ถึงแม้ว่าตรอกชิงหยางจะอยู่ในแหล่งครึกครื้นของเมือง แต่กลับเป็จุดที่เงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวายรอบด้าน เพราะเป็ตรอกเล็กแคบขนาดแค่ให้คนเดินผ่านได้ ตรอกเส้นนี้เป็เส้นที่เดินทางจากตะวันออกไปตะวันตก คนที่พักอยู่ใกล้ๆ ถึงจะเลือกเดินลัดผ่านเส้นทางนี้
มู่หรงฉือ เสิ่นจือเหยียนกับฉินรั่วยืนอยู่ตรงปากทางฝั่งตะวันตกของตรอกก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ
“น้อยนักที่จะมีคนเดินผ่านมาที่ตรอกชิงหยาง การจะแลกเปลี่ยนสินค้า แลกของกับเงิน ใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีก็ได้ นับว่าปลอดภัยพอสมควร”
เขาสวมชุดขุนนางสีฟ้า แสงสว่างจากท้องฟ้าส่องลงมาบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาขับให้ดูบริสุทธิ์สง่างาม ช่างเป็คนที่เก็บซ่อนความอ่อนโยนเอาไว้ภายใน ไม่เปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งแย่งความโดดเด่นกับผู้อื่น ทว่าก็เป็คนที่ผู้อื่นไม่อาจเมินเฉยได้
ฉินรั่วคาดเดา “คนขายฝิ่นคงจะอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล”
มู่หรงฉือได้ยินก็เสนอขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเราก็เดินดูตามถนนหลายเส้นนี้เถิด”
ทั้งสามคนจึงออกไปเดินเล่นตามถนนใกล้ๆ ตรวจดูทุกร้าน เนื่องจากอากาศร้อน ตะวันขึ้นสูงอยู่กลางศีรษะ เดินไปได้ครู่เดียวเหงื่อก็ไหลจนเต็มหลัง ปากคอแห้งผาก พวกเขาจึงหาร้านอาหารสักร้านนั่งทานอาหาร หลังจากเติมอาหารลงกระเพาะแล้วก็เดินสำรวจกันต่อ
ตอนที่ผ่านร้านหลิงหลงเซวียน ดวงตาของมู่หรงฉือก็กวาดมองไป ก่อนจะเดินเข้าไป
ภายในร้านไม่มีลูกค้า เสี่ยวเอ้อนั่งสัปหงกอยู่ด้านข้าง เถ้าแก่ยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะกำลังคิดคำนวณแต๊กๆ พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ามีลูกค้าเข้าก็รีบเรียกเสี่ยวเอ้อให้ตื่น จากนั้นก็ยิ้มตาหยีพูด “ท่านลูกค้าทั้งสาม หยกที่ร้านหลิงหลงเซวียนของพวกเราขายนั้นล้วนเป็หยกชั้นเลิศ เชิญท่านทั้งสามดูได้ตามสบายขอรับ”
เสิ่นจือเหยียนหันไปพยักหน้าให้เขา พูดด้วยท่าทางองอาจ “ข้าอยากจะซื้อหยกที่ดีที่สุด ข้าไม่อยากซื้อของไม่ดีไปให้ต้องอับอายผู้อื่น”
เถ้าแก่ร้านก็ยิ่งดีใจ พูดยิ้มๆ “คุณชายมาถูกที่แล้วขอรับ ข้ากล้ารับประกันว่าร้านหยกทั่วทั้งเมืองหลวง หยกในร้านของเราเป็หยกที่ดีที่สุด”
เสี่ยวเอ้อแนะนำหยกที่แกะสลักเป็รูปร่างต่างๆ บนชั้นแสดงของอย่างกระตือรือร้น พลางถาม “คุณชายอยากจะได้หยกสลักแบบไหนหรือขอรับ?”
