หลัวจิ่งเก็บพู่กัน แท่งหมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกบนโต๊ะให้เรียบร้อยอย่างเงียบๆ
หันมองรถม้าสีดำที่หยุดอยู่ข้างประตูลานบ้าน สีหน้าเ็าปรากฏความโกรธบางเบา
เขาหมุนตัวไปหลังบ้าน จูงล่อออกมาจากคอก ใส่แผ่นกระดานเกวียนด้วยความคล่องแคล่ว หลังจากนั้นจูงเกวียนล่อออกไปทางหลังบ้าน
ผ่านห้องครัวเห็นหลี่ซื่อกำลังยุ่งอยู่ด้านใน เขาหยุดชะงักเล็กน้อย “ท่านอาสะใภ้หู หน้าบ้านมีแขกมาขอรับ”
หลี่ซื่อได้ยินดังนั้นจึงเช็ดคราบน้ำบนมือด้วยความเร่งรีบ “ยู่เซิง เป็ผู้ใดหรือ?”
“ไม่ทราบขอรับ เป็รถม้าสีดำ” หลัวจิ่งหยุดไปพักหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ท่านอาสะใภ้หู ข้าจะออกไปทางหลังบ้านสักรอบแล้วจะกลับมา่เย็นนิดหน่อย”
กล่าวจบก็เปิดประตูหลังบ้าน แล้วจูงเกวียนล่อเดินออกไป
หลี่ซื่อรีบตามไปทันที “ยู่เซิง เ้าจะไปไหนหรือ ทำไมพาเกวียนล่อไปด้วย? อีกเดี๋ยวจะทานอาหารกลางวันแล้ว เ้าทานข้าวแล้วค่อยไปเถอะ”
หลัวจิ่งเปิดประตูหลังบ้านและจูงเกวียนล่อออกไปแล้ว “ข้าจะเข้าเมืองกับอาชิงสักรอบ ่บ่ายก็กลับมาแล้ว อาหารกลางวันไม่ทานแล้ว ท่านอาสะใภ้หู ท่านปิดประตูหลังบ้านเถอะขอรับ”
“เฮ้อ เ้าเด็กคนนี้ ทำไมถึงไม่ทานข้าวกลางวันนะ กำลังอยู่ใน่ร่างกายเจริญเติบโต เ้าออกไปกับอาชิงพกเงินไปหรือไม่ เ้ารอเดี๋ยว อาสะใภ้จะหยิบเงินให้เล็กๆ น้อยๆ” หลี่ซื่อมองรูปร่างผอมบางของเขาด้วยความปวดใจ คิดจะกลับห้องไปหยิบเงินให้เขา
หลัวจิ่งรีบะโหยุดนางไว้ “ไม่ต้องแล้วท่านอาสะใภ้หู ข้าพกเงินติดตัวอยู่ ท่านไม่ต้องลำบาก ข้าไปก่อนนะ”
เขาจูงเกวียนล่อไปทางถนนเส้นเล็ก หลี่ซื่อหันไปะโไล่หลังของเขา “ยู่เซิง เดินทางระวังด้วย กลับบ้านเร็วๆ ล่ะ”
หลัวจิ่งหันกลับมาโบกมือ แล้วจูงเกวียนล่อเลี้ยวโค้งถนนไปหาอาชิง
เจินจูนำทางกู้ฉีเดินมาทางห้องโถง
ในสระน้ำใบบัวสีเขียวลอยกระจัดกระจายอยู่บนผิวน้ำ ยอดดอกบัวปะปนโผล่พ้นน้ำขึ้นอยู่ระหว่างใบบัวอย่างบอบบางอ่อนช้อย บางครั้งมีปลาตัวเล็กแหวกว่ายไล่กันอย่างสนุกสนาน
ฝั่งตรงข้ามกับสระน้ำ กิ่งต้นหลิวพลิ้วไหวไปตามลมอ่อนๆ อย่างเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
