“สวัสดีราม เราเอาผลแล็บมาส่งน่ะ”
“เราได้ยินมาว่าบนฝั่งมีพายุนี่” รามสูรถามออกไปด้วยความสงสัย เขามองเลยไปยังเรือสปีดโบ๊ทลำใหญ่ที่ซึ่งกราบเรือมีตัวอักษรชัยพิพัฒน์กรุ๊ปติดเอาไว้ เป็เสมือนสัญลักษณ์ตีตราจองว่าเรือลำนี้อยู่ในปกครองของเขา
“อืม...ก็ไม่นะ ที่โป๊ะเรือก็มีฝนตกบ้างแต่ก็ไม่ได้หนักมาก อาจหนักที่ฝั่งตะวันตกมั้ง ตอนออกทะเลมาคลื่นก็สูงมาก ๆ เลยล่ะ คงจะมีพายุอย่างที่รามว่าจริง ๆ” เมื่อได้ยินดังนั้นรามสูรก็ค่อยเบาใจไปเปลาะหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าจะระแวงใครระหว่างม่านหยี่หรือปริม เขาไม่มีเหตุผลให้ระแวงปริมเลยเพราะเธอคงไม่โกหก แต่นั่นก็เท่ากับว่าเขากำลังคิดว่าม่านหยี่โกหกเขาอย่างนั้นใช่ไหม
“...”
“ราม”
“....”
“ราม”
“ครับ”
“รามพอจะมีเวลาว่างคุยกับเรามั้ย เื่ผลแล็บน่ะ” หญิงสาวชูม้วนกระดาษสีขาวขึ้น เธอคิดว่าหากไม่บอกว่าจะคุยเื่ผลแล็บกับรามสูรอย่างนั้นชายหนุ่มคงไม่มีทางปลีกตัวมาคุยกับเธอได้เลย เนื่องจากเมื่อวานนั้นเราสองคนจบกันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ปริมไม่อาจพูดว่าจบได้เพราะเื่ของเรายังไม่ทันได้เริ่มด้วยซ้ำ รามสูรก็ตัดโอกาสของเธอหมดแล้ว
“ตรงนั้นก็ได้ปริม”
สองคนเดินตามกันลงจากกระชังไปใช้เงาของต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นให้ร่มเงาอยู่ไม่ไกลจากกระชังหอยมุกเป็ที่หลบแดดร้อนแรงยามสาย ปริมอธิบายให้รามสูรฟังว่าตอนนี้เธอตรวจเจออะไรในน้ำทะเลและตัวอย่างหอยที่เก็บไป น้ำทะเลมีการปนเปื้อนของสารเคมีสูงผิดปกติ ตัวหอยมุกที่เก็บไปเองก็เช่นกัน เซลล์หอยตายแทบจะไม่เหลือ ไม่ว่าเธอจะทดลองตัดชิ้นส่วนของหอยแต่ละตัวไปทดลองสักเท่าไหร่พวกมันก็ตายแล้วทั้งหมด และเป็ดังที่รามสูรคาดการณ์คือฟาร์มหอยมุกของเขาถูกวางยา เป็ยาที่แรงอยู่เหมือนกัน เพราะมันไม่ต้องใช้ระยะเวลาในการออกฤทธิ์นานเลย แค่เพียงเทลงไปในทะเลไม่กี่ชั่วโมงมันก็แพร่ออกและทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำในรัศมีห้าร้อยเมตรตายเกลื่อนเป็แพได้ทันที สองคนคุยกันราวกับว่าทิ้งเื่ส่วนตัวเมื่อวานไปจนหมดสิ้น ตอนนี้ปริมเป็แค่นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ที่นำผลแล็บมาบอกแก่เ้าของฟาร์มมุกอย่างรามสูรเพียงเท่านั้น
“รามพอจะนึกออกมั้ยว่าตอนนี้มีใครจ้องจะเล่นงานรามอยู่”
“เราพอจะนึกออกอยู่คนนึง”
“ใครเหรอ”
“ไอ้ศิลา”
“นายหัวศิลาเหรอ”
“ใช่”
“ทำไมคิดว่าเป็เขาล่ะ”
“เื่มันยาวน่ะ”
“เหรอ...อย่างนั้นรามจะแจ้งตำรวจมั้ย”
“เราแจ้งไว้แล้ว ั้แ่วันที่แรก ๆ ที่เจอแล้วล่ะ แต่คงไม่คืบเท่าไหร่หรอก ใคร ๆ ก็รู้ไอ้ศิลามันเลี้ยงตำรวจทั้งจังหวัดแล้ว”
“ค่ะ อย่างนั้นปริมกลับก่อนนะ”
“ครับ ขอบคุณปริมมากนะสำหรับเื่ทั้งหมด”
“อื้ม ไม่เป็ไรเลย เงินเดือนปริมก็มาจากรามนี่นา มันเป็หน้าที่ที่ต้องทำนะ”
“ครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้กับอดีตคนรัก เขาหวนคิดถึงเื่เมื่อวานที่พลั้งปากพูดกับมารดาไปว่าถ้าหากแม่ไม่ใจร้ายใจดำทำแบบนั้นกับปริมและเขา ตอนนี้คนที่ยืนอยู่ข้างรามสูรคงต้องเป็ปริมอย่างไม่ต้องสงสัย มันอาจฟังดูใจร้ายกับม่านไปหน่อย แต่นั่นแหละ ถึงอย่างไรม่านหยี่ก็คือปัจจุบันของเขา ส่วนปริมก็เป็อดีตไปแล้ว เว้นเสียแต่ว่า...
