เมื่อปลายนิ้วโบกสะบัด คมธนูที่แทงบนร่างของหลี่อวิ๋นหังพลันพุ่งออกไป เืสาดกระเซ็น ‘ปัง’ ร่วงหล่นไปทุกที่ ในเวลาเดียวกันเจียงเฉิงเยว่ท่องเคล็ดวิชาอย่างเงียบเชียบ มือหนึ่งโอบที่ไหล่ของอีกฝ่าย อีกมือหนึ่งกดปลายนิ้วที่ระหว่างคิ้วนั้น ก่อนที่คิ้วของหลี่อวิ๋นหังจะมีแสงกะพริบเล็กน้อยชั่วขณะ จากนั้นหายไป
“อาหัง” หลังจากกักิญญาของอีกฝ่ายไว้ในจุดหลิงไถ1 แล้ว เจียงเฉิงเยว่ยกแขนเสื้อที่ยังนับว่าสะอาดเช็ดคราบเืที่ยังไม่แห้งออกจากริมฝีปากนั้นอย่างอ่อนโยน ใบหน้าหล่อเหลาแต่ซีดเซียวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเืกว่าครึ่ง แทบมองไม่ออกถึงใบหน้าที่งดงามดังเดิม เจียงเฉิงเยว่ร้องไห้อย่างเศร้าโศก ลำไส้ ตับ หัวใจและปอดราวกับถูกบีบก็ไม่ปาน ภาพตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็สีดำ เขาบังคับให้ตนเองสงบลง กอดอีกฝ่ายแน่นอีกครั้งโดยไม่ยอมปล่อย เืของหลี่อวิ๋นหังจึงเปรอะเปื้อนชุดคลุมบนร่าง จากนั้นไหลลงบนพื้นตามร่างที่ซ้อนกันของทั้งสอง ไหลรินลงเป็แอ่ง ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าทั้งสองคนจมอยู่ในกองโลหิตซึ่งไหลไปตามช่องว่างของอิฐทั่วทุกทิศทาง ในเวลาเดียวกันสิ่งที่แผ่ขยายออกไปคือรัศมีสีแดงที่เขียนคาถาขึ้นด้วยตนเอง ไม่นานกลับก่อตัวเป็ค่ายกลรูปกลม ล้อมรอบทั้งสองคนไว้ตรงใจกลาง
เจียงเฉิงเยว่กอดหลี่อวิ๋นหังราวกับว่าพร้อมรวมเป็รูปปั้นด้วยกันกับอีกฝ่าย เขาใช้ร่างกายของตนเองให้ความอบอุ่น เฝ้ารออย่างเงียบงัน ไม่นานก็ได้ยินเสียงโซ่เหล็กส่งเสียงดังอึกทึกขึ้นมา ราวกับว่าอยู่ไกลและใกล้ ราวกับมีและไม่มี
หากมีมนุษย์าเ็ล้มตายมากเช่นนี้ย่อมมีผู้คุมิญญามารับิญญาโดยธรรมชาติ โดยที่ิญญาคนตายเ่าั้พลันลุกขึ้นอย่างมึนงง พร้อมกับที่ผู้คุมิญญากลุ่มหนึ่งมาถึงพอดี
เหล่าผู้คุมิญญามองดูเหตุการณ์อย่างสับสน ต่างงุนงงเล็กน้อย ไม่นานก็มีคนติดตามค่ายกลที่ทรงพลังมา มองเห็นเจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังอยู่ข้างกาย ผู้คุมิญญาทั้งหมดตกตะลึง เจียงเฉิงเยว่ไม่ได้ซ่อนลมปราณของตนเอง พวกเขาจึงจดจำได้อย่างรวดเร็ว รู้ว่านี่กลายเป็ปัญหาที่ยุ่งยากเสียแล้ว
มีสองคนดูเหมือนจะมีตำแหน่งค่อนข้างสูงก้าวออกมาข้างหน้า จากนั้นประสานมือแล้วเอ่ยเรียก “ใต้เท้า...ฉิงชางจวินใช่หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ยังคงโอบกอดหลี่อวิ๋นหังไว้ เขาเงยหน้าจ้องอีกฝ่ายเย็นเยียบ ไม่พูดมากความ “ไปเรียกตี้จวินมา!”
