ทางฝั่งผู้าุโที่เฝ้ามองกลุ่มของหนิงอ้ายผ่านค่ายกลส่งภาพนี้ พวกเขาต่างล้วนอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นล่วงรู้ถึงแบบทดสอบในวันพรุ่งนี้จริงหรือไม่? เพราะหากเด็กหนุ่มทราบจริงนี่ออกจะเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยแล้ว
การทดสอบครั้งถัดไปเป็ท่านเ้าสำนักและท่านรองเ้าสำนักเป็ผู้ดูแลด้วยตนเอง เหล่าผู้าุโตอนนี้ต่างจ้องมองกลุ่มของหนิงอ้ายสลับไปมากับทางฝั่งของทั้งสองคนผู้สูงศักดิ์ในสำนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้…
"ให้ข้าเปิดเผยความลับ์ให้เช่นนั้นรึ? หากว่าเ้าสามารถหยุดพูดไปถึงหนึ่งเค่อข้าจักยอมทำนายให้แก่เ้าก็แล้วกัน..." ท่าทางของหนิงอ้ายที่แสดงออกมาช่างดูเหมาะสมกับ่วัยสิบห้าสิบหกยิ่งท่าทางหยอกล้อที่เต็มไปด้วยความสดใสทำเอาผู้ที่แอบเฝ้ามอง? ผ่านดวงตากลมโตสีแดงชาด อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ดูท่าแล้วตนคงต้องรีบไปพบเ้ากระต่ายน้อยของตนให้เร็วที่สุด
"หนิงอ้าย ไม่สิ!! เ้าเป็ใครกันสหายของข้าไม่เคยพูดเล่นเช่นนี้ ไม่นะ!! เอาสหายข้าคืนมา..." เมื่อเห็นเด็กหนุ่มส่งมาแบบนั้นแล้ว อี้หลินจึงทำการละเล่นตอบกลับไปใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า ท่ามกลางสายตาของลู่ซีและจินหั่วที่สายหัวกับสหายอายุน้อยทั้งสองของตน อีกทั้งพวกเขานั้นไม่คิดว่าหนิงอ้ายจะตลกร้ายได้เช่นนี้
โดยปกติแล้วอี้หลินมักจะเต็มไปด้วยความซุกซนและชอบพูดคุยไม่หยุดหย่อน ดังนั้นการที่จะให้คำตอบที่อีกฝ่าย้าทราบแต่ต้องแลกมากับความทรมานที่ไม่ได้พูดคุยสักชั่วครู่นี่ออกจะรังแกกันมากเกินไปแล้ว
"พรุ่งนี้จะมีแบบทดสอบอะไรพวกเราทั้งหมดย่อมผ่านการทดสอบอยู่แล้ว ตอนนี้ควรแยกย้ายกันไปพักผ่อนให้มากเพื่อเตรียมตัวรับมือในสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้เพื่อที่พวกเราจะได้ไม่เสียใจในภายหลัง..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นปลุกใจกับทุกคน แน่นอนว่าพวกเขานั้นต่างมองหน้ากันไปมาราวกับเป็การสัญญาว่าพวกเขานั้นจะต้องผ่านการทดสอบในวันพรุ่งนี้ไปด้วยกันให้ได้
วันเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะในตอนนี้ก็ถึงตอนเช้าของวันสุดท้ายของการทดสอบเข้าร่วมสำนักแล้ว พวกเขาทั้งสี่ต่างเฝ้ารอคอยว่าจะมีเพื่อนที่เป็ศิษย์ใหม่เพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ โดยเฉพาะต้าเฮยนั้นแสดงความตื่นเต้นซุกซนโดยการโผล่ส่วนหัวออกมาจากส่วนอกเสื้อของหนิงอ้ายพร้อมกับขยับไปมาไม่อยู่นิ่งจนหนิงอ้ายต้องดุไปหลายครั้งถึงจะกลับมาเงียบสงบได้