“หนูปริมจะกลับแล้วเหรอ”
“ค่ะคุณแม่”
“อย่าพึ่งสิ อยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกันก่อนนะ นาน ๆ มาเจอกันที”
“แม่!!!” รามอุทานออกไป เพราะเขาคิดไม่ถึงว่ามารดาจะยังไม่ยอมจบเกมชีวิตนี้ลงสักที ที่เขาขอไปเมื่อวานก็เป็เพียงลมปากลอยผ่านพ้นไปเท่านั้นสินะ มารดาไม่เคยจะยอมรับคำขอร้องเขาเลย
“อะไรราม แม่จะขอให้หนูปริมกินข้าวเป็เพื่อนไม่ได้เลยรึไง”
“เอ่อ...ได้ค่ะคุณแม่” เพียงแค่มารดาของคนรักเก่าชวนเธอกินข้าว ไฟแห่งความหวังมันก็ถูกเติมเชื้อไฟระลอกแล้วระลอกเล่า จะไม่ให้เธอมีความหวังได้อย่างไร ในเมื่อมารดาของรามสูรเปิดทางขนาดนี้แล้ว
“ดีจ้ะ เดี๋ยวแม่จะบอกให้แม่บ้านตั้งโต๊ะนะ”
“ค่ะ”
ทางด้านลูกชายก็มองเธอตาเขียวปั๊ด คงไม่ชอบใจและไม่พอใจกับการกระทำของเธอสินะ ก็ไม่เป็ไร ในเมื่อเื่ที่เธอกำลังจะทำต่อไปนี้มันเพื่อความพึงพอใจของเธอเท่านั้น ลูกชายจะไม่พอใจนั่นก็ถูกแล้ว...
“อ้อ! แล้ววันนี้หนูปริมพอจะเคลียร์คิวว่างให้แม่ได้มั้ยคะ พอดีว่าแม่อยากพาเที่ยวบนเกาะหน่อยน่ะ ตารามเขาดูเครียด ๆ แม่อยากพาเขาออกจากงานบ้าง ั้แ่ที่เกิดเื่รามสูรก็กินไม่ได้นอนไม่หลับเลย ดูซิหน้าหมองลงหมดแล้ว” คุณนายรุ่งฤดีเดินมาจับใบหน้าคมเข้มของลูกชายแล้วพลิกมันไปทางซ้ายทีขวาทีราวกับรามสูรเป็เพียงตุ๊กตาไร้ชีวิต มีเพียงสีหน้าไม่พอใจเท่านั้นที่ชายหนุ่มแสดงออกมาให้มารดาได้เห็น
รามใช้ลิ้นหนาดุนดันกระพุ้งแก้มไม่ชอบใจในการกระทำของมารดาแต่เขาก็ทำอะไรมากไม่ได้ ร่างสูงยืนมองมารดาที่เดินออกไปพร้อมกับประคองหลังปริมไปด้วย ทำราวกับว่ารักและเอ็นดูปริมหนักหนา แต่เขารู้ว่าภายใต้รอยยิ้มเย็นนั้นซ่อนอะไรเอาไว้ ยังดีที่ม่านไม่ได้มารับรู้หรือมาเห็นสถานการณ์นี้ ไม่อย่างนั้นม่านหยี่คงจะเสียใจไม่น้อย
“ครับ ม่านเป็ไงบ้าง”
“พายุยังเข้าอยู่เลยราม ไม่มีคนเอาเรือออกเลย เราว่าวันนี้เราคงกลับไม่ได้อีกตามเคย”
“กลับมาเลยไม่ได้เหรอ เดี๋ยวรามไปรับตอนนี้เลย” ร่างแกร่งพูดน้ำเสียงออดอ้อนคนรัก เขารู้สึกว่าตอนนี้ตนเองอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำอะไรได้ แล้วแค่เพียงไม่ได้เห็นหน้าม่านหยี่ไม่กี่วันรามสูรก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จะลงแดงตายให้ได้เลยทีเดียว
