อายุ 20 ปี เธอเพิ่งจะเรียนปีสอง
พอจบการศึกษา เธอก็เพิ่งอายุ 23 ปี
แต่งงานตอนอายุ 23 ปีหรือ? เธอยังมีหน้าที่การงานของตนเอง อีกทั้งยังอยากเล่าเรียนหาความรู้ บางทีอาจจะเลือกศึกษาต่อต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้ล้วนคือเื่ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ เก็บหนึ่งชีวิตได้โดยเปล่า เหตุใดไม่ใช้ชีวิตเพลิดเพลินกับวัยเยาว์อย่างเต็มที่เล่า ด้วยประสบการณ์จากชาติก่อนของเธอนี้ เพียงไม่นานคงได้ลิ้มลองเดินทางไปสู่จุดสูงของชีวิตแน่นอน จะให้แต่งงานไว จากนั้นถูกผูกมัดด้วยธุระและความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานอดสั่นสะท้านไม่ได้ นี่ไม่ใช่ชีวิตที่เธอ้า
โจวเฉิงรู้สึกไม่เข้าใจอย่างยิ่ง “เธอไม่อยากแต่งงานกับฉันหรือ? การแต่งงานคือความสัมพันธ์ของเราสองคนจะถูกต้องตามกฎหมาย เธอเป็ภรรยาฉัน เธอก็สามารถค้างคืนในหน่วยงานฉันได้! นี่มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉันยังคงดีต่อเธอเหมือนเดิม หรือมีโอกาสดีต่อเธอมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ... ถ้าเธอกังวลว่าครอบครัวฉันจะคัดค้าน ฉันจะจัดการเื่พวกนี้ให้เรียบร้อย ไม่มีทางทำให้เธอต้องเหนื่อยใจแม้แต่นิดเดียว และจะไม่ทำให้เธอต้องน้อยเนื้อต่ำใจ!”
การคบหาดูใจมิใช่เพื่อการแต่งงานหรอกหรือ
พอแต่งงานเรียบร้อยเขาก็สามารถโอบภรรยาได้อย่างเปิดเผย กอดจูบได้ ร่วมเรียงเคียงหมอนได้ ดูแลเธอได้ แต่งตัวหวีผมให้เธอได้ มอบเงินของตนเองให้เธอทั้งหมดได้ โจวเฉิงคาดหวังที่จะแต่งงานกับเซี่ยเสี่ยวหลานมากจริงๆ อยากอยู่ใกล้เธอตลอดเวลา เขียนชื่อลงบนทะเบียนสมรส จวบจนแก่เฒ่าก็จะฝังไว้ในหลุมศพเดียวกัน บนป้ายหลุมศพสลักชื่อของทั้งสอง ไม่พรากจากกันแม้สิ้นชีพแล้ว!
เซี่ยเสี่ยวหลานพินิจเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ใบหน้านี้ช่างอ่อนเยาว์และหล่อเหลา
จากมุมมองความสัมพันธ์ชายหญิง หัวใจของโจวเฉิงไม่แปดเปื้อนฝุ่นผงธุลีเลยแม้แต่นิดเดียว
ในดวงตาของเขามีเพียงเซี่ยเสี่ยวหลาน ทั้งหัวใจก็คือเธอเช่นกัน
แล้วเซี่ยเสี่ยวหลานชอบโจวเฉิงไหม?
ชอบสิ!
แต่เธอไม่ได้วางความสัมพันธ์ชายหญิงไว้อันดับหนึ่ง เธอคิดว่าโลกใบนี้น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เธออยากใช้วัยรุ่นออกไปลองเสี่ยง ออกไปลองดู! ความเข้าใจต่อการคบหาของเธอและโจวเฉิงไม่ได้ผิด แค่จังหวะไม่พร้อมเพรียงกัน เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เคยคิดจะแต่งงานไวขนาดนั้น โดยเฉพาะการกลายเป็ภรรยาของโจวเฉิง เธอยังไม่ได้เตรียมตัวพร้อมสำหรับการเป็ครอบครัวนี่นา
ในเื่นี้ โจวเฉิงค่อนข้างสื่อสารด้วยยาก
บอกไม่ได้ว่าใครผิด แค่ทัศนคติของทุกคนไม่เหมือนกัน นี่เป็ความแตกต่างของแต่ละบุคคล เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อาจรีบร้อนหาว่าความคิดของโจวเฉิงเป็ความผิด
เธอครุ่นคิดสักพัก และตัดสินใจอธิบายละเอียดขึ้นให้โจวเฉิงฟัง