“หยกของร้านพวกเ้าราคาถูกเกินไปแล้ว”
มู่หรงฉือทำหน้ารังเกียจ สายตากวาดมองไปอย่างไม่พอใจ ก่อนจะกวาดมองไปยังด้านในโถง แต่ว่าโถงด้านในมืดมิดไม่มีแสง มองไม่เห็นอะไร
นางส่งสายตาให้ฉินรั่ว ซึ่งคนถูกส่งสายตาก็รับรู้แล้วถามเสี่ยวเอ้อ “ในร้านของพวกเ้ามีหยกโลหิตหรือไม่? เครื่องประดับที่ทำจากหยกโลหิตแกะสลัก...”
มู่หรงฉือเห็นเถ้าแก่กำลังพูดคุยกับเสิ่นจือเหยียน จึงสาวเท้าเดินเข้าไปทางโถงในทันที
“คุณชายท่านนี้ โถงในเข้าไปไม่ได้นะขอรับ...”
เถ้าแก่ร้องเรียกพลางเดินออกห่างจากโต๊ะแล้วรีบตามเข้ามา แต่ว่าเสิ่นจือเหยียนดึงเขาไว้ “เครื่องหยกของพวกเ้าที่นี่แย่เกินไปแล้ว ด้านในโถงคงจะซ่อนเครื่องหยกที่ดีกว่านี้แต่ไม่ยอมขายใช่หรือไม่? ใช่หรือไม่?”
เถ้าแก่จะทำอย่างไรก็สะบัดเขาไม่ออก ะโด้วยความร้อนใจพลางผลักเขาออกด้วยความโมโห สุดท้ายก็ทำได้แต่เรียกให้ลูกน้องไปขวางเอาไว้
ลูกน้องได้รับคำสั่งก็รีบพุ่งไปยังโถงด้านใน ฉินรั่วเองก็ตามไปด้วย
ด้านในโถงมีแสงอยู่น้อยนิด กำแพงทั้งสองด้านล้วนเป็ชั้นวางของ ตรงกำแพงทิศตะวันออกมีเก้าอี้สองตัวกับโต๊ะเล็กๆ นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
“คุณชาย เหตุใดท่านถึงเข้ามาด้านในตามใจชอบเล่าขอรับ?” เสี่ยวเอ้อคนนั้นตำหนิ
“คุณชาย พวกท่านไม่ได้มาซื้อหยก พวกท่านมาสร้างความวุ่นวายต่างหาก!” เถ้าแก่เองก็พุ่งเข้ามา หอบหายใจด้วยความโมโหอย่างแรงจนหนวดกระเพื่อม พลางถลึงตาใส่พวกเขา
“เถ้าแก่ก็อย่าคิดมากนักเลย น้องชายของข้าเป็คนคลั่งไคล้หยกเป็อย่างมาก พอเขาไม่เห็นหยกดีๆ ย่อมคิดว่าพวกเ้าเอาหยกมาเก็บซ่อนเอาไว้ที่นี่เลยพุ่งเข้ามาดู” เสิ่นจือเหยียนพูดไกล่เกลี่ย “ขอโทษที ขอโทษที”
“ด้านในนี้ก็ไม่ได้มีของมีค่าอะไร ต้องหวงแหนขนาดนี้เชียวหรือ? ทำไมถึงไม่ยอมให้พวกเราเข้ามาดู?” ฉินรั่วเบะปาก “ที่นี่ซ่อนของที่ให้ใครเห็นไม่ได้หรืออย่างไรกัน? หรือว่าพวกเ้าทำอะไรผิดแล้วไม่อยากให้ใครรู้?”
“นี่เ้าพูดอะไรออกมา?” เถ้าแก่พูดอย่างโมโห “เครื่องหยกในโถงเล็กล้วนเป็ของล้ำค่า จะให้พวกเ้าดูได้ตามใจชอบได้อย่างไร?”