“ไม่ได้มันอันตราย พายุเข้าอยู่นะ”
“แต่รามคิดถึงม่าน”
“แค่ไม่กี่วันเอง”
“ไม่รู้ล่ะถ้าพรุ่งนี้ม่านไม่กลับมารามจะฝ่าพายุกลับเข้าฝั่งไปตามตัวม่านจริง ๆ ด้วย”
“อย่านะ มันอันตราย”
“เป็ห่วงรามเหรอ”
“เป็ห่วงสิ” บังเกิดความเงียบขึ้นท่ามกลางคนทั้งคู่ รามสูรเหม่อมองไปยังมารดาและคนรักเก่าที่ตอนนี้เข้ากันเป็ปี่เป็ขลุ่ย มารดาทำราวกับว่าเมื่อหลายปีก่อนไม่เคยเกิดเื่ราวบาดหมางขึ้น และปริมก็ทำราวกับว่าเธอลืมเลือนเื่พวกนั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว รามไม่เข้าใจว่าแม่และปริมทำเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่มีการเอ่ยขอโทษจากฝั่งผู้ใหญ่ ส่วนคนที่อ่อนกว่านั้นก็ไม่ได้ติดใจจะเอาคำขอโทษนั้นด้วยซ้ำ
ทางด้านม่านหยี่ก็คิดถึงคนรักที่อยู่บนเกาะเช่นเดียวกัน แต่เขาก็ยังไม่อยากจากแม่ไปในตอนนี้เพราะไม่รู้ว่าจะหาโอกาสขึ้นฝั่งมาเยี่ยมแม่ได้อีกทีเมื่อไหร่ และยิ่งบิดาที่หาทางเล่นงานเขาและรามสูรอยู่ด้วยแล้วนั้นมันยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้แต่ในเมื่อพ่อยังไม่ได้สิ่งที่พ่อ้า เื่นี้คงไม่จบง่าย ๆ เป็แน่
“ราม”
“ครับ”
“สมมตินะ...”
“หื้ม? สมมติอะไร”
“สมมติว่าถ้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้ รามจะอยู่ได้มั้ย”
“หมายความว่ายังไงม่าน”
“อย่าพึ่งทำเสียงเข้มสิ! สมมติว่าพายุเข้าอาทิตย์นึงแล้วม่านกลับเกาะไม่ได้เลย รามจะโอเคมั้ย จะอยู่ได้รึเปล่า” ม่านหยี่รีบแก้ตัวไปอย่างนั้น เพราะได้ยินคนรักทำเสียงเข้มก็ไม่อยากคิดแล้วว่าถ้าหากระยะเวลาที่เราต้องจากกันมากกว่าหนึ่งอาทิตย์มันจะเป็อย่างไร อย่าว่าแต่รามสูรเลยที่อยู่ไม่ได้ เขาเองก็คงอยู่ไม่ได้ คงจะตายทั้งเป็เหมือนกัน
“ก็บอกแล้วว่าจะไปรับเอง พรุ่งนี้เลย”
“เห้อ!...จริงจังหน่อยสิ”
“...”
“...”
“ไม่! รามอยู่ไม่ได้ จะอาทิตย์นึงหรือเดือนนึงรามก็อยู่ไม่ได้หรอกนะม่าน”
“...ราม”
“อย่าพูดเหมือนว่าม่านจะไม่กลับเกาะได้มั้ย รามใจไม่ดี รามจะเอาเรือออกตอนนี้เลยนะ!”