การกระทำของเด็กหนุ่มอยู่ในสายตาของอี้หลินและจินหั่วซึ่งทั้งสองคนต่างคิดว่าหนิงอ้ายดุเ้าตัวน้อยจนเกินไป อีกฝ่ายเป็เพียงเ้าตัวน้อยที่ซุกซนเพียงเท่านั้น เฮ้อ...ต้าเฮยนี่มีความสามารถให้ทุกคนต้องหลงรักจริง ๆ หนิงอ้ายคิดอยู่ในใจ
เช้าของวันนี้หนิงอ้ายได้ทำโจ้กหมูสับง่าย ๆ สำหรับมื้อเช้า ไข่ลวกก็เป็อีกสิ่งหนึ่งที่แปลกใหม่จนทำให้ทุกคนแตกตื่นเป็อย่างมาก รสชาติหวานนุ่มของไข่ที่ถูกลวกอย่างพอดีเมื่อทานคู่กันแล้วทำให้รู้สึกหวานนุ่มลิ้นอย่างลงตัว แน่นอนว่าสายกินอย่างอี้หลินถึงกับชมหนิงอ้ายอย่างไม่ขาดปาก ทางฝั่งของจินหั่วและลู่ซีเองถึงจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใดขึ้นมาแต่ว่าสีหน้าที่แสดงออกมาก็รู้สึกไปไม่ต่างกัน เมื่อทุกคนรู้สึกอิ่มท้องกันแล้วจากนั้นพวกเขาต่างจัดการธุระส่วนตัวและเก็บกวาดพื้นที่พักนี้ให้เรียบร้อยดังเดิมก่อนที่จะสำรวจความเรียบร้อยของตนอีกครั้งเป็ครั้งสุดท้าย
"พวกเราไปกันเถอะ เมื่อไปถึงแล้วคงมีผู้ที่ผ่านการทดสอบเพิ่มขึ้นเป็แน่..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าทุกคนเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะเดินนำทุกคนไปทางฝั่งประตูทางเข้าของสำนักที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
"เช่นนั้นพวกเราไปรออยู่บริเวณใกล้ ๆ ประตูทางเข้าสำนักแล้วกัน ไม่แน่ว่าหากมีอะไรเพิ่มเติมเราจะได้ทราบและเตรียมตัวก่อนได้ทัน..." อี้หลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
เพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อกลุ่มของหนิงอ้ายได้เดินมาถึงตรงประตูทางเข้าของสำนักในที่สุด ในตอนนี้บริเวณโดยรอบได้มีผู้ที่ผ่านการทดสอบที่กำลังยืนรออยู่อีกไม่กี่สิบคนเท่านั้น ดูคร่าว ๆ พอประมาณได้อยู่ที่สามสิบถึงสี่สิบคน จำนวนนี้นับได้ว่าไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เพราะว่าในบางปีนั้นก็มีผู้ผ่านการทดสอบเเรกเพียงไม่ถึงสิบคนก็มีให้เห็น
จำนวนผู้ผ่านการทดสอบแรกพวกเขาได้เห็นในตอนนี้แม้จะมีจำนวนมากก็จริง แต่หากเทียบกับจำนวนรุ่นเยาว์ผู้ฝึกตนในตอนแรกก่อนการทดสอบที่มีมากกว่าหลายร้อยคน กับสัดส่วนผู้ที่ผ่านการทดสอบที่เห็นนี้ เปรียบเทียบกันแล้วย่อมแสดงให้เห็นว่าการทดสอบของทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เื่ง่ายดายเลยสักนิด
"ปีนี้มีผู้ผ่านการทดสอบเพียงเท่านี้เช่นนั้นรึ??" จินหั่วเอ่ยขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเพราะก่อนเข้าร่วมการทดสอบมีจำนวนผู้ที่เข้าร่วมย่อมไม่ต่ำกว่าหลักร้อยคนขึ้นไป