ต้นหลิวทั้งสองข้างและต้นอ่อนยู่หลันสองต้นตั้งตระหง่านสูงตรงเยื้องมาข้างหน้า ส่วนกำแพงลานบ้านด้านหลังดอกของต้นหวายม่วงกับดอกกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยสีชมพูอ่อนผืนใหญ่ ขับสีสันกันและกันให้เด่นขึ้น ทั้งยังบานสะพรั่งเป็พิเศษ
่เวลาสั้นๆ สองเดือนกว่า ที่พักของครอบครัวหูกลับเปลี่ยนแปลงไปมากมายเช่นนี้อย่างคิดไม่ถึงเลยทีเดียว
ต้นกล้าและเครือเถาวัลย์ทั้งหมดที่อยู่ในลานบ้านของครอบครัวหู แผ่กระจายคึกคักมีชีวิตชีวาดั่งปลาได้น้ำ
“พี่ชายกู้อู่ ยังไม่ทันได้ขอบคุณท่านเลย ท่านดูสิ ต้นหวายม่วงและกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยผืนนั้นบานได้สวยงามอย่างมาก” เจินจูเห็นเขามองที่สันกำแพงอยู่นานไม่ละสายตา จึงรีบยิ้มแล้วกล่าว
“ไม่ต้องเกรงใจ ท่านพ่อของเ้าให้ปุ๋ยเครือเถาวัลย์มากเกินไปหรือไม่ ในระยะเวลาอันสั้น ดอกไม้เหล่านี้ถึงได้บานสะพรั่งอย่างไม่คาดคิดได้” กู้ฉีอดถามไม่ได้
เจินจูชะงัก เงียบงันพูดไม่ออก “เอ่อ... น่าจะใช่กระมัง ฮ่าๆ… พี่ชายกู้อู่ เข้าไปนั่งในบ้านเถอะ”
นางรีบเบี่ยงประเด็น นำทางคนเดินเข้าในบ้าน
หลี่ซื่อยกชาที่ชงแล้วเข้ามาในห้อง หลังชำเลืองมองแขกที่มาว่าเป็ผู้ใดได้ชัดเจน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
นางสำรวมสีหน้าท่าทาง หลุบตาลงแล้วนำน้ำชาขึ้นโต๊ะด้วยความนอบน้อม ทักทายกู้ฉีเรียบนิ่ง ทันทีหลังจากนั้นก็หมุนตัวกลับไปหลังบ้าน ก่อนที่กู้ฉีจะจากไป นางก็ไม่ปรากฏกายออกมาอีกเลย
เจินจูมองเงาหลังของหลี่ซื่อด้วยความงงงวย ทำไมรู้สึกว่ามารดาของนางท่าทางแปลกไป
“น้องสาวเจินจู ทำไมครอบครัวเ้าถึงคิดสร้างโรงเรียนหรือ?” เด็กสาวในชุดกระโปรงสีน้ำเงินทะเลสาบสวยเรียบประณีต ั์ตาสีดำดุจเม็ดองุ่นประกายระยิบระยับมีความขี้เล่น แม่นางน้อยช่างมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยพลังจริงๆ ได้เห็นนางก็เหมือนต้นไม้เขียวขจีที่เติบโตไปทั่วในฤดูใบไม้ผลิ พร้อมเจริญงอกงามทุกที่ทุกเวลาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
“อื้ม ที่บ้านมีเด็กเรียนหนังสือ เมื่อสร้างโรงเรียนแล้วตนเองก็สะดวกสบายชาวบ้านก็พลอยได้รับผลดีไปด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำไมจะไม่ยินดีทำขึ้นกันล่ะ” เจินจูหัวเราะ