“ไม่ใช่อย่างนั้น กลับม่านกลับแน่นอนอยู่แล้วน่า ไม่ต้องห่วงหรอก” ถึงแม้ว่าคำว่าเรามันอาจไม่นิรันดร์อย่างที่ฝันไว้ อย่างน้อยก็ขอเขาตักตวงเอาความสุขตรงนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกันนะ
“ครับ รามรัก-...”
“นาย นายหัวรามสูรครับ!!!”
“ม่านรามต้องวางแล้ว”
“ฮะ อ่อ อื้ม...” ปลายสายถูกตัดไปก่อนที่เขาจะทันได้ฟังรามสูรบอกรัก ม่านหยี่รู้อยู่แล้วว่ารามจะพูดอะไร แต่เขาก็ยังอยากฟังมันออกจากปากของคนรักอยู่ดี น่าแปลกที่ตอนนี้เขารู้สึกเสียดายอย่างสุดหัวใจที่ไม่ได้ยินคำว่ารักออกจากปากรามสูร เพราะตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมารามสูรพร่ำพูดมันมาโดยตลอดและม่านหยี่ก็เป็ฝ่ายรับเอาคำว่ารักนั้นมาใส่ใจ แต่ครั้งนี้รามยังไม่ทันได้พูดมันและม่านหยี่เองก็ไม่มีโอกาสเอ่ยคำว่ารักกลับไปเช่นกัน มันน่าเสียดายที่เราสองคนไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้พูดคำว่ารักให้อีกฝ่ายฟัง
“นายหัวครับ ผมเจอรอยเท้า อยากให้นายไปช่วยดูหน่อย”
“ลุงชัยเจอรอยอะไรเหรอครับ”
“รอยเท้าครับ เต็มเลย มาทางนี้ครับนาย” ชายแก่วัยกลางคนพานายหัวรามสูรลัดเลาะตามทางเท้าเล็ก ๆ ฝ่าพงหญ้ารกชัฏที่ยืนต้นสูงท่วมหัวทั้งยังกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ที่ยื่นออกมาขวางตามทางเดินนี้ ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น เขารู้ว่ามีทางเล็ก ๆ แบบนี้เอาไว้สำหรับให้ชาวบ้านเดินเท้าลัดไปมาหาสู่กันทั่วทั้งเกาะ แต่เขากลับไม่ชอบใจปลายทางที่ถนนเล็ก ๆ นี้จะพาเขาไปเอาเสียเลย เพราะรามสูรรู้ว่าถนนเส้นนี้มันตัดลงไปยังท้ายเกาะ ที่ที่ไม่มีใครอยู่และไม่มีชาวบ้านเอาเรือไปจอด มันเป็กลุ่มหินโสโครกที่ถูกคลื่นทะเลซัดกระหน่ำจนทำให้มีรูปทรงแหลมคมและเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ และยังเป็สถานที่ที่มารดาบอกกับเขาว่าเห็นคนเอาเรือเข้ามาจอดบริเวณนี้บ่อยขึ้นใน่หลัง ๆ มานี้ รามสูรเกลียดที่จะยอมรับกับตนเองว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่หลบพ้นหูพ้นตาของเขาไปได้
“นี่ครับนายรอยพวกนี้ มีคนเดินอยู่แถวนี้เต็มไปหมดเลยครับนาย” ลุงชัยพูดด้วยความตื่นตระหนก เขาอาจคิดว่ามันเป็รอยเท้าชาวบ้านที่สัญจรไปมาก็ได้ แต่ที่น่าประหลาดใจคือไม่ค่อยจะมีใครสัญจรมาแถวนี้ ยิ่งรอยเท้าที่ชัดเจนพวกนี้มันแสดงถึงกลุ่มคนจำนวนมากแล้วนั้น ชัยก็คิดไม่ออกว่าชาวบ้านนับสิบจะมาหาดฝั่งนี้ทำไม
“พึ่งมีเหรอ”
“น่าจะใช่อย่างนั้นครับ”
ร่างสูงทรุดกายแกร่งนั่งลงพินิจพิเคราะห์ เหตุที่เขาถามกับคนงานว่ารอยเพิ่งเกิดขึ้นก็เพราะบริเวณนี้เป็ชายหาด น้ำมักจะลงจนเห็นฐานของโขดหินในตอนเย็น และขึ้นมาจนเกือบจะถึงที่ที่พวกเขายืนอยู่ในตอนเช้าตรู่ของวัน รอยเท้าพวกนี้ไม่ได้โดนน้ำทะเลลบไป อย่างนั้นแสดงว่าคนพวกนี้พึ่งขึ้นเกาะมาได้ไม่นาน อาจไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ
“บอกทุกคนจัดเวรยามเฝ้ากระชังเอาไว้ คืนนี้ผมจะนอนที่แพกลางทะเล” เขามีลางสังหรณ์ว่าคืนนี้ต้องมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้น
“นั่นไง มาพอดีเลย รามมาพาหนูปริมเที่ยว-...”
