“เื่นี้ให้เ้าเป็คนจัดการก็แล้วกัน” โอวหยางเทียนหัวมองเหม่ยจี พูดเสียงขรึม “ไม่ว่าเ้าจะใช้วิธีอะไรก็ตาม จักต้องสังหารเด็กในท้องของอวิ๋นซีให้ได้” อวิ๋นซี อวิ๋นซี สตรีที่สมควรตาย ชื่อคนมีตั้งมากมายไม่ใช้ แต่จำเพาะจะต้องมาเป็ชื่อนี้
แต่ว่า เมื่อหวนนึกถึงการขมวดคิ้วและรอยยิ้มของอวิ๋นซี จู่ๆ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่ได้เห็นโอวหยางจวินเหยียนปกป้องนาง ชั่วขณะนั้นความรู้สึกแย่ๆ ราวกับของของตนถูกคนอื่นแย่งชิงไปก็เริ่มก่อตัวขึ้นในอกอีกครั้ง
เขาผลักเหม่ยจีออกไป ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าสตรีนางใด ขอแค่คิดถึงอวิ๋นซีขึ้นมา อารมณ์ที่เคยดีๆ พาลหายไปหมด ทั้งร่างรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านเสียจนควบคุมตัวเองไม่ได้ พฤติกรรมนี้ ตัวเขาเพิ่งจะเคยเป็ครั้งแรก
หรือว่า แค่เป็สตรีที่มีชื่อเฉกเช่นเดียวกันนี้ก็ล้วนจะกลายเป็ฝันร้ายของเขาทั้งสิ้น
เหม่ยจีมองท่าทีที่ไม่ปกติของรัชทายาท จากนั้นเื่บางเื่ก็แจ่มชัดแก่ใจตนแล้ว เพียงมิคาดว่ารัชทายาทจะมีความคิดเช่นนี้ นี่เป็สิ่งที่นางไม่ยินยอม
อย่างไรก็ตาม เหม่ยจียังไม่รู้ว่า เมื่อคืนเขาได้นอนกับภรรยาของผิงหยางโหวมาแล้ว
“จงจำไว้ เปิ่นไท่จื่ออยากจะทำลายเด็กในครรภ์ของอวิ๋นซี ส่วนอวิ๋นซีนั้น ให้นางได้รับความเ็ปสักหน่อยก็ได้ แต่ห้ามให้นางตายเด็ดขาด นางเป็จุดอ่อนของโอวหยางจวินเหยียน หากมีนางอยู่ วันหน้าเมื่อคิดอยากจะลงมือกับเขา เื่ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นมาก”
เหม่ยจีไม่เข้าใจเล็กน้อย “เหตุใดพระองค์จึงไม่กำจัดเสี่ยวจวิ้นจู่ที่เขาอู่ไถก่อนเล่าเพคะ เพราะการจะจัดการกับเด็กคนนั้นง่ายเสียยิ่งกว่าจัดการกับผู้ใหญ่”
เมื่อโอวหยางเทียนหัวฟังถึงตรงนี้ก็แค่นเสียงเ็าพูดว่า “เ้านึกว่าเปิ่นไท่จื่อไม่อยากหรือ พระมารดาส่งสารมาบอกว่า สาวใช้ข้างกายโอวหยางหว่านเกอล้วนเป็วรยุทธ์ ทั้งยังฉลาดมากด้วย อีกประการ แม้โอวหยางหว่านเกอจะอายุยังน้อย แต่ก็รับความท้องดำของโอวหยางจวินเหยียนมาเต็มเปี่ยม จิตใจนางมากอุบายนัก แม้แต่พระมารดาก็ยังอ่านไม่แน่ชัดว่าเด็กคนนี้คิดจะทำอันใด”
เมื่อเหม่ยจีได้ฟังแล้วก็ประหลาดใจยิ่ง เด็กคนหนึ่งจะร้ายกาจได้ถึงเพียงนั้นจริงหรือ? ดูท่า นางจำต้องตั้งใจไปจัดการหนิงชินอ๋องและชายาให้ดีเสียหน่อยแล้ว เพราะบิดามารดาที่สามารถเลี้ยงลูกออกมาให้เป็เช่นนี้ได้ย่อมไม่ธรรมดาแน่
……...........................................................................................