“นี่เรียกว่าล้ำค่าอย่างนั้นหรือ? ในคลังของคุณชายพวกเรายังมีเยอะกว่าที่ร้านพวกเ้าเสียอีก อีกทั้งราคาก็ยังไม่ธรรมดา ซื้อร้านของพวกเ้ามาก็ยังได้!” ฉินรั่วพูดเสียงดังด้วยท่าทางยโสพลางส่งสายตาร้ายกาจ
“ได้ยินมาว่าร้านหลิงหลงเซวียนขายหยกชั้นสูงโดยเฉพาะ แต่ก็แค่นั้นเอง” มู่หรงฉือทำท่าทางผิดหวังเดินออกไป ทิ้งประโยคดูถูกไว้หนึ่งประโยค
สุดท้ายเถ้าแก่ร้านก็ถลึงตามองพวกเขาออกจากร้านไป อยากจะถลึงตาใส่แผ่นหลังของพวกเขาจนทะลุเป็รูไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
พวกเขาขึ้นรถม้ากลับไปยังศาลต้าหลี่
มู่หรงฉือขมวดคิ้ว “เปิ่นกงมองอย่างละเอียดแล้ว ด้านในนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ท่าทางของเถ้าแก่ร้านนั้นแปลกมาก ทั้งๆ ที่ด้านนั้นไม่มีอะไร เหตุใดถึงไม่ให้พวกเราเข้าไป?”
เสิ่นจือเหยียนพูดอย่างครุ่นคิด “ข้าเองก็มองดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ แต่ก็ยังรู้สึก...”
คิ้วเรียวของนางเลิกขึ้น “เปิ่นกงรู้แล้ว ด้านในนั้นดูเหมือนไม่มีอะไร ความจริงแล้วคงมีความลับซ่อนอยู่ อย่างเช่นกลไกบางอย่าง”
เขาพยักหน้า “เหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงได้สนใจหลิงหลงเซวียนหรือ? หรือสงสัยว่าร้านนี้ขายฝิ่น?”
“ไม่ใช่ หลิงหลงเซวียนลึกลับเกินไป เปิ่นกงสงสัยว่าหลิงหลงเซวียนจะเกี่ยวข้องกับเื่ที่กองทัพตรวจสอบอาวุธลอบค้าอาวุธ”
“หา? เตี้ยนเซี่ยกล้าหาญเกินไปแล้ว”
“ทำไมหรือ?” นางไม่เข้าใจ
“หากหลิงหลงเซวียนเกี่ยวข้องกับการลอบค้าอาวุธของกองทัพตรวจสอบอาวุธ เช่นนั้นเตี้ยนเซี่ยไปเยือนเช่นนี้จะไม่เป็การแหวกหญ้าให้งูตื่น แล้วทำให้ตัวเองจนมุมหรือ?” เขาใจนเหงื่อกาฬหลั่งไหล “หลิงหลงเซวียนกล้าซื้อขายอาวุธกับกองทัพตรวจสอบอาวุธ เช่นนั้นก็เหมือนกับไม่ได้ใช้สมองแล้วรนหาที่ตาย เตี้ยนเซี่ยจะต้องระวัง อย่าเข้าไปรนหาเื่”
“อืม ต่อไปข้าจะระวัง” มู่หรงฉือครุ่นคิด ที่เขาพูดก็ถูก ครั้งหน้าหากจะไปที่หลิงหลงเซวียนจะต้องระวังให้มาก
ฉินรั่วมองเตี้ยนเซี่ยแล้วรู้สึกกังวลแทนเตี้ยนเซี่ยจริงๆ
ไหนจะตรวจสอบการลอบซื้อขายอาวุธทหาร แล้วยังต้องชันสูตรศพเ้าพนักงานกรมพลเรือนกับกรมโยธาที่ตายเพราะพิษอีก วันทั้งวันวิ่งวุ่นไปทั่ว คนๆ เดียวจะทำงานทั้งหมดนี่ได้อย่างไร?
ระหว่างทางที่กลับมายังศาลต้าหลี่ เสิ่นจือเหยียนที่เงียบมานานในที่สุดก็พูดขึ้น “เมื่อครู่เดินรอบๆ เป็วงกว้างถึงเพียงนั้นกลับไม่พบร้านที่น่าสงสัย คดีการเสียชีวิตของจวงฉินกับกานไท่จู่สามารถตรวจสอบร่วมกันได้ เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่รู้ว่าจะเริ่มค้นจากที่ใด”
มู่หรงฉือคิดแล้วคิดอีก “ตรอกชิงหยาง!”