“ปริม เราเตรียมเรือไปส่งขึ้นฝั่งแล้ว ไปเถอะเดี๋ยวจะเย็นซะก่อน” รามสูรไม่ชอบใจสีหน้ามารดาของตนเองตอนนี้เลย ราวกับว่ามารดาพึงพอใจนักหนาที่ทำให้เขากระวนกระวายใจได้
“ไม่ได้นะราม หนูปริมเขาอยากเที่ยว”
“แม่!...” รามสูรถอนหายใจหนัก ๆ ออกมาก่อนที่จะคว้าแขนมารดาให้เดินตามเขามาที่ห้องทำงานที่ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด รามสูรปิดประตูลงจากนั้นก็ถอนหายใจหนัก ๆ อีกครั้ง เขาไม่คิดว่ามารดาพอแก่ตัวมาจะดื้อด้านเอาแต่ใจไม่ฟังใครขนาดนี้
“แม่ มีใครก็ไม่รู้เข้าเกาะมา หลังเกาะฟากโน้นมีรอยเท้าเต็มไปหมด ผมให้คนจัดเวรยามเฝ้ากระชังหอยแล้ว แต่ผมก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ผมคิดว่ามันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น และผมจะไม่ให้คนนอกไม่ว่าใครก็ตาม อยู่บนเกาะคืนนี้”
“แกคิดว่ามันเป็ใคร”
“คนของนายหัวศิลา ถ้าไม่ใช่มันจะเป็ใครไปได้”
“ให้ฉันเรียกคนของเราจากบนฝั่งมาสมทบมั้ย”
“ไม่ครับ ผมพอมีคนอยู่”
“...”
“ให้ปริมกลับ ผมไม่รู้ว่าแม่กำลังจะทำอะไร แต่ผมจะไม่เล่นตามเกมของแม่ เพราะแค่นี้ผมก็ปวดหัวมากพอแล้ว แม่จะไม่ได้อะไรที่แม่้า ฉะนั้นให้ปริมกลับไป”
คุณนายรุ่งฤดีเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของลูกชายคนเล็กแล้วนั้นก็จำต้องยอมอ่อนข้อให้กับรามสูรในตอนนี้ รามไม่มีวี่แววว่าจะยอมเธอเลยในเื่นี้ เธอจึงพยักหน้ารับคำและยอมแพ้แต่โดยดี
“แค่วันนี้เท่านั้นหรอกนะรามสูร”
“จะวันไหนแม่ก็ไม่มีวันได้อย่างที่แม่้าหรอก” ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินจากออกมา รามสูรไม่แม้แต่จะมองหน้าปริมที่ยืนรออยู่ในห้องรับแขก เพราะเขามั่นใจกับตัวเองมากว่าเขาได้พูดสิ่งที่อยากพูดไปหมดแล้ว หากหญิงสาวยังยืนยันจะเล่นตามเกมของมารดาของเขาก็ตามใจเพราะจะไม่มีใครชนะเกมนี้นอกจากม่านหยี่คนรักของเขาคนเดียวเท่านั้น
มือแกร่งดันประตูไม้บานใหญ่ให้ปิดลงจากนั้นก็ล็อกกลอนประตูอย่างแ่าให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาในห้องนี้ได้ รามเดินตรงไปยังตู้เซฟสีเงินที่มันตั้งหลบอยู่มุมห้องทำงานของเขา จากนั้นชายหนุ่มก็หมุนรหัสอยู่สักครู่ก่อนที่จะเกิดเสียงดังคลิกและประตูเหล็กสีเงินจะค่อย ๆ เปิดแง้มออกมา รามสูรถอนหายใจหนัก จากนั้นก็หยิบซองหนังสีดำ มันเป็ซองที่ห่อหุ้มอาวุธปืนเอาไว้อีกชั้น เขาเคยคิดว่าจะไม่ได้ใช้มันแต่ตอนนั้นเขาคงคิดน้อยเกินไป เอกสารที่วางอยู่ข้างกันนั้นคือใบอนุญาตอาวุธปืน ทันทีที่เขาบรรลุนิติภาวะแม่ก็พาเขากับไอ้อัสไปหัดยิงปืนและทำใบอนุญาตอาวุธปืนทันที แม่บอกว่ามันจำเป็สำหรับเราในตอนนั้น เขาไม่คิดหากว่าการถือครองอาวุธอันตรายนี้มันจะจำเป็สำหรับเขาหรือใคร แต่ตอนนี้เขาก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ต้องหันปลายกระบอกปืนเข้าหาใครหากไม่จำเป็