ทำไมถึงสร้างโรงเรียน? เผยแพร่การศึกษาขั้นพื้นฐานน่ะสิ เื่ที่เห็นจนเป็ปกติของชาติที่แล้ว สำหรับยุคนี้กลับมีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่สามารถให้เด็กๆ เรียนหนังสือรู้ตัวอักษรได้ เจินจูมักเห็นเหล่าเด็กๆ ในหมู่บ้านกระจัดกระจายเป็สามกลุ่มห้ากลุ่ม เล่นสนุกหยอกล้อรวมตัวอยู่ด้วยกัน อายุของเด็กเหล่านี้หากอยู่ในยุคปัจจุบัน ต่างก็ควรเล่าเรียนหนังสือได้รับการศึกษาอยู่ในโรงเรียนทั้งสิ้น
นางไม่ได้มีความคิดคุณธรรมอันสูงส่งมากมาย เพียงรู้สึกว่าอยู่ภายในขอบเขตที่มีความสามารถทำได้ อย่างการสร้างโอกาสเล่าเรียนให้พวกเด็กๆ ได้รู้ตัวอักษร และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการเล่าเรียน ที่นางทำทั้งหมดแค่ใช้จ่ายเงินทองนิดหน่อยเท่านั้นเอง
ส่วนตอนนี้ เงินทองสำหรับนางแล้วเป็เพียงตัวเลขก้อนหนึ่ง เจินจูคิดถึงการเสแสร้งจอมปลอมของบรรดาอาเฮียอาเจ้ที่ร่ำรวยเงินทองในชาติที่แล้วขึ้น ตอนนั้นนางมองด้วยอารมณ์เดียวกันกับคนทั่วไป รู้สึกว่าอาเฮียอาเจ้เหล่านี้จอมปลอมมีแต่เปลือกจริงๆ แต่พอตอนนี้กระเป๋าเงินของตนเองเต็มจนถึงระดับมั่นคงแล้ว ถึงได้พบว่าคนเ่าั้ไม่ได้กำลังเสแสร้ง แต่ชีวิตของพวกเขาก็เป็เช่นนี้เท่านั้นเอง
คิดถึงเม็ดเงินเปลือยและเม็ดทองเปลือยในมิติช่องว่างที่ยิ่งเก็บก็ยิ่งมีมากขึ้น เจินจูยิ่งรู้สึกได้ว่าเงินทองที่ไร้เ้าของเหล่านี้ ได้ใช้ในเื่ที่มีความหมายและคุ้มค่า ก็เป็การสร้างกุศลและสั่งสมบุญให้เ้าของเดิมของพวกมันด้วย
กู้ฉีไม่ค่อยพอใจต่อคำตอบของนางอย่างชัดเจน ตามที่เขาได้รู้มา เด็กชายของสกุลหูเข้าเรียนโรงเรียนส่วนตัวยังหมู่บ้านข้างเคียงอยู่แล้ว เพียงเพื่อความสะดวกสบายในการเข้าเรียนของเด็กๆ บ้านตนเอง จึงสร้างโรงเรียนอย่างยิ่งใหญ่... ไม่เหมือนเื่ที่สกุลหูจะทำเลยจริงๆ
ควรจะเป็เพื่อความสะดวกสบายของเด็กๆ ในหมู่บ้าน สกุลหูเพิ่งหาเงินได้เล็กน้อยก็เริ่มสร้างความผาสุกในหมู่บ้าน ห้องของโรงเรียนสองหลังสร้างได้ยิ่งใหญ่และกว้างขวาง คิดขึ้นมาแล้วคงสิ้นเปลืองเงินของสกุลหูไปไม่น้อยเลย
บุคลิกงดงามที่มีชีวิตชีวาของเด็กสาว ได้เพิ่มความใจดีและเมตตาขึ้นสองสามส่วน
สายตาของกู้ฉียิ่งอ่อนโยนขึ้นอีก...