"แสดงว่าพวกเขาล้วนเจอเหตุการณ์ประหลาดในการทดสอบไม่ต่างไปจากพวกเราใช่หรือไม่? เพราะไม่เช่นนั้นแล้วจำนวนผู้ผ่านการทดสอบย่อมมีมากกว่านี้แน่" อี้หลินเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ ให้ได้ยินเฉพาะเพียงพวกเขาเท่านั้นด้วยเพราะก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าจำนวนผู้เข้าร่วมนั้นมีมากมายกว่านี้หลายเท่า
"ข้าสังเกตเห็นกลุ่มรุ่นเยาว์ที่ถูกอำนาจสะกดใจของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะในก่อนหน้านี้ยังไม่เห็นพวกเขาเลยซักคน แสดงว่าพวกเขายังไม่ฟื้นคืนสติหรือยังเดินทางมาไม่ถึงอย่างนั้นรึ?” อี้หลินเอ่ยเสริมขึ้นเมื่อเห็นว่ากลุ่มผู้ฝึกตนที่พวกเขาได้ช่วยเหลือในเมื่อวานนี้ยังไม่ปรากฎให้เห็นเลยสักคน
"อำนาจสะกดใจของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะส่งผลโดยตรงต่อญาณััและการรับรู้ของร่างกาย แม้ว่าจะไม่มีผลกระทบในเส้นทางฝึกตนในวันข้างหน้าก็จริง แต่ว่าด้วยระดับพลังิญญาของพวกเขาที่เป็เพียงระดับขุนนางิญญาขั้นต้นย่อมทำให้ร่างกายฟื้นคืนได้ช้ากว่าปกติก็ไม่ผิดแปลกอันใด..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นให้กับทุกคนได้รับรู้ตามที่เนตรแห่ง์ได้ส่งข้อมูลมาให้แก่ตน เพื่อให้ทุกคนได้คลายสงสัยในเื่นี้
"อย่ามัวแต่คาดเดาอยู่เลยเช่นนั้นก็ไปสอบถามผู้ผ่านการทดสอบคนอื่นกันเถอะเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มขึ้น" จินหั่วเอ่ยขึ้นมาด้วยเพราะตนนั้นก็อยากรู้ไปไม่ต่างกันก่อนที่ทุกคนนั้นจะพยักหน้าตกลงในความคิดเห็นนี้
ก่อนที่กลุ่มของหนิงอ้ายนั้นจะเดินไปยังมุมหนึ่งที่ตอนนี้มีชายหนุ่มอายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดปีจำนวนสามคนกำลังยืนอยู่ด้วยท่าทางนิ่งสงบ ใบหน้าของทั้งสามคนเรียบเฉยไม่ปรากฎคลื่นอารมณ์ใด อีกทั้งกลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นทำให้รับรู้ได้ว่าทั้งสามคนนี้เป็หนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนที่พลังิญญาแข็งแกร่งที่หนิงอ้ายได้เคยบอกไว้ก่อนหน้าเป็แน่
"คุณชายทั้งสามต้องขออภัยที่รบกวน ท่านพอทราบหรือไม่ว่าเหตุใดจึงมีผู้ผ่านการทดสอบเพียงไม่กี่สิบคนเช่นนี้??" ลู่ซีเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มพร้อมกับโค้งตัวตามมารยาทของผู้ฝึกตน
"ข้าไม่แน่ใจสักเท่าไหร่นัก แต่ดูเหมือนว่ามีผู้ฝึกตนไม่น้อยที่เผลอไปด้วยค่ายกลบางอย่างจึงทำให้ถูกพาไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเทือกเขาเร้นลับอสูร ด้วยเวลาเพียงเท่านี้จึงยังเดินทางมาไม่ถึงอีกเป็จำนวนมาก..." ชายหนุ่มที่ตัวโตที่สุดได้เอ่ยตอบไปพร้อมกับมองสำรวจกลุ่มของหนิงอ้าย