“ผมจะไปนอนที่กระชังกลางทะเล ผมจัดเวรยามให้คนของเรามาเฝ้าบ้านแล้ว แต่ถ้าแม่ไม่อยากอยู่คนเดียวก็เรียกแม่บ้านมานอนเป็เพื่อนนะ ถ้าม่านอยู่ผมคงให้ม่าน...-”
“ไม่ต้องพูดถึงมัน ฉันอยู่ของฉันเองได้”
“...ครับ” จนถึงขั้นนี้แม่ของเขายังคงไม่ยอมรับม่านหยี่ ถึงแม้ว่าตัวจะไม่ได้อยู่ที่นี่แต่แค่ชื่อเขาก็เอ่ยมันออกมาไม่ได้
“แล้วนี่จะไปกี่โมง จะให้แม่ตั้งโต๊ะเลยมั้ย” คุณนายรุ่งฤดีถามหลังจากที่ลูกชายตัวดีของเธอเดินดุ่ม ๆ กลับเข้าบ้านมาพร้อมกับออกคำสั่งเด็ดขาดให้เธอส่งผู้หญิงที่เคยเป็คนรักเก่าของเขากลับบ้านไป คุณนายรุ่งฤดีทำตามคำสั่งของลูกชายทั้งหมดแล้ว ตอนนี้บ้านหลังใหญ่เหลือเพียงแค่สองแม่ลูกเท่านั้น
“ผมจะอยู่เป็เพื่อนแม่จนกว่าจะสี่ทุ่มแล้วกัน ให้แน่ใจว่าที่นี่จะไม่มีอะไร” รามสูรไม่อาจมั่นใจความปลอดภัยของทุกคนได้เลย เขาคิดอยากแยกร่างได้สักสิบร่างในตอนนี้ แต่ก็นั่นแหละ มันเป็ไปไม่ได้ เขาต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง ต้องตัดใจแล้วพาตนเองไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ บ้านหลังใหญ่นี้ก็คงจะต้องเรียกให้แม่บ้านคนอื่น ๆ มานอนกับแม่ เพราะถ้าให้มารดาเรียกเองคนแก่คงดื้อแพ่งไม่ยอมทำ
“อย่างนั้นฉันตั้งโต๊ะเลยแล้วกัน แสน!”
“คะคุณนาย”
“ตั้งโต๊ะที”
“ค่ะ ได้ค่ะ”
การรับประทานอาหารเย็นวันนี้เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด รามสูรจากที่ไม่พูดอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งเงียบไปกันใหญ่ เพราะในหัวของเขามัวแต่คิดไปสะระตะ รามไม่อาจข่มใจให้มันเย็นดังเช่นปกติที่เคยทำมาได้ ด้วยเพราะเขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่กำลังเผชิญนี้แย่แค่ไหน และเขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่สังหรณ์อยู่ในใจนั้นมันคืออะไรกันแน่
แกงใต้หลายอย่างไม่ถูกตักเข้าปาก ข้าวขาวยังคงเหลือเต็มจานไม่พร่องลงไปเลยแม้แต่น้อย รามสูรยกแก้วน้ำขึ้นดื่มพลางหันเหสายตาไปจับจ้องยังนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนัง อีกกว่าสามชั่วโมงจะสี่ทุ่ม เขามีเวลาอีกมากโขพอที่จะให้เริ่มาประสาทกับแม่
“ไม่คิดจะพูดอะไรกับฉันหน่อยเหรอ หรือว่าเกลียดฉันจนไม่เผาผีแล้ว”
“...”