“โจวเฉิง ฉันอาจจะสมัครสอบเข้าเรียนสถาปัตย์ ถ้าฉันไปเรียนที่เซี่ยงไฮ้ ฉันก็สามารถเลือกมหาวิทยาลัยถงจี้ได้ แต่เธออยู่ปักกิ่ง ดังนั้นฉันจะเลือกมหาวิทยาลัยของปักกิ่ง ดีที่สุดก็ต้องเป็คณะสถาปัตยกรรมของมหาวิทยาลัยหัวชิง หัวชิงย่อมสอบเข้ายากกว่าถงจี้อยู่แล้ว ฉันเองก็ไม่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่เพราะเธออยู่ที่นี่ ฉันจึงยินดีที่จะลองดู... ถึงอย่างนั้นนี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะต้องรีบแต่งงาน ความรักคือความรัก การแต่งงานคือการแต่งงาน จะจับทั้งสองอย่างปนเปกันไม่ได้ สิ่งที่ฉันคิดตอนนี้คือต้องเรียนมหาวิทยาลัยให้จบก่อน ความสัมพันธ์ของพวกเราจะพัฒนาไปตามธรรมชาติ และในวันที่เงื่อนไขพร้อมสรรพ ค่อยมาพิจารณาว่าจะเปลี่ยนจากคู่รักเป็สามีภรรยาหรือไม่”
เซี่ยเสี่ยวหลานระมัดระวังต่อการแต่งงานมาก การแต่งงานไม่ได้มีเพียงความรัก มันเหมือนกับหนังสือสัญญาฉบับหนึ่งที่ชายหญิงสองฝ่ายลงชื่อหลังพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว ไม่สิ บอกว่าหนังสือสัญญาก็กระด้างเกินไป เหมือนพันธสัญญาหนึ่งฉบับมากกว่า เมื่อลงชื่อแล้วกลับคำภายหลัง ต่างฝ่ายต่างต้องเ็ปรวดร้าว
นี่คงเป็ความแตกต่างระหว่างเธอกับโจวเฉิง
พื้นเพครอบครัวและการเติบโตมีอิทธิพลต่อคนคนหนึ่งลึกซึ้งกว่าที่เธอคิด เนื่องจากบิดามารดาด่วนจากไป ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่น เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เคยััถึงบรรยากาศครอบครัวที่สมบูรณ์กลมเกลียว เธอปรารถนาครอบครัว ทว่าหวั่นกลัวการสร้างครอบครัวอย่างขอไปทีด้วยเช่นกัน
โจวเฉิงนั้นไม่เหมือนเธอ ครอบครัวของโจวเฉิงดีพร้อม ในเส้นทางการเติบโตของเขามีความมั่นใจมากเป็พิเศษ
ชอบใครสักคนก็แต่งงาน การแต่งงานสำหรับโจวเฉิงช่างง่ายดายเหลือเกิน นี่คือความมั่นใจของเขา... เขาไม่กลัวว่าความสัมพันธ์ของคนสองคนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่กลัวว่าชีวิตแต่งงานอาจล้มเหลว เพราะเขามีความมั่นใจในตนเอง เขาเป็คนกล้าได้กล้าเสีย!
พอคิดเช่นนี้ เหมือนจะไม่ยุติธรรมต่อโจวเฉิงนัก แต่เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงตัดสินใจพูดความคิดที่แท้จริงของตนออกไป
เห็นได้ชัดว่าโจวเฉิงคาดไม่ถึง
เขาคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานคิดซับซ้อนเกินไปโดยไม่จำเป็ เื่ง่ายๆ ทำไมต้องทำให้ซับซ้อนถึงขนาดนี้กัน?
คนอื่นแค่พบกันครั้งเดียวก็แต่งงานได้แล้ว เขาและเสี่ยวหลานไม่ได้รู้จักกันผ่านการแนะนำดูตัวเสียหน่อย ทั้งสองคนชอบพอกัน เขาไม่ขัดสนเงินเลี้ยงดูภรรยา ความรู้สึกดีก็มีให้ ไม่ขาดแคลนทรัพย์สิน ทำไมแต่งงานไม่ได้?
โจวเฉิงรู้ดี เขาเปลี่ยนแปลงความคิดของเซี่ยเสี่ยวหลานภายในเวลาสั้นๆ ไม่ได้ ระหว่างเขาและเซี่ยเสี่ยวหลานเกิดความเห็นที่ขัดแย้งกัน
เขาย่อมรู้สึกไม่ดีแน่นอน
ทว่าทั้งสองทะเลาะกันไม่ได้น่ะสิ การทะเลาะเบาะแว้งจะทำให้เื่ราวยิ่งย่ำแย่ โจวเฉิงไม่ใช่ว่าไร้ซึ่งความขุ่นเคือง เขาแค่คิดว่าชายอกสามศอกไม่ควรต่อล้อต่อเถียงในเื่เล็กๆ น้อยๆ กับสุภาพสตรี ความคิดของเซี่ยเสี่ยวหลานโน้มน้าวเขาไม่ได้ เขายังคิดว่าจะแต่งภรรยาเข้าบ้านโดยเร็วที่สุดอยู่ดี
โอกาสวันนี้ไม่เหมาะเจาะเอาเสียเลย โจวอี๋พาต่งลี่ลี่มาปรากฏตัว ทำลายค่ำคืนอันงดงามนี้
โจวเฉิงโอบกอดเซี่ยเสี่ยวหลาน “สิ่งที่เธอพูดฉันจะลองคิดดูแน่ นี่มันไม่เหมือนกับที่ฉันคิด เธอต้องให้เวลาฉันได้ไตร่ตรองหรือเปล่า? เด็กดี พวกเราอย่าทะเลาะกันเลย อีกเดี๋ยวฉันก็จะเรียกคังเหว่ยมาพาฉันกลับหน่วยงาน เจอกันคราวหน้าคงเป็หลังเธอสอบเกาเข่า ฉันค่อยพาเธอไปกินอะไรกัน ดีหรือไม่?”