บรรดาผู้คุมิญญามองหน้ากัน
นอกจากนี้ ยังมีหนึ่งหรือสองคนที่มีแสดงความเป็มิตรกับเขาเล็กน้อย พูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุด “ฉิงชางจวิน ท่าน...เหตุใดจึงเป็เช่นนี้อีกแล้ว? สถานการณ์นี้ท่านไม่หลบหนีจากตี้จวินก็ช่างเถิด เหตุใดจึงต้องรีบร้อนไปทำให้เขาโกรธกัน?”
มีคนถามเขาอีกครั้ง “ิญญาของเด็กคนนั้นถูกกักไว้ในร่างของตนเองโดยฉิงชางจวินใช่หรือไม่? ฉิงชางจวินควรปล่อยเขาก่อน ปล่อยิญญาของเขาออกมาเถอะ”
ไม่รอให้พวกเขาเกลี้ยกล่อมอย่างเจ็ดปากแปดลิ้น2 ได้สำเร็จ ฉิงชางจวินไม่รับฟังแม้แต่น้อย เขาตวาดอย่างเ็า “เื่ของข้าไม่จำเป็ต้องให้ทุกท่านมากังวล! ไปเรียกตี้จวินมา!”
เมื่อเหล่าผู้คุมิญญาเห็นท่าทางที่แน่วแน่ของเขาจึงไม่อาจเกลี้ยกล่อมได้อีกต่อไป ผู้นำคนนั้นพยักหน้าโครงกระดูกของตนเอง จากนั้นมีแสงรัศมีกระพริบแวบหนึ่ง ก่อนที่จะมีการรายงานสถานการณ์ผ่านจิตไปยังปรโลก
เวลาผ่านไปไม่นานอย่างที่คาดคิด พื้นที่โล่งในลานห้อมล้อมไปด้วยควันสีดำ ก่อนที่อีกาสีดำจะบินอยู่ในอากาศแล้วควบแน่นเป็รูปร่าง เหล่าผู้คุมิญญารีบร้อนคุกเข่าลงไปยังควันสีดำนั้นอย่างเกรงขามพลางะโ “รับเสด็จตี้จวิน!”
เจียงเฉิงเยว่เงยหน้ามอง ในที่สุดควันสีดำก็รวมตัวเป็เงาร่างสูงใหญ่ อาภรณ์สีดำทั้งร่าง วัสดุของอาภรณ์เปล่งแสงเย็นะเืภายใต้แสงจันทร์ ค่อนข้างหรูหรา แววตาหนักแน่นและเคร่งขรึม เขายืนเอามือไพล่หลังอย่างภาคภูมิ ข้างกายคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาราวกับนักวิชาการในชุดคลุมสีคราม
ใบหน้าของาาฉินก่วงหมองคล้ำ คิ้วของเขาขมวดแน่นก่อนมองไปที่คนทั้งสองในค่ายกล
ริมฝีปากของเจียงเฉิงเยว่เอ่ยเรียกด้วยเสียงสั่นเครือ “ตี้จวิน”
เมื่อเสวียนชิงที่อยู่ข้างกายาาฉินก่วงเห็นเหตุการณ์นี้จึงลูบหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้ โดยเขารู้ว่าตี้จวินกำลังจะโกรธเกรี้ยวราวกับฟ้าร้อง ภายหลังเห็นเฉิงเยว่ดูย่ำแย่นักจึงรีบหันไปสั่งเหล่าผู้คุมิญญา “พวกเ้ากลับไปก่อน!”