ในขณะเดียวกันเขาเองก็พูดออกมา “ตรอกชิงหยาง!”
ฉินรั่วหัวเราะแล้วพูด “เตี้ยนเซี่ยกับใต้เท้าเสิ่นคิดเช่นกันเลยนะเพคะ!”
เขาหัวเราะพาให้บรรยากาศดีขึ้นมาก “ข้าจะส่งลูกน้องสองคนไปเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ตรอกชิงหยาง หวังว่าจะพบเื่ที่น่าดีใจ”
...
ห้องตำรา
ในที่สุดก็อ่านม้วนเอกสารมากมายที่กองเป็ูเาย่อมๆ หมด มู่หรงอวี้พิงตัวกับพนักเก้าอี้ ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงพลางยกมือบีบนวดสันจมูก
จากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก ในตอนนี้เองมีเงาดำแวบเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เป็กุ่ยหยิง
“มีเื่รายงาน?” มู่หรงอวี้หันตัวกลับมาแล้วเดินกลับไปด้านในตำหนักสองสามก้าว
“พ่ะย่ะค่ะ” กุ่ยหยิงปิดประตูตำหนักใหญ่ ก่อนจะหมุนตัวมารายงาน “จวงฉินเ้าพนักงานกรมโยธและกานไท่จู่หัวหน้าหน่วยกรมพลเรือนสิ้นใจไปอย่างผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่ตายกะทันหันเพราะป่วย?” น้ำเสียงของมู่หรงอวี้ทุ้ม
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ จากที่เสิ่นเซ่าชิงตรวจสอบน่าจะเป็การตายจากพิษ” กุ่ยหยิงก้มหัวตอบ
“พิษอะไร? เป็ผู้ใดวางยา?”
“เสิ่นเซ่าชิงยังตรวจสอบออกมาไม่ได้ กระหม่อมอ่านสมุดบันทึกการชันสูตรศพของศาลต้าหลี่ จากบันทึกสภาพการตายของใต้เท้าทั้งสอง กระหม่อมดูแล้วเหมือนกับสภาพการตายของคนที่สูบฝิ่นเกินขนาดจนตายเป็อย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้หมุนตัวมาในทันที ดวงตาเยือกเย็น “จริงหรือ?”
กุ่ยหยิงพูดอย่างจริงจัง “จริงพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้เชื่อมั่นในการวิเคราะห์ของกุ่ยหยิง หลายปีก่อนพวกเขาปลอมตัวแฝงเข้าไปในแคว้นหนานเยว่เพื่อสืบราชการลับก็เคยเจอคนตายเพราะสูบฝิ่นเกินขนาด ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ว่าสภาพการตายของสองคนนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของพวกเขา
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในเมืองหลวงจะมีขุนนางในราชสำนักเสพฝิ่น!
“องค์รัชทายาทกับเสิ่นเซ่าชิงคงจะตรวจสอบพบสาเหตุการตายที่แท้จริงของพวกเขาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” กุ่ยหยิงพูดอีก
“พวกเขาตรวจสอบได้แล้วหรือว่าสองคนนั่นตายเพราะเสพฝิ่น?” มู่หรงอวี้ถามย้ำอีกครั้ง
“พ่ะย่ะค่ะ” กุ่ยหยิงตอบกลับ “พวกเขาไปที่โรงหมอหลวง ได้พูดคุยกับหัวหน้าหมอหลวงเสิ่น”
“ออกไปได้” ั์ตาดำของมู่หรงอวี้ทอประกายเย็นเยียบขึ้นมา
มีฝิ่นปรากฏขึ้นในราชสำนัก!
โดยที่เขาไม่แม้แต่จะรู้ตัว!
ได้แต่ว่าหวังว่าจะไม่เป็อันตรายกับประชาชน
เขาสาวเท้ายาวๆ เดินออกไปด้านนอกแล้วมุ่งหน้าไปยังตำหนักบูรพา
ทางแคว้นได้ออกกฎหมายอย่างชัดเจนว่าห้ามปลูกฝิ่น แต่ฝิ่นกลับเข้ามาอยู่ในแคว้นเป่ยเยี่ยนได้ ถึงขั้นทำให้ขุนนางในราชสำนักเสียชีวิต เื่นี้ไม่ธรรมดาแล้ว!
