เยียนชิงหลัวนั่งนิ่งอยู่ในรถม้า มือของนางยังกำชายเสื้อแน่น ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ยังติดอยู่ในตา นางไม่เคยเห็นใครที่สามารถจัดการกับกลุ่มโจรได้อย่างง่ายดายเช่นนี้มาก่อน
ขณะที่ซูเอ๋อร์จัดขาวของในรถม้า นางก็พูดขึ้นมาลอยๆ “พวกนั้นซวยจริงๆ ที่บังเอิญมาปล้นขบวนขนสินค้าของนายท่านมู่หรง”
เยียนชิงหลัวสะดุ้งเล็กน้อย นางหันไปมองซูเอ๋อร์ทันที “มู่หรง?”
ซูเอ๋อร์หันมามองนางด้วยความแปลกใจ “เ้ารู้จักชื่อนี้หรือ?”
เยียนชิงหลัวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพึมพำกับตัวเอง “ข้าเคยได้ยิน…ชื่อมู่หรง…”
นางเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉายแววสับสนก่อนเปลี่ยนเป็ตกตะลึง
“ข้าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน” นางเอ่ยเสียงเบา “เขาคือพ่อค้าที่มีอิทธิพลที่สุดในแคว้นหลิวและแคว้นเยียน…”
ซูเหวินที่นั่งอยู่อีกด้านหัวเราะเบาๆ “ใช่แล้ว นายท่านมู่อายุเพียงแค่ยี่สิบปี เขาใช้เวลาในสามปีขยายกิจการจนมีอำนาจครอบคลุมเกือบเมืองหลวงหลิวและเยียน ค้าขายทุกอย่างั้แ่ผ้าไหม อาวุธ ไปจนถึงข้อมูลลับ”
เยียนชิงหลัวทอดมองออกไปนอกรถม้า นางมองแผ่นหลังกว้างของมู่หรงที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้า
‘ข้าเคยคิดว่าเขาเป็เพียงพ่อค้าที่ฉลาดและมีอำนาจ แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะ…รูปงามถึงเพียงนี้…และแข็งแกร่งถึงเพียงนี้’
ในความคิดของเยียนชิงหลัวพ่อค้าควรเป็เพียงคนที่เก่งเื่การค้าและเจรจาต่อรอง แต่บุรุษผู้นี้กลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เขาไม่เพียงแต่ร่ำรวย
‘ชายผู้นี้…เป็บุคคลที่อันตรายยิ่ง’
นางเม้มริมฝีปากแน่น ในใจไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า บุรุษที่ชื่อ “มู่หรง” นั้น ช่างเหนือกว่าทุกสิ่งที่นางเคยคาดคิดไว้
..
ขบวนเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงในยามดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าทอแสงสีส้มแดงเหนือกำแพงเมืองสูงตระหง่าน ผู้คนในเมืองต่างเร่งรีบเดินทางกลับบ้าน
เยียนชิงหลัวนั่งอยู่ในรถม้าดวงตาของนางจับจ้องภาพเบื้องนอกด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เมืองหลวงแห่งนี้คือความหวังสุดท้ายของนาง ที่นี่…อาจมีคนที่สามารถช่วยนางได้
เมื่อรถม้าจอดสนิท นางสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเปิดม่านออกแล้วก้าวลงไปยืนอยู่กลางถนน ผู้คนเดินสวนกันไปมาแต่ดวงตาของนางกลับจับจ้องเพียงบุรุษร่างสูงที่อยู่เบื้องหน้า
มู่หรงก้าวลงจากหลังม้า ขณะที่ซูเหวินและซูเอ๋อร์กำลังสั่งให้ลูกน้องจัดเก็บสัมภาระ
เยียนชิงหลัวเดินเข้าไปยืนตรงหน้ามู่หรง ก่อนจะโค้งตัวลงเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขาด้วยแววตามุ่งมั่น
“ข้าต้องขอขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าและให้ข้าเดินทางมาด้วย” นางเอ่ยเสียงเรียบ “แต่หลังจากนี้ ข้าคงต้องแยกทาง”
ซูเอ๋อร์ที่กำลังรื้อข้าวของชะงักไปก่อนหันมามองนางอย่างใ “จะไปแล้วหรือ? เ้ารู้จักใครที่นี่หรือ?”
เยียนชิงหลัวพยักหน้าเบาๆ “ข้ามีญาติอยู่ที่นี่”
มู่หรงมองนางด้วยแววตานิ่งสนิท ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากริมฝีปากของเขา
เยียนชิงหลัวรู้ดีว่าชายผู้นี้ไม่เคยสนใจว่านางจะอยู่หรือตาย และนั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกโล่งใจ เพราะมันหมายความว่าเขาจะไม่ตามสืบว่านางเป็ใคร
“ขอให้เดินทางปลอดภัย” นางกล่าวทิ้งท้ายก่อนหมุนตัวเดินหายไปท่ามกลางฝูงชน
เยียนชิงหลัวเดินฝ่าผู้คนไปตามตรอกเล็กๆ นางรู้ดีว่าการมีเงินในมือคือสิ่งสำคัญที่สุดในการเอาตัวรอด
มือของนางกำแน่นรอบกำไรหยกชิ้นหนึ่งและทองสองก้อนที่นางขโมยมาได้จากกระเป๋าที่ซูเอ๋อร์วางทิ้งไว้ในรถม้า
‘ขอโทษด้วย’ นางคิดในใจ
นางไม่ได้อยากเป็ขโมยแต่ในเมื่อพวกเขามีมากมาย ขณะที่นางไม่มีอะไรเลย สิ่งนี้จึงเป็เพียงหนทางเดียวที่นางจะสามารถทำได้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อ
เยียนชิงหลัวกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้นแล้วรีบเร่งฝีเท้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้