เหล่าผู้คุมิญญารีบขานรับแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เจียงเฉิงเยว่วางหลี่อวิ๋นหังอย่างระมัดระวังไว้ตรงใจกลางค่ายกล ทั้งร่างอาบไปด้วยโลหิตอย่างดุร้าย ราวกับมนุษย์โลหิต เขาเดินออกจากใจกลางค่ายกลมาคุกเข่าข้างหนึ่งต่อหน้าาาฉินก่วงจนเกิดเสียง ‘ตุ้บ’ จากนั้นเงยหน้าขึ้นสูง พลางมองอีกฝ่ายด้วยน้ำตาคลอเบ้าแล้วเรียกอีกครั้ง “ตี้จวิน”
“เ้านับวันยิ่งเก่งกล้าขึ้นเสียจริง!” าาฉินก่วงพูดด้วยเสียงต่ำจนแทบจะกัดฟัน
เจียงเฉิงเยว่รีบเปลี่ยนจากคุกเข่าข้างเดียวเป็คุกเข่าทั้งสองข้าง จากนั้นยื่นมือออกไปจับชายเสื้อของาาฉินก่วง กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอี้น “เฉิงเยว่ละอายใจต่อตี้จวิน”
“ละอายใจ?” าาฉินก่วงแค่นเสียงอย่างเ็าแล้วเอ่ยด้วยความโกรธ “เ้ายังรู้ว่ามีสองคำนี้อยู่บนโลกนี้อีกหรือ? เ้าสาบานในปีนั้นว่าอย่างไร?”
เจียงเฉิงเยว่พูดซ้ำอย่างเศร้าโศก “จะไม่ทำร้ายชีวิตมนุษย์อีกเด็ดขาด”
าาฉินก่วงขมวดคิ้ว จากนั้นมองไปโดยรอบ “ข้าใช้ความพยายามมากเท่าใดเพื่อช่วยเ้าจาก์?! แล้วเ้าตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ?!” ถ้อยคำสองสามคำสุดท้ายเกือบจะคำรามด้วยความโกรธ ขณะที่พูดก็สะบัดมือ ทำให้เจียงเฉิงเยว่บินลอยออกไปกระแทกเข้ากับกำแพงในลานและป้อมปราการที่พังทลายอีกครั้ง ก่อนที่จะกระอักเืเป็ครั้งที่สอง
เจียงเฉิงเยว่กัดริมฝีปาก ไม่กล้าลุกขึ้นยืน เขาขยับร่างด้วยความยากลำบาก เช็ดคราบเืที่ริมฝีปาก คลานเข่าเข้าไปหาาาฉินก่วงสองสามก้าวแล้วคุกเข่าลงอีกครั้งอย่างเชื่อฟัง นี่เท่ากับเป็การตบหน้าเ้าแห่งปรโลก ดังนั้นไม่ว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะโกรธอย่างไร เจียงเฉิงเยว่ย่อมเข้าใจดี
ยังไม่ทันที่าาฉินก่วงจะเอ่ยอีก เสวียนชิงกลับกล่าวออกมา “ตี้จวิน...ร่างมนุษย์ที่ฉิงชางจวินอาศัยอยู่ในตอนนี้...เกรงว่าจะรับไม่ไหว...” เขายังไม่ทันกล่าวจบ าาฉินก่วงเข้าใจความหมาย หลังจากนั้นจึงโบกแขนเสื้อด้วยความไม่พอใจ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ลงมืออีกครา
เจียงเฉิงเยว่มองอย่างซาบซึ้ง เสวียนชิงสบตาเขาก่อนถอนหายใจเล็กน้อยแล้วส่ายศีรษะ โดยไม่จำเป็ต้องพูดอะไรอีก เจียงเฉิงเยว่เข้าใจความหมายนั้น นี่คือการบอกให้เขาอย่ากระทำบุ่มบ่าม ปากมาก และยั่วยุตี้จวินให้เกิดโทสะราวกับฟ้าร้องอีก
หลังจากเงียบไปเป็เวลานาน าาฉินก่วงจึงถาม “เ้าทำให้เกิดภัยพิบัติเช่นนี้...ยังใจกล้าไม่หลบหนีและเรียกข้ามา คิดหรือว่าข้าไม่สามารถทำอะไรเ้าได้?”