อากาศปลายเดือนเก้าในเมืองหลวงเริ่มจะเย็นขึ้นแล้ว ทว่า ในตอนที่อวิ๋นซีและคนอื่นๆ เดินทางออกจากหานโจวยังเป็่ฤดูร้อนอยู่ จึงไม่ได้นำอาภรณ์สำหรับฤดูหนาวติดตัวมาด้วย ดังนั้น อวิ๋นซีจึงสั่งให้หวนเอ๋อร์ไปหาคนมาจัดเตรียมอาภรณ์สำหรับฤดูหนาวให้กับบ่าวรับใช้ในจวน รวมถึงนาง จวินเหยียน และหวานหว่าน
ไม่นานหวนเอ๋อร์ก็พาสตรีนางหนึ่งในอาภรณ์เรียบๆ แต่ยังคงไม่ละทิ้งความงดงามนางหนึ่งเข้ามา หวนเอ๋อร์ยอบกายคารวะแล้วพูดว่า “ทูลพระชายา ท่านนี้คือเถ้าแก่ของหออวิ้นลี่ ลี่เหนียงจื่อเพคะ ตอนที่หม่อมฉันไปหาคนมาวัดตัวตัดเย็บชุดก็ได้พบกับลี่เหนียงจื่อที่อยู่ในร้าน นางได้ยินว่าเป็คนของจวนอ๋องจะสั่งตัดอาภรณ์ใหม่ จึงนำคนมาที่นี่ด้วยตนเองเพคะ”
อวิ๋นซีมองสตรีตรงหน้าที่ใบหน้างดงาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายคุกเข่าโขกศีรษะคารวะ นางก็ส่งยิ้มบางๆ ให้แล้วกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถอะ ลำบากลี่เหนียงจื่อต้องมาเป็ธุระให้เปิ่นเฟยถึงที่นี่ด้วยตนเอง เป็เปิ่นเฟยที่ทำไม่ถูกจริงๆ ”
ลี่เหนียงจื่อรีบพูดขึ้น “พระนางตรัสเช่นนี้ ทำให้ผู้น้อยอายุสั้นแล้วเพคะ”
อวิ๋นซีไม่ได้พูดมาก สั่งให้คนช่วยประคองอีกฝ่ายขึ้น จากนั้นก็ให้ลี่เหนียงจื่อวัดตัว พร้อมๆ กับที่ให้คนไปเรียกต้านีเอ๋อร์และเอ้อนีเอ๋อร์มา ด้วยเหตุนี้ ทุกคนในที่นี้จึงได้สั่งตัดชุดใหม่ไปคนละหลายชุด และยังมีบรรดาเสื้อคลุมกันลมกับเสื้อคลุมกันหนาว รวมถึงชุดที่กะตามความสูงของเอ้อนีเพื่อเตรียมไว้ให้หวานหว่านอีกจำนวนหนึ่ง
หลังจากที่วัดตัวกันเสร็จแล้วก็ถึงเวลาเลือกเนื้อผ้าที่ล้วนแต่เป็ของชั้นดี ซึ่งอวิ๋นซีเองก็ได้ตั้งใจจะเตรียมทำชุดฤดูหนาวให้ไทเฮาผู้ชราด้วยตนเองสักสองสามชุด บางครั้ง แม้จำเป็ต้องมีแผนการ แต่วิธีการที่ปกติดีๆ ก็ต้องใช้ร่วมด้วยเช่นกัน
ลี่เหนียงจื่อเห็นอวิ๋นซีเลือกผ้าไปหลายพับก็อดยิ้มถามไม่ได้ว่า “พระชายาทรงเลือกแพรพรรณเหล่านี้ เตรียมจะตัดเย็บชุดให้ผู้าุโในบ้านหรือเพคะ? ”
“ลี่เหนียงจื่อล้อเล่นแล้วกระมัง สภาพเปิ่นเฟยตอนนี้ อย่าว่าแต่ตัดเย็บอาภรณ์เลย เพียงจะลุกจะนั่งยังต้องให้คนคอยดูแล” อวิ๋นซีลูบท้องตนเบาๆ นางยิ้มบางๆ พูดต่อ “อีกไม่นาน ลูกสาวตัวน้อยของเปิ่นเฟยก็จะออกมาแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ทุกสิ่งอย่างย่อมดีขึ้น คิดๆ ดูแล้วก็ให้รู้สึกรอคอยจริงๆ ”
เมื่อลี่เหนียงจื่อได้ยินแล้วก็จ้องมองท้องของอวิ๋นซีอย่างมีเลศนัย “พระชายาทรงล้อเล่นแล้วเพคะ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็ซื่อจื่อน้อยก็ได้เพคะ”
“เปิ่นเฟยก็หวังให้เป็เช่นนั้น เพียงแต่ เื่นี้เรียกได้ว่าพูดยาก ถึงกระนั้นเื่ในอนาคตก็ยังนับว่ามีโอกาส” ในประโยคสุดท้าย ใบหน้าอวิ๋นซีปรากฏแววขมขื่น
สีหน้านั้น ถึงแม้จะพยายามข่มกลั้นไว้อย่างเต็มกำลัง แต่ลี่เหนียงจื่อก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงความไม่ยินยอมพร้อมใจอันเข้มข้นของอวิ๋นซี นางเริ่มจดจำทุกสิ่งโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น และรอจนจัดการเื่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ลี่เหนียงจื่อถึงได้นำคนไปจากจวนอ๋อง
อวิ๋นซีมองคนหายลับจากไปถึงได้ลุกขึ้น ถามว่า “ลี่เหนียงจื่อ? ”
