ข้างหูเต็มไปด้วยเสียงเอะอะกรีดร้อง เสียงดังจนเยี่ยนเจาเจารู้สึกไม่สบายตัวนัก
ทว่านางยังไม่ทันได้จับใจความเสียงพูดรอบตัวเ่าั้ก็พลันรู้สึกถึงแรงผลักมหาศาล
นางััได้เพียงว่าร่างทั้งร่างของนางเย็นเฉียบ น้ำทั่วสารทิศดึงนางดำดิ่งลงไป ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัว ก่อนที่สุดท้ายสรรพเสียงจะเงียบงันสงบลง
เยี่ยนเจาเจาถูกปลุกด้วยเสียงเล็กเบาดังต่อเนื่อง นางลืมตาด้วยความมึนเบลอ ที่แท้แล้วก็เป็เสี่ยวชุ่ยนี่เอง สาวใช้ข้างกายของนางที่กำลังหยิบม่านไข่มุกตะวันออกมีค่าเทียมเมืองในห้องส่วนตัวของนางเข้ามา
ไข่มุกตะวันออกกระทบกันเกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง ราวกับยังอยู่กลางห้วงนิทรา
นั่นเป็เสียงที่นางมักจะได้ยินเป็ประจำ ยามยังเป็คุณหนูห้าแห่งสกุลเยี่ยนผู้สูงศักดิ์
แม้มันจะเบากว่าเสียงกรุ๊งกริ๊งของจี้หยกประดับ แต่กลับปลอบประโลมหัวใจได้อย่างคาดไม่ถึงทีเดียว
เยี่ยนเจาเจาจำไข่มุกตะวันออกพวงนี้ได้ สมัยเหลียงอินถูกลดขั้นเป็สามัญชน เขามาขอเงินจากนาง พูดทั้งต่อหน้าและลับหลังว่าตนเองไม่มีเงิน อาจต้องตายข้างทางแล้ว
นางไม่สามารถหาเงินทองมากมายขนาดนั้นได้ในเวลาเพียงชั่วหยิบมือ สุดท้ายจึงทำได้เพียงรื้อม่านประตูออกมาเป็ส่วนๆ เปลี่ยนที่จำนำเรื่อยๆ เพื่อส่งเงินไปให้เหลียงอิน
มาคิดตอนนี้ ช่างไร้สาระเหลือเกิน!
เสียงฝนตกโปรยปรายจากนอกหน้าต่างดังไม่ขาดสาย เสมือนความเกลียดชังในใจของเยี่ยนเจาเจาที่งอกเงยอย่างบ้าคลั่งราววัชพืชแตกหน่อ
เพียงครู่เดียวนางก็ตื่นเต็มตา
นางกำลังเอนนอนอยู่บนตั่งที่มีหลังคา แขวนด้วยผ้าหลัวหร่วนเยียน [1] สีทองอ่อน ในเวลานั้นเมืองเซียงเฉิงมีเพียงองค์หญิงฉงหยางและเยี่ยนเจาเจาเท่านั้นที่สามารถใช้เครื่องเรือนสีทองอ่อนได้ นับเป็เกียรติยศที่ท่านป้าของนาง ฮองเฮาเหลียงฮุ่ยพระราชทานให้พวกนางแม่ลูกเพียงผู้เดียว
บนตู้เล็กข้างหัวเตียงวางกระถางกำยานรูปปี่เซี้ยะ จุดกลิ่นสาลี่ขาวจีน ซึ่งเป็กลิ่นโปรดของเยี่ยนเจาเจาเมื่อครั้นยังเด็ก
เยี่ยนเจาเจาเงยหน้าขึ้นก็เห็นแผ่นไม้กระดานเหนือเตียงหลัวฮั่น [2] จากไม้พะยูงหอมวาดภาพเด็กน้อยตัวอ้วนท้วมคนหนึ่ง ด้านข้างเขียนตัวอักษรเพรียวบางสง่างามว่า ‘ขอให้เจาเจา ผู้เป็บุตรีของข้า สุขภาพแข็งแรง ร่มเย็นแลเป็สุข’
ภาพเด็กน้อยคนนั้นเป็ภาพที่เยี่ยนเหิง บิดาของเจาเจาวาดขึ้นมาเองกับมือ
ใต้หล้านี้คงมีเพียงเยี่ยนเจาเจาคนเดียว ที่คุณชายน้อยสกุลเยี่ยนผู้ได้อันดับหนึ่งทุกระดับการสอบเคอจวี่ยอมวาดไม้กระดานทำเตียงให้
เยี่ยนเจาเจามองเด็กน้อยตัวอ้วนกลมไร้เดียงสาคนนั้น ความโศกเศร้าตีตื้นขึ้นมาในอกอีกครา
เหตุใดชาติที่แล้วนางถึงเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับคนระยำอย่างเหลียงอิน จนไม่รู้สึกสลดกับการตายของบิดาตนเองแม้แต่นิดเดียวกันนะ
เมื่อเสี่ยวชุ่ยเลิกผ้าหลัวหร่วนเยียนขึ้นเบาๆ ก็เห็นคุณหนูน้อยผู้สูงค่าราวหยกสลักเบิกตากว้างร้องไห้อยู่
“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นเ้าคะ?”