เจินจูถูกสายตาเช่นนี้มองจนหนาวสั่น มารดาเถอะ ในสมองของเขากำลังจินตนาการอะไรอยู่ ทำไมสายตาเปลี่ยนไปจนทำให้คนเลี่ยนได้เช่นนี้
“พี่ชายกู้อู่ ไม่ใช่ว่าท่านกลับเมืองหลวงไปแล้วหรือ ทำไมกลับมาเร็วเพียงนี้?” บรรยากาศแปลกประหลาดไปเล็กน้อย เจินจูรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“กลับไปเยี่ยมผู้าุโ ที่บ้านไม่มีเื่อะไรก็เลยกลับมาพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายให้สบายใจที่นี่” กู้ฉียิ้มแล้วกล่าว
เฉินเผิงเฟยประคองของขวัญที่กองซ้อนกันจนสูงเดินเข้ามา
วางสิ่งของลงแผ่เต็มโต๊ะทั้งตัว
“น้องสาวเจินจู สิ่งเหล่านี้ล้วนนำมาจากเมืองหลวงโดยเฉพาะ ขอบคุณสำหรับกระต่ายและไก่บ้านของครอบครัวเ้า ท่านย่าของข้าทานได้มีความสุขมาก” กู้ฉีประคองมือคำนับขอบคุณอย่างระมัดระวัง
แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดสัตว์ต่างๆ ของสกุลหูจึงพิเศษเช่นนี้ แต่เขากับท่านย่าล้วนได้รับผลประโยชน์อย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ตามในใจเขาล้วนซาบซึ้งในบุญคุณอย่างยิ่ง
ร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยมากว่าสิบปี ได้รับโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สดใส ทำให้เขารู้สึกถึงการผ่อนคลายอย่างหนึ่งที่ไม่เคยได้รับมาก่อน
แม้ตอนนี้เขายังอ่อนแออยู่มาก เดินสองสามรอบก็เหนื่อยเสียจนขาอ่อนแรง รู้สึกตื่นตัวเกินไปจะไอและหัวใจเต้นเร็ว ตกดึกหลับสนิทก็ยังง่ายต่อการใตื่น
แต่สิ่งเหล่านี้หากเทียบกับเมื่อก่อน ล้วนไม่เท่าไรเลยจริงๆ
เขาขอบคุณ์ที่ทำให้เขาได้พบกับแม่นางน้อยตรงหน้าจากใจจริง
ท่านย่าของเขาทานได้อย่างมีความสุขมากเช่นนั้นหรือ? ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้ คือท่านย่าของเขาป่วยหรือ? ทานเนื้อของครอบครัวนางแล้ว เลยรู้สึกได้ว่าดีขึ้นมาก?
บนใบหน้าเจินจูยังรักษารอยยิ้มไว้จางๆ แต่มุมปากอดกระตุกเล็กน้อยอย่างกลั้นไม่อยู่
นี่พวกเขารู้ความพิเศษในวัตถุดิบอาหารของสกุลหูแล้ว นางต้องแกล้งโง่หรือไม่? หรือต้องแกล้งโง่จริงๆ?