เจียงเฉิงเยว่รีบบอก “เฉิงเยว่รู้ว่าตนเองบาปหนา ไม่อาจให้อภัยได้ จึงไม่กล้าร้องขอการอภัยจากตี้จวิน แต่ขอให้ตี้จวินอนุญาตเฉิงเยว่ใช้ิญญาสังเวยเพื่อแลกกับชีวิตของเด็กคนนี้”
ไม่ไกลจากจุดที่เขาคุกเข่าอยู่ ณ ตอนนี้ ข้างกายคือศพของหลี่อวิ๋นหัง าาฉินก่วงกับเสวียนชิงเพ่งสายตาบนร่างของหลี่อวิ๋นหังที่นอนอยู่ใจกลางของค่ายกล
าาฉินก่วงยังไม่ทันพูดอะไร เสวียนชิงกลับะโ “ฉิงชางจวิน เ้าเลอะเลือนแล้วหรือ?! การชุบชีวิตนั้นขัดกับมรรคา์โดยแท้ เคล็ดวิชาคืนชีพทั้งหมดล้วนเป็เคล็ดวิชาต้องห้าม เ้าในฐานะเ้าเมืองอี้หลีและาาผีแห่งปรโลกไม่อาจปฏิบัติตนเป็ต้นแบบ จะทำลายเคล็ดวิชาต้องห้ามจำพวกนี้ก็ช่างเถอะ ไม่นึกเลยว่ายัง้ายุยงให้ตี้จวินฝ่าฝืนข้อห้ามด้วย?!”
เมื่อเจียงเฉิงเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะอย่างเ็าพลางกล่าว “เ้ายศเ้าอย่างโดยไม่จำเป็ กฎเกณฑ์นั้นคือของตาย แต่หากทำตามกฎเกณฑ์อย่างสมบูรณ์ ตอนนี้คงไม่ถึงตาให้ข้ามีชีวิตและมีหน้ามาคุกเข่าขอให้ตี้จวินเมตตาอยู่ที่นี่หรอก”
เสวียนชิงสูดลมหายใจเย็น าาฉินก่วงที่ถูกเขาทำให้โกรธจนเกือบหงายหลังซึ่งกำลังโกรธจัดแต่กลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน “หากพูดเช่นนี้ ยามนี้เ้ากำลังตำหนิว่าการที่ข้าไว้ชีวิตเ้าในคราแรกเป็การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างนั้นหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่เงยหน้าขึ้นบอก “ไม่! เฉิงเยว่ซาบซึ้งที่ตี้จวินลดโทษให้ในยามนั้น”
าาฉินก่วงถามกลับอย่างไม่เชื่อถือ “นี่คือการซาบซึ้งของเ้าที่มีต่อข้าหรือ?!”
เจียงเฉิงเยว่รีบโค้งคำนับอีกครั้งแล้วกล่าว “ยามแรกก่อนที่ตี้จวินจะผนึกข้า เคยบอกข้าว่าที่ไว้ชีวิตเพราะตี้จวินรู้สึกว่ามีบางอย่างให้อภัยได้เกี่ยวกับสถานการณ์ของข้า แม้ว่าตัวจะอยู่ในปรโลก แต่กลับมีกระดูกที่เป็รากเหง้าแห่งพุทธ ดังนั้นจึงทำเพียงริบพลังิญญาของข้าไปเก้าสิบส่วนจากร้อย ทำลายการบ่มเพาะ ถอดสองิญญาหกจิต และยังเหลือพลังชีวิตเสี้ยวหนึ่งไว้ให้ข้า ความเมตตานี้มีบุญคุณยิ่งนัก เฉิงเยว่จะกล้าลืมได้อย่างไร? ตี้จวินเคยขอให้ข้าสาบานว่าจะไม่ทำร้ายชีวิตของมนุษย์อีก เวลานี้ข้าได้ผิดคำสาบานต่อตนเองแล้ว ดังนั้นจึงเต็มใจที่จะถูกลงโทษ ทว่าก่อนถูกลงโทษ เฉิงเยว่้าหักล้างเพื่อตนเองสองสามประโยค ยามนั้นตี้จวินเคยบอกข้าว่าให้ข้าเรียนรู้ที่จะเมตตา เคารพสิ่งมีชีวิต แยกแยะถูกผิด...ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามตี้จวิน คำสาปจำพวก ‘คำสาปร้อยผีกลืนใจ’ ขัดต่อกฎ์หรือไม่?”