มู่หรงฉือกลับมาถึงตำหนักบูรพา ทานอาหารเย็น ชำระร่างกายผลัดเปลี่ยนอาภรณ์จนเสร็จเรียบร้อย แต่กลับลังเลมาโดยตลอด นางควรจะไปหามู่หรงอวี้ดีหรือไม่ จะบอกเื่ฝิ่นกับเขาดีหรือไม่
ถึงแม้เื่นี้เพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น ยังไม่พัฒนาไปไกลจนรุนแรง แต่ก็มีขุนนางเสียชีวิตไปแล้วถึงสองคน เื่นี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก นี่คือจุดที่ทำให้นางตัดสินใจลำบากเป็อย่างยิ่ง
เื่นี้จะต้องหยุดลง ไม่เช่นนั้นไม่อยากคิดถึงผลที่จะตามมาเลยจริงๆ แต่ว่าตอนนี้นางก็ยังไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปสืบที่ใด
หรูอี้เห็นเตี้ยนเซี่ยนั่งพิงเก้าอี้กุ้ยเฟยเนือยๆ ถอนหายใจอยู่บ่อยครั้ง เดี๋ยวก็ขมวดคิ้วพลิกตัวไปมา เดี๋ยวก็หลับตา นางทนดูไม่ไหวจึงพูดขึ้น “เตี้ยนเซี่ย ท่านกำลังมีเื่ยุ่งยากใจอันใดหรือเพคะ?”
“เ้าไม่เข้าใจ พูดไปเ้าก็ช่วยอะไรเปิ่นกงไม่ได้” มู่หรงฉือพูดอย่างเกียจคร้าน
“นี่ก็ดึกแล้ว ทานอาหารก่อนเถิดเพคะ ทานอิ่มแล้วก็ค่อยคิด”
“ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะทานไปหรือ? เปิ่นกงไม่หิว”
มู่หรงฉือพลิกตัวไปมาอย่างหงุดหงิดใจ “เ้าออกไปก่อน เปิ่นกงขออยู่เงียบๆ”
หรูอี้ถอยออกไปเงียบๆ แล้วไปดูต้มถั่วเขียวในห้องครัวว่าทำเสร็จแล้วหรือไม่
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นแ่เบา
มู่หรงอวี้ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอน ตอนนี้ด้านนอกแสงบนท้องฟ้าปรากฏเป็สีเขียวเข้มแปลกๆ ลมพัดมาเอื่อยๆ ทางทิศฝั่งตะวันตกมีแสงสีแดงของท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดง ในตำหนักดูสลัวๆ เพราะยังไม่ได้จุดไฟ อัญมณีทองหยกต่างๆ เปล่งประกาย คนผู้หนึ่งที่หน้าตาแยกไม่ออกว่าเป็บุรุษหรือสตรีเอนนอนอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย หันหลังให้เขา เส้นเว้าเส้นโค้งของลำตัวงดงามจนทำให้คนที่เห็นอดคิดไปไกลไม่ได้
บนตัวสวมชุดเสื้อตัวกลางที่เป็ผ้าแพรสีขาวราวกับว่ามีก้อนเมฆปกคลุมร่างของนางเอาไว้ เสื้อตัวกลางค่อนข้างหลวม เผยให้เห็นบ่าหนึ่งข้าง เส้นผมสีดำเงาสยายลงมา ขับให้บ่าขาวผ่องยิ่งงดงามขึ้นไปอีก ราวกับมีแสงอ่อนๆ ส่องประกาย พาทำให้ใจคนสั่นไหว
มู่หรงฉือใจกระตุก เสียงไม่เหมือนฝีเท้าของหรูอี้ แล้วก็ไม่เหมือนของฉินรั่ว นางพลิกตัวกลับมาทันที ครั้นเห็นใบหน้าหล่อเหลาของผู้มาเยือนก็ถึงกับชะงักค้างไป!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้