ไม่ว่าอย่างไรเื่นี้ไม่อาจยอมรับได้โดยเด็ดขาด ในเมื่อพวกเขาคิดว่าความพิเศษอยู่ที่วัตถุดิบ เช่นนั้นนางต้องกระจายความสนใจมุ่งมาจุดนี้ของพวกเขาสักหน่อยแล้ว
ในสมองเจินจูพลันเกิดความคิดขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าจึงปรากฏ “พี่ชายกู้อู่เกรงใจไปแล้ว เดิมทีสัตว์ก็เลี้ยงไว้ขาย ผู้าุโของท่านทานได้อย่างดีและสุขสบายใจ พวกข้าก็สบายใจด้วยเช่นกัน ไก่ที่เลี้ยงในเล้ายังไม่โตพอสักตัวเลย แต่ผักสดจำพวกแตงและถั่วในแปลงผักส่วนใหญ่ล้วนสามารถเก็บได้แล้ว และยังมีเนื้อกวางที่พะโล้ไว้ด้วย อีกสักพักแบ่งให้พวกท่านนำกลับไปสักหน่อย”
เฉินเผิงเฟยที่อยู่ด้านข้างได้ยินเนื้อกวางพะโล้ สองตาประกายวาววับ เมื่อวานเขาได้ยินหลิวผิงกล่าวแล้ว เนื้อกวางกับเนื้องูพะโล้ใหม่ของสกุลหูอร่อยยอดเยี่ยมไปเลย น่าแค้นใจนักที่เขาไม่ได้ชิมสักคำเดียว
“บ้านเ้ายังสามารถล่ากวางป่าได้?” หมู่บ้านนี้เหมือนจะมีนายพรานไม่มาก
“อื้ม ครอบครัวท่านปู่ใหญ่ของข้าเป็ครอบครัวนายพราน” เอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ เ้าเสี่ยวจินคงเตรียมลงเขามากินอาหารกลางวันแล้ว หากมันจับกวางมาอีก เช่นนั้นจะอธิบายเป็อย่างอื่นไม่ออกแน่ๆ
หูฉางกุ้ยเดินมาจากหลังบ้านอย่างก้าวจ้ำอ้าว หลิ่วฉางผิงไปะโเรียกเขาในพื้นที่งาน เขาม้วนขากางเกงขึ้นยังไม่ทันได้ปล่อยลงเลย
เขายังคงไม่ชินกับเหตุการณ์นี้มาก แต่ที่บ้านมีเพียงภรรยากับบุตรสาว การที่เขาไม่ออกหน้าไปช่างไม่เป็การเหมาะสมเอาเสียเลย ด้วยเหตุนี้เลยกัดฟันจำเป็ต้องก้าวมาข้างหน้าทักทายเป็พิธีหน่อย
เจินจูเห็นบิดาสกุลหูของนางมีสีหน้าท่าทางตื่นตระหนก ทั่วทั้งหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ แล้วเห็นหลิ่วฉางผิงดวงตาสองข้างเป็ประกายสดใสอิ่มเอิบตามอยู่ด้านหลังเขา ความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายนี้ทำเอานางอดแอบยิ้มออกมาไม่ได้
“ท่านพ่อ ท่านลุงหลิ่ว พวกท่านไปเดินเล่นบริเวณโรงเรียนเป็เพื่อนพี่ชายกู้อู่เถอะ ข้าจะไปช่วยเตรียมอาหารกลางวันที่ห้องครัว อีกเดี๋ยวทุกคนก็มาทานอาหารด้วยกันนะเ้าคะ” สถานที่เล็กแค่นี้ บริเวณที่สามารถเดินเตร่ได้มีจำกัด นางต้องรีบทำอาหารกลางวันให้เสร็จ แล้วไล่ให้คุณชายท่านนี้ไป
“อื้ม” บิดาของนางตอบรับหนึ่งทีเงียบๆ
“ได้เลย เจินจู คุณชายสกุลกู้ เชิญท่านทางนี้ขอรับ ข้าน้อยจะพาท่านชมโรงเรียนวั้งหลินของพวกเรา” หลิ่วฉางผิงพุ่งไปถึงหน้าประตู เตรียมพร้อมนำทาง
ดูปฏิกิริยาตอบโต้นี่สิ ผู้ที่ไม่รู้คงคิดว่าหลิ่วฉางผิงเป็เ้าของบ้านแสนกระตือรือร้นของครอบครัวหูแล้ว
เจินจูยิ้มอย่างเสียมิได้ “ท่านพ่อ ท่านลุงหลิ่ว อาการป่วยของพี่ชายกู้อู่ยังไม่ค่อยดี พวกท่านช้าหน่อยนะเ้าคะ”
กู้ฉีค่อนข้างมีความสนใจในโรงเรียนที่สร้างใหม่ของสกุลหู จึงยิ้มกล่าวขอบคุณแม่นางน้อย แล้วค่อยๆ ตามสองคนออกจากบ้านไป
“คุณชายกู้ เชิญท่านเดินไปด้านนี้ โรงเรียนวั้งหลินแบ่งออกเป็สองหลัง หลังหนึ่งสอนหนังสือหลังหนึ่งสอนการต่อสู้ ล้วนเป็ข้าน้อยนำชาวบ้านสร้างขึ้นมาทั้งหมด ห้องเรียนลักษณะสว่างสไสว ใต้พื้นปูวางปล่องดิน หากเข้าเรียนในหน้าหนาวจะได้ไม่ทำให้เด็กๆ มือเท้าแข็ง…”
เวลาเช่นนี้ มีคนที่รู้จักพูดจาสร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวา ค่อนข้างเป็สิ่งสำคัญมาก
เจินจูยักคิ้วแล้วหมุนตัวไปหลังบ้าน
“ท่านแม่ จะให้พวกเขาอยู่ทานอาหารกลางวัน ตอนเที่ยงพวกเราจะทำอะไรกันดี? ต้องไปซื้อเนื้อสักหน่อยหรือไม่เ้าคะ?”