าาฉินก่วงกับเสวียนชิงต่างตกตะลึง ค่อยๆ กลับคืนสติ
เจียงเฉิงเยว่กล่าวอีกครั้ง “ข้าออกจากปรโลกมาร่างมนุษย์เพื่อทำลายคำสาปชั่วร้าย ปกป้องิญญาและช่วยชีวิตมนุษย์...นี่ไม่ใช่ความผิดกระมัง? มนุษย์เหล่านี้ถูกผู้อื่นบงการเป็เื่จริง แต่กลับลงมือกับผู้บริสุทธิ์อย่างโเี้ ข้าเพียงแค่ตอบโต้ ด้วยเหตุผลนี้ ข้าควรรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวหรือไม่? หากย้อนกลับมากล่าวถึงเด็กคนนี้ เขาเป็ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดึงไปพัวพัน หากไม่ใช่เพราะข้าคงไม่ต้องมาสิ้นชีวิตตรงนี้อย่างไม่มีสัญญาณเตือน ฉะนั้นข้าจึงอยากช่วยเขาในตอนนี้ เพียงเพื่อชดเชยความผิดที่ข้าทำนั้นไม่ถูกต้องหรือ? ข้าไม่ได้ขอร้องเพื่อตนเอง เพียงขอตี้จวินโปรดเมตตา อนุญาตให้ข้าได้ชดเชยความผิดของตนเองก่อนแล้วค่อยลงโทษ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมไม่ว่าตี้จวินจะลงโทษอย่างไร จะเป็การแยกิญญาก็ตาม เฉิงเยว่ขอชื่นชมด้วยใจจริง!”
หลังจากเจียงเฉิงเยว่กล่าวจบ เสวียนชิงถอนหายใจเป็อย่างแรก “ฉิงชางจวิน...เด็กคนนี้ตายไปแล้ว แต่ิญญาไม่แตกสลาย เหตุใดเ้าต้องหมกมุ่นอยู่กับเคล็ดวิชาคืนชีพ? เพียงกลับชาติมาเกิดเป็มนุษย์อีกครั้ง หากเ้ากับเด็กคนนี้มีวาสนาต่อกันจริง...ก็เหลือพลังิญญาของตนเองไว้สักนิด ท้ายที่สุดอาจยังได้พบกันอีก! เหตุใดเ้าต้องใช้ิญญาที่กระจัดกระจายของตนเองปิดกั้นหายนะของเขาในตอนนี้กัน?!”
เจียงเฉิงเยว่มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าโศกเศร้า กล่าวอย่างสะอึกสะอื้น “หากกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง เขาจะไม่ใช่หลี่อวิ๋นหังอีกต่อไป...ข้าได้รับบทเรียนมาแล้ว เพื่อที่จะเข้าใจหลักการเช่นนี้ ค่าตอบแทนที่ข้าจ่ายไปไม่พอหรือ?”
เสวียนชิงนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง
เมื่อเจียงเฉิงเยว่เห็นว่าาาฉินก่วงยังคงพิจารณาอยู่จึงรีบคลานเข่าไปข้างหน้า คว้าชายเสื้อนั้นอีกครั้งแล้วขอร้อง “ขอตี้จวินโปรดเมตตา!” กล่าวจบก็คำนับโดยหน้าผากแตะพื้น โขกศีรษะจนเกิดเสียง ‘ปังๆ ‘ ปากก็ส่งเสียงอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า “ขอตี้จวินโปรดเมตตา ขอตี้จวินโปรดเมตตา ขอตี้จวินโปรดเมตตา ขอตี้จวินโปรดเมตตา!”