รอยปูดบนหน้าผากของเสี่ยวชุ่ยยังไม่หาย ดูน่าสงสารเล็กน้อย แต่นางกลับไม่สนใจตนเอง แววตาที่มองเยี่ยนเจาเจาเต็มไปด้วยความละอายและกังวลใจ
“เป็ความผิดของเสี่ยวชุ่ยที่ทำให้คุณหนูกับคุณหนูใหญ่ทะเลาะกัน เสี่ยวชุ่ยจะไม่ทำอีกแล้วเ้าค่ะ”
ดูไปแล้วเสี่ยวชุ่ยอายุเพียงสิบเอ็ดสิบสองปีเท่านั้น ตนเองยังเป็แค่สาวน้อย แต่กลับต้องดูแลเยี่ยนเจาเจาในวัยถักเปีย ไม่ง่ายเลยจริงๆ
เยี่ยนเจาเจายังคงไม่ตอบสนอง
หยาดน้ำใสเอ่อคลอในดวงตานาง ยามหันศีรษะมองเสี่ยวชุ่ยอีกครั้งก็เห็นเพียงใบหน้าอ่อนเยาว์ไม่รู้ประสา
เสี่ยวชุ่ยเองก็ตายไปนานแล้ว หลังจากติดตามตนได้ไม่กี่ปี ก็โดนบ่าวชายของเยี่ยนฟางหวาพลั้งมือตีจนตาย
เป็เยี่ยนฟางหวาอีกแล้ว
อันที่จริงเมื่อมองย้อนกลับไปยามนี้ นับว่าเยี่ยนฟางหวาไม่เคยเหลือทางรอดให้นางมาสักทางั้แ่ต้น
นางช่างหูตามืดบอด อีกทั้งยังโง่งมและเบาปัญญา คิดไปเองว่าเยี่ยนฟางหวาเป็พี่สาวที่แสนดีของตน จึงแนะนำนางให้รู้จักกับเหลียงอิน
สมัยนั้นนางตรากตรำเพื่อเหลียงอินจนหน้าซีดเซียว ทั้งพิการทั้งเป็ใบ้ แต่เยี่ยนฟางหวากลับเป็เสมือนบุปผาล้ำค่าที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี ดีจนสุดท้ายก็ย้อนกลับมาบดขยี้นางเสียยับเยิน
บางทีเหลียงอินอาจจะแอบติดต่อกับเยี่ยนฟางหวาั้แ่ตอนนั้น และสุดท้ายก็ร่วมมือกันฆ่านาง
เยี่ยม ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เยี่ยนเจาเจากำมือแน่นจนเล็บที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีตทิ้งรอยบาดลึกไว้กลางฝ่ามือ
“เสี่ยวชุ่ย อย่าร้องไห้”
เยี่ยนเจาเจาเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว สักพักจึงนึกได้ว่าตนเองเป็ใบ้มานานแล้ว
ทว่าเหตุใดนางกลับได้ยินเสียงนุ่มนิ่มและอ้อแอ้เล็กน้อยของตนเองกันเล่า?
เยี่ยนเจาเจาไม่ใช่คนช่างฝัน ผ้าห่มไหมที่กำอยู่ในมือให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มและอบอุ่น ทุกอย่างตรงหน้าล้วนเสมือนจริงยิ่งนัก
นางผุดลุกขึ้นนั่งทันที เอ่ยถามเสี่ยวชุ่ยที่อยู่ด้านข้าง ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นี่เป็่เวลาใดแล้ว?”
“ยามเซิน [3] หนึ่งเค่อ [4] แล้วเ้าค่ะ คุณหนูรักษาตัวด้วย หากรีบลุกประเดี๋ยวจะเวียนศีรษะ ท่านไข้ขึ้นมาสองวัน ไม่ได้ดื่มน้ำและทานอาหารเลยนะเ้าคะ”
เสี่ยวชุ่ยประคองเยี่ยนเจาเจาขึ้นนั่งดีๆ วางหมอนนุ่มไว้ข้างหลังนาง และหยิบอาภรณ์สะอาดมาเปลี่ยนให้นาง
“มิใช่อย่างนั้น ปีนี้เป็ปีซุ่นเต๋อที่เท่าใดแล้ว?”