"เหตุใดเ้าไม่บอกพวกเขาไปเล่าว่าเป็เพราะใครกัน ฮ่าฮ่าฮ่า" ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยเสริมขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมา
"..." กลุ่มของหนิงอ้ายต่างนิ่งเงียบรอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ
"ข้ามักจะทดลองสร้างยันต์ค่ายกลเอาไว้ใช้ในบางโอกาส แต่ด้วยเพราะยังขาดความแม่นยำหลายส่วน นอกจากนั้นมีกลุ่มของผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่ที่ตามมาอย่างกระชั้นชิด ข้านึกว่าพวกเขาเป็ศัตรูจึงเผลอใช้ค่ายกลที่ข้าสร้างยังไม่เสร็จดีเคลื่อนย้ายพวกเขาไป..." ชายหนุ่มที่มีนามว่าอู๋ฮั่นเอ่ยขึ้นด้วยความจำนน
"ฮ่าฮ่าฮ่า..." เสียงของกลุ่มของหนิงอ้ายและชายหนุ่มทั้งสามคนต่างมองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
"ถ้าให้ข้าเดา ยันต์เคลื่อนย้ายของเ้าคงขาดเื่ความแม่นยำและอักขระกำกับหลักไม่เช่นแล้วคงไม่ออกมาเช่นนี้ หากแก้ไขโดยการใช้อักขระกำกับให้ถูกต้องปัญหานี้ย่อมหายไปอย่างแน่นอน..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกับวิเคราะห์ออกมา
"ดูเหมือนจะเป็เช่นนั้น เพราะศาสตร์แห่งค่ายกลเป็ข้าที่แอบศึกษาเองโดยไม่มีใครรับรู้เพราะตระกูลของข้าไม่สนับสนุนในด้านนี้จริงสิ!!!เ้าสามารถวิเคราะห์ได้เช่นนี้แสดงว่าเ้าก็สนใจด้านนี้เช่นกันใช่หรือไม่??" ชายหนุ่มนามว่าอู๋ฮั่นเอ่ยขึ้นด้วยความกระตือรือร้นเมื่อเห็นว่ามีผู้ที่สนใจในด้านเดียวกัน
"ข้าสนใจศาสตร์แห่งค่ายกลเช่นกัน จริงสิ! ข้าชื่อลู่ซีแล้วพวกเ้าเล่า??" ลู่ซีตอบกลับไปพร้อมกับแนะนำตัวเองไปให้ทั้งสามคนได้รับรู้
"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน อู๋ฮั่นเป็นามของข้าเ้าคงทราบไปแล้ว..." อู๋ฮั่นเอ่ยแนะนำตัวอย่างเป็ทางการอีกครั้ง
"ข้าชื่ออี้หลิน ยินดีที่ได้รู้จักพวกเ้านะหวังว่าหลังจากนี้เราจะเป็สหายด้วยกันได้" อี้หลินแนะนำตัวตอบกลับไป
"ส่วนข้าชื่อจินหั่ว ยินดีที่ได้รู้จักพวกเ้าเช่นกัน..." จินหั่วแนะนำตัวพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กน้อยตามแบบฉบับของเ้าตัว
"ยินดีที่ได้รู้จักพวกท่านทั้งสามคนข้ามีนามว่าหนิงอ้ายเราเคยพบเจอกันก่อนหน้าจำได้หรือไม่??" หนิงอ้ายแนะนำตัวพร้อมกับถามกลับชายหนุ่มทั้งสามคนไปเช่นกัน
"ข้าย่อมจดจำได้อยู่แล้วข้ามีนามว่าจ้าวหลาน ฝีมือของเ้าไม่ธรรมดา..." จ้าวหลานเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปยังทุกคนที่อยู่ตรงหน้าแน่นอนว่าคำพูดสุดท้ายนั้นเขาจงใจพูดกับหนิงอ้ายโดยเฉพาะ ด้วยเพราะลึก ๆ แล้วเขาััได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่เห็นภายนอกยิ่งนัก