าาฉินก่วงมองลงมา สบตากับเขาโดยไม่ขยับเขยื้อน เสวียนชิงอดไม่ได้ที่จะเ็ปใจ เขารู้จักเจียงเฉิงเยว่มาร้อยกว่าปี แต่ไหนแต่ไรก็มองว่าท่าทางที่เหลาะแหละของอีกฝ่ายแท้ที่จริงเป็พวกเอ้อระเหย อวดดี เอาแต่ใจ ชอบเสี่ยงอันตราย เป็คนรักศักดิ์ศรี จะคาดคิดได้อย่างไรว่าจะมี่เวลาที่มาวิงวอนอย่างต่ำต้อยเช่นนี้
“ตี้จวิน...” เสวียนชิงอดไม่ได้ที่จะมองไปทางาาฉินก่วงด้วยความวิงวอนอยู่หลายส่วน เ้าแห่งสามโลกผู้มีชื่อเสียงในเื่ซื่อตรงมีคุณธรรมผู้นั้นกลับเพียงขมวดคิ้วมุ่นแล้วหันหน้าหนี
เสวียนชิงอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายมาหลายร้อยปีจึงเข้าใจ เขาเข้าใจความหมายในทันที จึงรีบยื่นมือออกไปในอากาศเพื่อเปิดบันทึกหลัวเซิง ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ฉิงชางจวิน...เด็กคนนี้ไม่ได้เสียชีวิตกะทันหันในคืนนี้ แต่อายุขัยของเขาสิ้นสุดลงแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่ที่โขกศีรษะติดต่อกันมากกว่าสิบครั้งวิงเวียนจนตาพร่า ขณะที่หน้าผากมีความชื้นไหลลงมา ไม่ต้องััก็รู้ได้ว่าเืกำลังไหลทะลัก แต่เขากลับไม่สนใจที่จะเช็ดมัน เขาเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อถือและหันไปหาเสวียนชิงด้วยความใ “เป็ไปได้อย่างไร?! เป็ไปไม่ได้! เขาเพิ่งอายุสิบสี่...จะสิ้นอายุขัยได้อย่างไร?”
เสวียนชิงบอก “ ‘บันทึกหลัวเซิง’ มีบันทึกไว้ จึงไม่ใช่ของปลอมแน่...อืม นี่คือ?” เขายังไม่ทันพูดจบก็ดูเหมือนเห็นอะไรบางอย่างแล้วตกตะลึงไป
เจียงเฉิงเยว่รีบถาม “ทำไม?”
“เด็กคนนี้ ดูเหมือนว่าในทุกๆ ชาติจะไม่เคยมีชีวิตเกิน...” เสวียนชิงหลุดปากออกมาครึ่งประโยค จากนั้นมองาาฉินก่วงที่อยู่ข้างๆ แล้วปิดปากทันที ไม่กล่าวอีกต่อไป าาฉินก่วงมองกลับมาที่เขาอย่างโเี้ เสวียนชิงรู้ตัวว่าเผลอพลั้งปากไปจึงค่อยๆ ก้มศีรษะลง
เจียงเฉิงเยว่รีบร้อนจนเกือบจะลุกขึ้น ทว่าหลังจากที่ถูกาาฉินก่วงมองมา เขาชะงัก แข้งขาอ่อนจนลงไปคุกเข่าอีกครั้ง ค่อยๆ ยืดตัวตรงขึ้นมา
------------------------
[1] จุดหลิงไถ หมายถึง ฝังเข็มที่อยู่บนแนวกึ่งกลางสันหลัง และอยู่ร่องใต้ปุ่มกระดูกสันหลังอกที่ 6
[2] เจ็ดปากแปดลิ้น เป็สำนวน หมายถึง แย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์