หลี่ซื่อกำลังทำความสะอาดแท่นเตา ได้ยินเช่นนั้นการกระทำในมือจึงหยุดลงชั่วขณะ “ไม่ต้องแล้ว เนื้อพะโล้ของที่บ้านยังมีมากมาย ในโอ่งน้ำใบใหญ่ยังมีพวกปลาไม่น้อย หากไม่พอไปจับไก่บ้านของท่านย่าเ้ามาสักตัวก็ได้”
สังเกตเห็นความสนใจของหลี่ซื่อดูไม่กระตือรือร้นเช่นเดิม เจินจูถามด้วยความระมัดระวัง “ท่านแม่ ท่านเป็อะไรหรือเ้าคะ? ไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
หลี่ซื่อรีบเค้นรอยยิ้มขึ้นมา “ไม่เป็ไร แม่สุขภาพดีอยู่”
นางกล่าวตามความจริง ครึ่งค่อนปีมานี้ร่างกายของนางหนึ่งวันดีกว่าอีกหนึ่งวัน ปัญหาการเจ็บป่วยเล็กน้อยในเมื่อก่อนไม่มีร่องรอยเลยแม้แต่น้อย
“แม่จะไปเก็บผักกาดกวางตุ้งในแปลงผักสักหน่อย” หลี่ซื่อเดินออกจากห้องครัว หันกลับไปถามหนึ่งประโยคด้วยความลังเล “คุณชายสกุลกู้ผู้นั้นไม่ใช่ว่ากลับเมืองหลวงไปแล้วหรือ? ทำไมมาอีก?”
กู้ฉี? เจินจูเอะใจเล็กน้อย มารดาของนางราวกับกังวลต่อกู้ฉีที่มาจากเมืองหลวง หรือระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน
“เขากลับไปเยี่ยมผู้าุโที่ป่วย ที่บ้านไม่มีเื่อะไรเลยกลับมา ร่างกายของเขาไม่ดีมาโดยตลอดจึงมาเพื่อฟื้นฟูอาการเจ็บป่วยถึงเมืองไท่ผิงเ้าค่ะ”
เยี่ยมผู้าุโที่ป่วย? นายท่านใหญ่ของสกุลกู้ไม่อยู่หลายปีแล้ว เช่นนั้นคงเป็ฮูหยินใหญ่สกุลกู้เจ็บป่วยกระมัง
หลี่ซื่อจำได้ลางเรือน ฮูหยินใหญ่สกุลกู้ผิวขาวสะอาดท่าทางอิ่มเอิบและมีเมตตาอัธยาศัยดี ดูอ่อนโยนและเป็กันเอง
ผ่านไปหลายปี หลานชายของฮูหยินใหญ่สกุลกู้ล้วนเติบใหญ่กันปานนี้แล้ว
เจินจูไม่ได้มองข้ามความผิดหวังที่ย้อนนึกถึงอดีตในสายตาของหลี่ซื่อ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้