อีคิวของโจวเฉิงไม่ต่ำ สถานการณ์แบบไหนควรพูดอย่างไร เขาจะไม่รู้เชียวหรือ?
เขารู้ดียิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น!
ทว่าเมื่อก่อนเขาไม่คิดจะทุ่มเทกำลังเพื่อไปปฏิบัติดีต่อผู้ตามติดคนอื่นๆ จนกระทั่งพบเซี่ยเสี่ยวหลาน นี่คือหญิงสาวที่เขาชอบ ทั้งปลอบโยนทั้งตามใจ เขายินดีหมดนั่นแหละ!
คังเหว่ยและเส้ากวงหรงยืนอยู่ห่างไกลไม่เดินเข้ามา ตอนแรกทั้งสองคนราวกับจะทะเลาะกัน ทว่าไฟาก็สงบลงเสียแล้ว
คังเหว่ยรู้สึกแสบร้อนในดวงตา [1]
อย่าตกหลุมพรางว่าเซี่ยเสี่ยวหลานพูดจาอ่อนหวานรื่นหูเชียว นั่นคือภาพลวงทั้งนั้น คังเหว่ยรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าคนที่ยอมก้มหัวต้องเป็โจวเฉิงแน่นอน—นึกถึงเื่ราวตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา พี่เฉิงจื่อของเขาสุดยอดขนาดไหน เกิดมาพรั่งพร้อมอีกทั้งสุดยอดด้วยตนเอง พอเจอเซี่ยเสี่ยวหลาน ความเยือกเย็นของชายหนุ่มผู้ไม่หวั่นไหวต่อเสน่ห์นางก็ถูกละทิ้งจนเกลี้ยง
การมีความรักน่ากลัวเหลือเกิน ทำให้คนคนหนึ่งขาดหลักการจากหน้ามือเป็หลังมือเลยทีเดียว
คังเหว่ยกำลังคิดอยู่ ก็ได้ยินว่าทั้งสองน่าจะจบการขัดแย้งกันแล้ว โจวเฉิงเรียกเขาเสียงดัง
“คังจื่อ ไปขับรถนายมา!”
พวกขัดหูขัดตานั่นยังอยู่ในภัตตาคารปักกิ่ง โจวเฉิงจึงตัดสินใจพาเซี่ยเสี่ยวหลานไปรับประทานมื้อดึกที่อื่นแทน รับประทานอะไรไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ้าอยู่กับเซี่ยเสี่ยวหลานอีกสักพัก
เส้ากวงหรงมองเห็นบรรยากาศแบบนั้น ก็ไม่กล้าพูดถึงความ้าของตน
สิ่งที่รับประทานคือผัดตับและผ้าขี้ริ้วทอด แม้โจวเฉิงจะคีบอาหารให้กับเซี่ยเสี่ยวหลานตลอดเวลา เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ไม่ได้ชักสีหน้า ทว่าสุดท้ายบรรยากาศยังคงพิลึกพิกล
ทัศนคติของทั้งสองเกิดความขัดแย้งขึ้น ต่อให้ไม่กล่าวถึง นั่นก็เป็ปมในจิตใจอยู่ดี
หลังรับประทานเสร็จคังเหว่ยส่งโจวเฉิงกลับหน่วยงาน เซี่ยเสี่ยวหลานแน่ใจแล้วว่าพรุ่งนี้จะกลับซางตู เมื่อถึงหน้าประตูหน่วยงาน โจวเฉิงกอดเธอไว้
“เสี่ยวหลาน ฉันชอบเธอ ดังนั้นจึงอยากแต่งงานกับเธอ เื่นี้เราสองคนค่อยๆ หารือกันได้ แต่เธออย่าหมางเมินฉันเพราะเหตุนี้ อย่าไม่ชอบฉันเพราะแบบนี้เลย นี่มันไม่ยุติธรรมกับฉันเกินไปแล้วนะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานใจอ่อนยวบยาบ
ใช่ ไม่ยุติธรรมต่อโจวเฉิงเกินไปแล้ว เขาแค่ชอบเธอสุดหัวใจ อยากแต่งเธอเข้าบ้าน แม้ความคิดไม่เห็นพ้องต้องกันกับเธอ แต่จะพูดว่าความคิดแบบนี้ผิดไม่ได้
“ฉันไม่ได้โกรธ หัวใจของฉันที่ชอบเธอไม่ได้เปลี่ยนไปสักนิด เธอตั้งใจทำงาน ฉันตั้งใจเรียน พวกเราทั้งคู่จะก้าวหน้ากว่าเดิม! สู้ๆ นะ โจวเฉิง!”
เชิงอรรถ
[1]辣眼睛 แสบร้อนในดวงตา หมายถึง เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เห็นอะไรที่ไม่น่ามอง หรือทนดูไม่ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้