"เหตุใดจะจำไม่ได้กันนามของข้าคือหลี่ซวง ไม่คิดว่าเ้าสามารถผ่านการทดสอบมาถึงที่นี่ได้เช่นกันนับถือ นับถือ..." หลี่ซวงเองเมื่อทักทายทุกคนกลับไปแล้วจึงตอบกลับเฉพาะกับหนิงอ้าย เพราะเขาเองก็ััได้ไปไม่ต่างจากจ้าวหลานว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีบางสิ่งอย่างที่ไม่ธรรมดาสามัญ
"อย่าเรียกพวกข้าว่าท่านชายเลย ไหน ๆ พวกเราต่างเป็สหายแล้วเช่นนั้นก็เรียกเพียงแต่ชื่อจะดีกว่า..." อู๋ฮั่นเอ่ยขึ้นตอนนี้พวกเขาต่างเป็สหายกันแล้ว ท่าทีหรือคำเรียกที่ห่างเหินเช่นนั้นควรปัดตกไปเสีย
"ความจริงยังมีอีกคนที่ข้าอยากให้พวกเ้าได้รู้จัก นี่คือต้าเฮยสัตว์เลี้ยงของข้า..." จบคำกล่าวของหนิงอ้าย ต้าเฮยที่อยู่ในอกเสื้อได้ชูคอขึ้นพร้อมกับดวงตาสีแดงชาดได้มองสำรวจชายหนุ่มทั้งสามคนไปครู่ใหญ่ ท่าทางเช่นนี้ชวนให้ชายหนุ่มทั้งสามคนที่อาจจะไม่ละเอียดอ่อนมากนักยังรู้สึกเอ็นดูเ้าตัวน้อยนี้ได้อย่างไม่ยากนัก
จากนั้นนิ้วชี้ของทั้งสามคนจะมีรอยแผลกัดเล็ก ๆ ก่อนที่จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าความรวดเร็วเช่นนี้ต่อให้พวกเขาทั้งสามคนที่ตอนนี้เป็ถึงผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิิญญาขั้นกลางแล้วยังไม่สามารถตรวจจับความเร็วเช่นนี้ได้ ดูท่าแล้วเ้าอสรพิษตัวน้อยคงไม่ธรรมดาสามัญไม่ต่างไปจากหนิงอ้ายอย่างแน่นอน
"ไม่ต้องใไป ต้าเฮยเพียงแฝงปราณธาตุพิษต้นกำเนิดให้พวกเ้าเท่านั้น วันข้างหน้าหากพวกเ้าต้องพิษสิ่งนี้จะสามารถช่วยพวกเ้าได้..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะสั่งการให้วิหคสอดแนมขยายเขตพื้นที่การรับรู้โดยรอบ
"นี่มัน..." ชายหนุ่มทั้งสามคนเอ่ยขึ้นพร้อมกันในทันที แต่ยังคงไร้ซึ่งเสียงใดเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินคล้ายกับว่าไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
"ฮ่าฮ่าฮ่า ก่อนหน้านี้ทั้งข้าและจินหั่วก็รู้สึกเช่นนี้อีกหน่อยพวกเ้าก็ชินเชื่อข้าสิ ต้าเฮยนี่ช่างน่ารักยิ่ง... " อี้หลินเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาก่อนที่คนคลั่งรักต้าเฮยอย่างอีกฝ่ายจะเอ่ยชมเ้าตัวน้อยไม่หยุด
"ขอบคุณเ้าเช่นกันนะต้าเฮย เ้าช่างมีน้ำใจเสียจริง" เป็จ้าวหลานที่ตั้งสติได้แล้วจึงเอ่ยขอบคุณกับอีกฝ่ายด้วยความซึ้งใจ
"ขอบใจเ้ามากนะต้าเฮย หวังว่าข้าจะได้ตอบแทนเ้าในสักวันนะ" อู๋ฮั่นบอกกับเ้าตัวน้อยด้วยความจริงใจ
"เอาไว้ข้าจะหาของอร่อย ๆ มาฝากเ้าแล้วกัน" หลี่ซวงเอ่ยเสริมขึ้น เขารู้ว่าปราณธาตุพิษต้นกำเนิดที่พวกเขาได้รับเข้ามาในร่างกายนั้นล้ำค่ามากมายเพียงใด