“รามสูร อย่าคิดว่าการที่เงียบใส่ฉันแบบนี้แล้วเธอจะชนะนะ”
“ผมไม่ได้อยากเอาชนะแม่”
“...”
“แต่ผมแค่ไม่เข้าใจ ทำไมแม่ยังดื้อ ดึงปริมเข้ามาเกี่ยวในเื่นี้ แม่ไม่คิดว่าเขาจะเจ็บหรือเสียใจบ้างเหรอ เขาก็คนนะแม่ แม่จะเอาแต่ใจเกินไปหน่อยมั้ย”
“ฉันทำได้มากกว่านั้นอีกรามสูร แค่เธอเห็นนี่มันยังน้อยไป”
“แม่เลือกที่จะทำร้ายคนรอบข้างเพื่อที่จะเอาชนะผมไปทำไม ในเมื่อแม่ก็รู้ว่าผมไม่มันวันเลิกกันม่าน”
“ใช่ ฉันรู้ไง! แล้วทำไมฉันจะทำไมได้ ฉันบอกตามตรง ฉันอายมากนะราม ที่เธอสองคนกระเตงกันไปไหนต่อไหนแล้วแนะนำใครต่อใครว่าเป็อะไรกัน ฉันรับไม่ได้!”
“เมื่อไหร่แม่จะ-...”
“จะอะไร ฉันไม่มีวันรับได้ ก็อย่างที่เธอบอกกับฉันว่าเธอสองคนไม่มีวันเลิกรักกัน ฉันก็ไม่มีวันยอมรับผู้ชายคนนั้นเหมือนกัน”
“...”
“คนมันไม่มีหัวนอนปลายเท้า เป็ผู้ชายด้วยกันไม่พอนี่ยังเป็กำพร้าอีก เธอจะให้ฉันคิดว่ายังไง”
“แม่ไม่ต้องคิด ในเมื่อคนที่รักเขาคือผม ผมคนเดียวเท่านั้น ยังไงแม่ก็ไม่มีวันรักม่านอยู่แล้ว”
“ใช่ไง”
“อย่างนั้นแม่ก็ไม่-...”
“นาย! นายน้อยครับ”
ากำลังเดือดได้ที่แต่กลับมีคนเข้ามาขัดจังหวะสองแม่ลูกเสียก่อน เป็หนิม หนึ่งในคนงานของเขานั่นเอง
“มีอะไรหนิม”
“นาย! มีคนเข้าไปในโรงเก็บมุกครับ”
“ว่ายังไงนะ!”
“มุกหายครับนาย ทั้งหมดเลย!”
ร่างแกร่งลุกขึ้นแล้ววิ่งออกมายังรถ ATV คันใหญ่ที่จอดเอาไว้หน้าบ้าน เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นขึ้นใน่เย็นย่ำของวัน รามสูรบึ่งรถไปตามทางที่คดเคี้ยวของเกาะใหญ่โดยที่ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าโค้งด้านหน้าจะเป็โค้งหักศอกที่พุ่งตรงลงไปยังเหวลึก หรือไม่เพราะเขาเกิดและเติบโตที่นี่ ไม่มีอะไรต้องกลัว แม้กระทั่งการขับรถท่ามกลางความมืดสนิทของป่าใหญ่และถนนหนทางที่เลี้ยวลด ทุกสิ่งอย่างนั้นไม่ทำให้ชายหนุ่มหวั่นเกรงเท่าเื่ที่มันกำลังเกิดขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้นรามก็มาถึงโรงเก็บมุกที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งถัดจากกระชังหอยมุกมาไม่เท่าไหร่ คนงานวัยรุ่นสองสามคนนอนเกลื่อนพื้น บ้างก็ร้องโอดโอยบ้างก็นอนสลบเหมือด มีการต่อสู้กันเกิดขึ้นก่อนที่โจรมันจะบุกเข้าไปได้ ร่างสูงอาศัย่ขายาวของตนเองก้าวเข้าไปด้านใน พบว่าคลังเก็บมุกของเขาได้รับความเสียหายอย่างมาก มุกที่เหลือจากลอตที่แล้วและลอตที่เก็บขึ้นมาล่าสุดหายไป ทั้งกล่องเก็บมุกและอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกกวาดลงกระจัดกระจายไปตามพื้นได้รับความเสียหาย ร่างสูงวิ่งทะลุออกมายังประตูหลังที่มันเปิดอ้าเอาไว้กลับเพียงความว่างเปล่า...