ซุ่นเต๋อคือรัชศกของท่านป้านาง เยี่ยนเจาเจาทราบว่าฮองเฮาผู้ฉลาดหลักแหลมพระองค์นี้จะสิ้นพระชนม์จากอาการประชวรฉับพลันตอนตนอายุสิบสี่ปี ซึ่งปีนั้นเป็ปีซุ่นเต๋อที่ยี่สิบสาม
เสี่ยวชุ่ยอายุยังน้อย ไม่ทันคนสักเท่าไหร่ คิดเพียงว่าคุณหนูคงป่วยจนสับสนจึงผลัดอาภรณ์ให้นางพลางเอ่ย “ปีซุ่นเต๋อที่สิบเจ็ดเ้าค่ะ คุณหนูตื่นแล้ว้าทานโจ๊กหรือของว่างดีเ้าคะ?”
เยี่ยนเจาเจาพลันรู้ตื่น นางก้มหน้ามองมือขาวเนียนราวรากบงกชของตนเอง ก่อนจะสังเกตุการจัดวางเครื่องเรือนรอบๆ ห้อง โดยเฉพาะเมื่อเห็นม่านไข่มุกตะวันออกห้อยอยู่ไกลออกไป นางก็ยิ่งมั่นใจ
หากมิใช่ว่าชาติที่แล้วนางโง่งมเกินกว่าจะตกนรก นางก็คงกลับมาตอนวัยเด็กของตนเองอีกครั้ง เหมือนในหนังสือนิทานหลอกเด็กนั่น
เครื่องประดับในห้องดีกว่าตอนที่นางอยู่เคียงข้างเหลียงอินในอดีตชาติมาก ไม้พะยูงหอมจากไห่หนานถูกแกะสลักอย่างประณีตวางอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เหลียงอินที่ถูกลดขั้นมิเคยใช้สิ่งเหล่านี้ได้
เจาเจาหันกลับมาก่อนจะเห็นเสี่ยวชุ่ยที่นั่งกะพริบตาปริบๆ อยู่ด้านข้าง ตรงกลางหน้าผากของนางมีรอยเืคั่งปูดโปนอยู่
นางสามารถยืนยันได้แล้วว่านี่คือ่เวลาใด
นางกลับมา่วัยเด็ก ห่างจากตอนอายุสิบหกที่เสียชีวิตในชาติก่อนถึงแปดปี
ต้นเดือนสาม นางกับพี่สาวผู้เป็บุตรีฮูหยินเอกของบ้านใหญ่อย่างเยี่ยนฟางหวาเกิดขัดแย้งกัน นางไม่ระวังพลัดตกน้ำระหว่างถกเถียงจนป่วยเป็ไข้หวัด ตัวร้อนอยู่หลายวันกว่าจะหาย
เสี่ยวชุ่ยเองก็ถูกตบหลายฉาด ล้มหน้าผากแตกในเหตุการณ์นี้เช่นกัน
แม้การย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่ในวัยเด็กจะเป็เื่พิลึกพิลั่นไร้สาระ ทว่าเยี่ยนเจาเจากลับรู้สึกยินดี
นางยังเล็ก ท่านแม่ท่านพ่อยังไม่ตาย และไม่เคยพบเ้าคนสารเลวเหลียงอิน ทุกสิ่งยังมีหนทางแก้ไข
ไม่ว่านางจะเกิดใหม่มาได้อย่างไรนั้น เยี่ยนเจาเจาก็มีความสุขอยู่ดี
นางกุมหน้าอกของตน สงบดวงใจที่เต้นระรัว รอยยิ้มเ็าผุดขึ้นตรงมุมปากอย่างมิอาจห้ามไหว
์มีตาให้โอกาสนางกลับมาเกิดใหม่
คนชั่วช้าสารเลวจากชาติก่อน ชาตินี้นางจะไม่ปล่อยใครไปสักคนเดียว
“ยาและอาหารยกมาทีเดียว เรียกเฝ่าชุ่ยไปจัดการ ส่วนเ้ามาหวีผมให้ข้า”
ต้องทานยาถึงหายไข้ ทานข้าวถึงมีเรี่ยวแรง นางจะได้มีความสามารถไปจับคนหน้าไม่อายเ่าั้ทีละคน
เด็กหญิงวัยกำลังโตนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองใบหน้าอ่อนละมุน สะสวย ริมฝีปากเม้มแน่นจนเผยลักยิ้มข้างแก้มออกมา
เชิงอรรถ
[1] ผ้าหลัวหร่วนเยียน หมายถึง ผ้าประเภทบางชนิดหนึ่ง แต่ที่เรียกหร่วนเยียน (ควันอ่อน) เพราะหากนำมาทำผ้าม่าน แล้วมองไกลๆ จะดูเหมือนควันเลือนราง
[2] เตียงหลัวฮั่น หมายถึง เตียงชนิดหนึ่งที่มีขอบกั้นสามด้าน มีทั้งแบบวางโต๊ะเตี้ยตรงกลางและแบบไม่วาง ซึ่งเตียงทั้งสองชนิดนี้ใช้สำหรับนั่งพัก นั่งงีบ นอนกลางวันหรือสำหรับรับแขก
[3] ยามเซิน หมายถึง ่เวลาระหว่าง 15:00 น. - 17:00 น.
[4] หนึ่งเค่อ หมายถึง 15 นาที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้