"แสดงว่ามีผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งที่โดนลูกหลงจากยันต์ของอู๋ฮั่น ส่วนหนึ่งก็เป็ผู้ฝึกตนที่พวกเราได้พบเจอในเมื่อวานและคนอื่น ๆ คงไม่ผ่านการทดสอบที่สำนักได้จัดเตรียมขึ้นหรืออาจมีไม่น้อยเช่นกันที่ไม่สามารถผ่านด่านการทดสอบของธรรมชาติได้..." ลู่ซีสรุปขึ้นเมื่อนึกถึงความเป็ไปได้กับเหตุผลนี้ เพราะหากนับจำนวนรวมกันแล้วก็เป็หลักร้อยคนเช่นกัน
"แต่ถึงอย่างนั้นก็มีจำนวนไม่น้อยที่สามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้ ย่อมแสดงว่าพวกเขาย่อมเป็ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!!" หลี่ซวงเอ่ยขึ้นเสริมขึ้น
"ข้าอยากประลองกับพวกเขายิ่ง อยากจะรู้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งมากเพียงใด??" จ้าวหลานที่เอ่ยขึ้นด้วยความสนุกเพราะเขาชื่นชอบการประลองต่อสู้เป็อย่างมาก
พวกเขาที่ตอนนี้รวมตัวกันเป็กลุ่มใหญ่แล้ว ยังคงพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องเพื่อแลกเปลี่ยนแิและเื่ที่ตนสนใจ ทำให้พวกเขาได้รับรู้และแลกเปลี่ยนเื่ราวที่เกิดขึ้น แต่ละเื่ราวที่พวกเขาได้เเลกเปลี่ยนกันต่างเป็หัวข้อที่พวกเขาได้พูดคุยกันเพิ่มเติม ประมาณว่าหากตัวของพวกเขาเองต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนั้นจะมีวิธีการรับมืออย่างไร
ในที่สุดเวลาก็ได้มาถึงยามอู่เป็กำหนดเวลาสุดท้ายที่ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้เป็ผู้กำหนดขึ้นในการทดสอบเข้าร่วมสำนักในครั้งนี้ หากประมาณการเพียงสายตาก็จะพบว่ารุ่นเยาว์ชายหญิงผู้ฝึกตนที่เดินทางมาถึงประตูทางเข้าของสำนักมีอยู่ประมาณห้าสิบกว่าคน จำนวนดังกล่าวนี้นับได้ว่าเป็จำนวนที่มากที่สุดในรอบหลายร้อยปีเลยทีเดียว
สำหรับสำนักศึกษาทั่วไปโดยเฉพาะอีกสี่สำนักศึกษาใหญ่ที่เหลือ กล่าวว่าในแต่ละปีที่ได้มีการเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสำนักต่างมีจำนวนไม่ต่ำกว่าหลักร้อยทั้งสิ้น มีเพียงสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์นี้ที่ไม่ได้เน้นจำนวนแต่เน้นคุณภาพของศิษย์ใหม่เสียมากกว่า อาจกล่าวได้ว่าสำนักศึกษาแห่งนี้เป็ศูนย์รวมของรุ่นเยาว์แปลกประหลาดที่มากไปด้วยพร์อย่างแท้จริงก็คงไม่เกินจริงไปนัก ด้วยเพราะการันตรีด้วยศิษย์ในสำนักที่จบการศึกษาไปที่ในตอนนี้ต่างมีชื่อเสียงในโลกยุทธภพ อาจจะมีจำนวนมากกว่าอีกสี่สำนักศึกษาที่เหลือเสียด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนว่าหากผู้ฝึกตนคนใดที่อยู่ในสังกัดของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ ย่อมถูกปฏิบัติด้วยความนับถือเป็อย่างยิ่ง…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้