ในหนานเย่านี้ คนที่มีคำนำหน้าเป็แซ่ และเติมท้ายด้วยคำว่าเหนียงจื่อนั้นมีอยู่แค่คนจำพวกเดียว นั่นก็คือสตรีที่สูญเสียสามีไปนานแล้ว ดังนั้น ลี่เหนียงจื่อผู้นี้ หากเดาไม่ผิดก็น่าจะเป็เช่นนั้น เพียงแต่ นางรู้สึกว่ามีตรงไหนสักแห่งที่ไม่ปกติ
“หม่อมฉันไปสืบมาแล้วเพคะ ลี่เหนียงจื่อผู้นี้อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว นางแต่งงานไปเมื่อสองปีก่อน แต่หลังจากที่แต่งไปได้ไม่กี่เดือน สามีของนางก็ถูกโจรูเาฆ่าตายตอนออกไปนำสินค้าที่ด้านนอกเข้ามาขาย ยิ่งกว่านั้น หลังจากงานศพของสามีเสร็จสิ้น นางก็ถูกตรวจพบว่ากำลังตั้งครรภ์ ในตอนหลังให้กำเนิดบุตรสาวออกมาคนหนึ่ง ผ่านมาได้ปีกว่า นางต้องเลี้ยงดูลูกน้อยที่อายุไม่กี่เดือนไปพร้อมๆ กับจัดการดูแลร้านด้วยความยากลำบาก ปกติแล้วกิจการของนางได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่เลวทีเดียว ส่วนคนเย็บปักในร้านก็มีฝีมือไม่เลวเช่นกันเพคะ”
หวนเอ๋อร์บอกเล่าทุกเื่ที่ตนไปสืบมาได้ทั้งหมดให้ผู้เป็นายฟัง เนื่องด้วยตอนนี้พระชายาทรงพระครรภ์จึงต้องระมัดระวังเป็อย่างมาก ดังนั้น ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถพาเข้าจวนมาได้ ก่อนที่นางจะพาคนเข้ามาจักต้องสืบหาประวัติของคนคนนั้นออกมาให้ได้ก่อน
อวิ๋นซีทำเพียงพยักหน้าเบาๆ “เสียสามีไปเร็ว แม่ม่ายคนหนึ่งต้องประคับประคองร้านค้า ทั้งยังสามารถอยู่รอดปลอดภัยโดยไม่ถูกใครข่มเหงรังแกอีก สตรีนางนี้นับว่าร้ายกาจมาก”
เมื่อหวนเอ๋อร์ได้ยิน ชั่วขณะนั้นก็เข้าใจทันที ลี่เหนียงจื่อร้ายกาจเกินไปแล้ว นี่เป็ความผิดปกติ
“หม่อมฉันจะให้คนไปสืบเื่ลี่เหนียงจื่อเพิ่มเติมเดี๋ยวนี้เพคะ” หวนเอ๋อร์รู้สึกว่าตนจัดการเื่ราวต่างๆ ได้ไม่ดีเสียจนแผ่นหลังผุดเหงื่อเย็นออกมา หากว่าวันนี้ลี่เหนียงจื่อเกิดเล่นลูกไม้ใดขึ้นมาก็นับว่าแย่แล้ว
อวิ๋นซีสงบนิ่ง “ไม่ต้องสืบแล้ว” ในเมื่อรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ปกติ สิ่งที่นางควรทำก็แค่ป้องกันไว้ อีกทั้ง หากไปสืบเพิ่มเติม ไม่แน่ว่าอาจเป็การแหวกหญ้าให้งูตื่น ตอนนี้รอดูอีกฝ่ายค่อยๆ ปีนเข้ามาในกับดักที่นางวางไว้เป็พอ เพราะความประหลาดใจที่คาดไม่ถึงอาจเกิดขึ้นก็เป็ได้
นางคิดว่า วันนี้ลี่เหนียงจื่อดูจะเป็ห่วงและให้ความสนใจกับเื่ท้องของนางมาก และคนที่เป็ห่วงเื่เด็กในท้องเพียงนี้เกรงว่าจะมีแค่เหล่าองค์ชายพวกนั้น ซึ่งเื่นี้เ้าสี่ไม่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้เขายังอยู่ที่เขาอู่ไถ ส่วนอวี้เฟยผู้นั้น ความรู้สึกของนางก็บอกว่า คนย่อมไม่มีทางลดตัวลงมาทำอะไรเช่นนี้แน่
ยิ่งกว่านั้น สำหรับฮองเฮาผู้สูงส่งยิ่งไม่มีทางคิดร้ายเช่นกัน เพราะเด็กในท้องนางนี้ ไม่ว่าจะลูกสาวหรือลูกชายก็ล้วนเป็หลานสายตรงของฮ่องเต้ เป็เด็กที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญ ดังนั้น เด็กคนนี้นับว่ามีประโยชน์ต่ออีกฝ่ายมาก ฮองเฮาย่อมไม่เพียงไม่ลงมือ แต่ยังจะไม่อนุญาตให้ใครลงมือกับนางอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ ผู้ต้องสงสัยในเื่นี้ก็เหลือแค่สองสามคนนั้นแล้ว คนแรกคือโอวหยางเทียนหัว คนที่สองคือเต๋อเฟยที่อยู่ในวังหลวงกับองค์ชายห้าผู้เป็พระโอรส และคนที่สามก็คือองค์ชายสาม