“พวกมึงเห็นหน้ามันมั้ย!”
“ไม่ครับนาย มันคลุมหน้าหมดทุกคนเลยครับ”
“มันมากี่คน!”
“ห้าครับนาย ห้าคน...” รามสูรเค้นเอาคำตอบจากคนงานของเขาที่พอจะมีแรงเหลือเปิดปากขึ้นมาพูดได้
“กูจะล่ามัน หนิม มึงไปเรียกคนบนแพโน้นมา”
“นาย ๆ ! นายหัวรามครับ! นายหัว! นายหัวรามสูร!!!”
“อะไร?!”
“นายน้อย นายหัว!”
“อะไรลุงพล!”
“โรงแรมครับ โรงแรม โรงแรมไฟไหม้!!!”
ความวัวยังไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก นายหัวรามสูรยังไม่ทันที่จะสำรวจความเสียหายโรงเก็บมุกดีด้วยซ้ำเขากลับต้องบึ่งรถกลับมายังอีกฟากหนึ่งของเกาะ เขาเพิ่มความเร็วของรถขึ้นอีกหลายเท่าจนแทบจะบินได้อยู่แล้ว แต่นั่นมันยังไม่เร็วพอที่จะพาเขามาช่วยคุมสถานการณ์ได้ทัน เพราะเมื่อรถจอดนิ่งสนิททุกอย่างตรงหน้าก็บอกทุกอย่างกับเขาโดยไม่จำเป็ต้องมีใครอธิบายออกมาเป็คำพูดใด ๆ ทั้งนั้น
“พี่จิ๊ก! พี่! แขกออกมาหมดรึยัง!”
“หมดแล้วค่ะคุณราม”
“กู้ภัยล่ะ”
“มีรถอยู่คันเดียวค่ะ กำลังฉีดน้ำอยู่ทางโน้น แต่คุณรามคะ...” หญิงสาวส่ายหน้าอย่างหมดหวัง
“ตรวจสอบรายชื่อแขกแล้วใช่มั้ย ทุกคนปลอดภัยดีใช่มั้ย”
“ค่ะ จะมีที่ใบ้าง แต่ทุกคนก็ปลอดภัยดี”
ชายหนุ่มมองเปลวเพลิงที่โหมไหม้อาคารที่มันเคยเป็เคาน์เตอร์ต้อนรับแขก บัดนี้เพลิงกำลังผลาญหลังคาไม้ให้แตกหักและถล่มลงมา เสาไม้สักราคาหลายล้านบาทกลายเป็เชื้อไฟอย่างดี พื้นไม้ตุ๊กตารูปปั้นปูนถูกไฟคลอกจนกลายเป็วัตถุสีดำไม่น่าดู ถัดไปทางด้านหลังนั้นเป็ตึกสูงสี่ชั้นส่วนที่มีแขกเข้าพักเปลวเพลิงกำลังโหมกลืนกินมันเข้าไปทั้งหมด เขาััได้ถึงไอความร้อนที่มันแผ่กระจายมาถึงที่ที่พวกเขายืนอยู่ได้เลย
“รามลูก!”
“แม่! แม่มาทำไม ทำไมไม่อยู่ที่บ้าน”
“แม่ไม่ ไม่...” คุณนายรุ่งฤดีถึงกับพูดไม่ออก นั่นผิดวิสัยคนแก่ดื้อแพ่งอย่างเธอ แต่เพราะภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำเอาหญิงวัยกลางคนเข่าอ่อนทรุดลงที่พื้น ยังดีที่ได้ลูกชายมาช่วยรับเอาไว้
“แม่!!!”
“ราม แม่ แม่ไม่...”
“พี่จิ๊กพาแม่ไปนั่งก่อน หนิมกับลุงไปเกณฑ์คนงานมาช่วยดับไฟ ที่เหลือมากับผม” รามสูรจัดการออกคำสั่ง ในตอนนี้เขาต้องเข้มแข็งและแข็งแกร่งที่สุด เขาต้องเป็ที่พึ่งให้กับคนอื่นได้!!!
“ฮัลโหลอัส”
//...//
“โรงแรมไฟไหม้”
//ฮะ?//
“ไฟไหม้หมดเลย”