได้ยินเสียงหวาดกลัวเลือนรางดังมาอีกด้วย “อย่า...อย่าเข้ามานะ!”
เพียงพริบตาเดียว ลู่เต้าก็มาถึงที่เกิดเหตุ กลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวลอยู่ในอากาศ ทำให้เขาขมวดคิ้วยกมือขึ้นมาปิดจมูก เห็นผีพรายตนหนึ่งกำลังหันหลังให้เขาอยู่ กลิ่นเน่าเหม็นนี้ได้โชยออกมาจากร่างที่บวมเป่งของมันนั่นเอง
ในขณะเดียวกัน เขาก็เห็นเ้าของเสียงตัวจริงแล้ว ที่แท้ก็คือกู่เสี่ยวอวี่นั่นเอง ผีพรายกำลังคืบคลานเข้าไปหานางอย่างช้าๆ นางทำได้เพียงกำที่ตกปลาแน่น ร้องะโขอความช่วยเหลืออย่างหมดหนทาง
“ยะ...อย่าเข้ามานะ!” กู่เสี่ยวอวี่หวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด นางเหวี่ยงที่ตกปลาในมือไปมา หวังจะไล่อีกฝ่ายออกไป
ทว่าไม่อาจหยุดยั้งผีพรายได้แม้แต่น้อย มันยังคงพุ่งเข้าหาอย่างดุร้าย
นางหวาดกลัวจนทรุดลงไปกับพื้นโดยอันจนหนทางจะต่อต้าน หลับตาเตรียมพร้อมรับชะตากรรม
มีเพียงเสียงคำรามเท่านั้นที่ดังก้อง ผ่านไปเนิ่นนาน กู่เสี่ยวอวี่เห็นว่าผีพรายไม่ได้ทำอะไร จึงรวบรวมความกล้าแล้วลืมตาขึ้น
ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แผ่นหลังอันแข็งแกร่งของลู่เต้ายืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เมื่อมองผีพรายอีกครั้ง ก็พบว่ามันถูกต่อยจนล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว
ลู่เต้าหันหน้ามาถามกู่เสี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านหลัง “เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่”
กู่เสี่ยวอวี่ที่ยังคงใจนทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่พยักหน้า ลู่เต้ายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสนใจผีพรายต่อ เขารู้ดีว่าหมัดเดียวไม่อาจปลิดชีพมันได้
ร่างกายที่บวมเป่งของผีพรายดิ้นไปมาอยู่บนพื้นอยู่นาน ก่อนจะซวนเซลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
ครั้งนี้มันเบนเป้าหมายไปที่ลู่เต้า เพราะเป็ผู้ฝึกตน พลังชีวิตของเขาจึงแข็งแกร่งกว่ากู่เสี่ยวอวี่มาก พอที่จะกลบกลิ่นอายของนางได้
บัดนี้ในดวงตาสีแดงก่ำของมันมีเพียงลู่เต้าเท่านั้น!
ส่วนลู่เต้าหาได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ในใจกลับรู้สึกดีใจยิ่งนัก
์มีตา ์คงเห็นใจข้า จึงสร้างโอกาสให้ข้าได้พบกับเสี่ยวอวี่ที่นี่ ทั้งยัง…
ลู่เต้าสูดหายใจเข้าลึกๆ บิดคอเล็กน้อย ตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างกระตือรือร้น
เป็ฉากช่วยเหลือหญิงสาวอีกแล้ว!
ลู่เต้ามองผีพรายด้วยดวงตาเป็ประกาย บางทีอาจเป็เพราะสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด ผีพรายที่เดิมทีทำท่าทางดุร้าย กลับหวาดกลัวหันหลังแล้วเผ่นแนบไป
ลู่เต้าเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามไป ภาพลักษณ์ในใจของกู่เสี่ยวอวี่ ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะกำจัดผีพรายตนนี้ได้หรือไม่แล้ว
เขาจึงต้องรีบวิ่งไล่ตามไป พร้อมกับะโก้อง “ยังคิดจะหนีอีกหรือ”
ผีพรายมีรูปร่างใหญ่โต แม้จะวิ่งหนีก็ถูกจำกัดด้วยรูปร่าง ไม่อาจวิ่งได้เร็ว เมื่อวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกตามทันแล้ว
ลู่เต้าหยิบขลุ่ยสะกดมารออกมาจากเอว “ยอมรับชะตากรรมซะ!”
เขารวบรวมพลังิญญา หวังจะเปลี่ยนขลุ่ยเป็ไม้สะกดมาร ทว่าเมื่อเขาพยายามจะควบคุมพลังิญญาในร่างกาย ก็พบว่าพลังิญญาถูกสะกดเอาไว้!
ศัสตราวุธิญญา...ใช้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ
ในขณะที่ลู่เต้าตกตะลึง ผีพรายก็รีบฉวยโอกาสนี้วิ่งหนี ตอนนี้มันอยู่ห่างจากทะเลสาบัทมิฬเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
เมื่อเห็นว่ากำลังจะปล่อยเสือเข้าป่า ลู่เต้าก็ไม่คิดจะอยู่เฉย เขาะโเต็มกำลังพุ่งเข้าไปขวางอีกฝ่ายอย่างเร็วรวด แต่ก็สายไปเสียแล้ว
ทันใดนั้น อุณหภูมิก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ลู่เต้าพลันตกตะลึงเมื่อพบว่าลมหายใจของเขากลายเป็ควันสีขาว เพียงไม่นาน บนนภายามค่ำคืนในคิมหันต์ฤดูก็มีหิมะโปรยปราย! ในขณะเดียวกันก็มีกำแพงน้ำแข็งผุดขึ้นมาจากพื้นดินขวางทางผีพรายเอาไว้!
กิ่งไม้ในป่าสั่นไหว แสงสีเงินวูบวาบออกมาจากความมืด แทงหลังผีพรายจนทะลุทรวงอกอย่างแม่นยำ! ร่างกายของมันถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งในบัดดล ถูกแช่จนกลายเป็น้ำแข็งเพียงเสี้ยววิ
ลู่เต้าเพ่งมองก็พบว่านั่นคือกระบี่ิญญา!
หลังจากจัดการผีพรายแล้ว กระบี่ิญญาก็ถูกดึงออกจากร่างผีพราย ก่อนจะทะยานกลับไปหานายของมัน
ท่ามกลางหิมะโปรยปราย บุรุษผู้หนึ่งที่ถือโคมไฟสวมชุดขาวสะอาดสะอ้านปรากฏขึ้นเบื้องหน้าลู่เต้า บนใบหน้าเ็านั้นไร้ซึ่งความรู้สึก เขาเอื้อมมือไปรับกระบี่ิญญา แล้วเก็บเข้าฝักอย่างไม่ใส่ใจ
กระบี่ิญญา ‘หยาดน้ำฟ้าเหมันต์’ วิชาธาตุน้ำแข็ง และพลังิญญาอันแข็งแกร่ง...แม้ว่าลมหนาวจะเย็นะเื แต่บนหน้าผากของลู่เต้ากลับมีเหงื่อกาฬไหลผุด สีหน้าเริ่มไม่สู้ดีนัก
เช่นนั้น...
บุรุษตรงหน้าผู้นี้เป็เฉายวนิที่ไป๋เสียพร่ำบอกให้เขาอยู่ห่างๆ มิใช่หรือ
