ซูเหอเป็เด็กกำพร้าที่สูญเสียพ่อแม่ไปเพราะา ตอนที่จ้าวต้านรับเลี้ยงนั้น นางอายุได้เพียงสามขวบ
เพราะเขาต้องออกรบอยู่ตลอดเวลาจึงไม่มีเวลาดูแลนาง และปล่อยให้นางใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหาร เมื่อาจบลงเขาตั้งใจจะพานางกลับบ้านเกิด แต่ผู้ใดจะคิดว่าเขาต้องออกรบถึงยี่สิบปี จนกระทั่งนางจี๋จีแล้วก็ยังไม่เคยได้พานางกลับไป
เพราะจ้าวต้านยุ่งมาโดยตลอดจึงลืมเื่เด็กสาวคนนี้ไปเสียสนิท
ตอนที่เขาได้เจอนางอีกครา นางก็อยู่ในสนามรบเสียแล้ว ในตอนนั้นนางนำทหารนับพันคนเข้าโจมตีเมืองเพียงลำพัง
เมื่อได้โอกาสถามจึงทราบว่าซูเหอได้ฝึกการต่อสู้ตีรันฟันแทงกับคนในค่ายทหารมาั้แ่จำความได้ นางคิดว่าตนเองเป็บุรุษและแอบเข้าร่วมต่อสู้ในสนามรบอยู่บ่อยครั้ง
เขาชื่นชมนาง จึงให้นางติดตามข้างกาย ทั้งยังให้สหายหาอาวุธคู่ใจมาให้นางด้วย นั่นก็คือแส้ยาวเส้นนั้น
น่าเสียดายที่ไม่นานนางก็ได้พบรักกับบุรุษ และไม่มีความสนใจในการสู้รบอีก
เขาเห็นแก่ชะตากรรมที่น่าสงสารของนาง จึงปล่อยนางให้ไปตามทางที่เลือก
ทั้งยังคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกันที่นี่
เขาแทบจะจำนางมิได้...
แต่เหตุใดนางถึงได้กลายมาเป็โจรป่า? หรือว่าคนที่นางแต่งงานด้วยเป็โจรอย่างนั้นหรือ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจ้าวต้านก็จ้องมองกลับไป
จู่ๆ จ้าวต้านก็ถามถึงอดีต ซูเหอจึงมีสีหน้านิ่งและค่อยๆ ก้มหน้าลง
นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจัง
“แม่ทัพต้าน บุรุษผู้นั้นหลอกลวงข้าเ้าค่ะ เขาเป็สายลับของศัตรู ในตอนที่ข้ากำลังจะร่วมหอกับเขา เขาพลันชักดาบขึ้นมาจะฆ่าข้า”
“ข้าพยายามขัดขืนแต่กลับไร้เรี่ยวแรง จึงรู้ว่าเขาวางยาพิษในเหล้า ข้านึกว่าตนเองคงต้องตายแน่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าโจรพวกนี้จะเตรียมการไว้นานแล้ว พวกเขาอาศัยตอนที่คนในจวนไม่ได้ตั้งรับบุกเข้าไปปล้น โจรพวกนี้จับพลัดจับผลูช่วยข้าออกมาได้เ้าค่ะ”
“หลังจากที่ยาพิษหมดฤทธิ์ ข้าก็ฆ่าพวกเขาทั้งตระกูล และรู้ดีว่าไม่มีหน้ากลับไปหาท่านจึงขึ้นเขาไปกับโจรพวกนี้ และกลายเป็รองหัวหน้าของพวกเขา”
คำพูดของซูเหอทำให้จ้าวต้านขมวดคิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
เมื่อเวินซีได้ยินดังนั้น แววตาที่มองนางก็เปลี่ยนไปและอ่อนโยนมากขึ้น
“ท่านแม่ทัพต้าน เื่มันก็ผ่านมานานแล้ว เรามาว่าเื่ของท่านดีกว่า เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้เ้าคะ? ข้าได้ยินมาว่า...ท่านตายไปแล้ว เหตุใดถึงมีข่าวลือเช่นนี้?” ซูเหอเปลี่ยนเื่และถามถึงเขา
“เื่มันยาวน่ะ เราจัดการเื่ตรงหน้าก่อนเถิด ไว้ข้าค่อยเล่าให้ฟัง” จ้าวต้านพูดนิ่งๆ
ซูเหอพยักหน้า นางลุกขึ้นและส่งสายตาให้พวกโจรป่า
พวกโจรลุกขึ้นทันทีและรีบเข้าไปช่วยย้ายรถม้า โดยมีพวกโจรบางส่วนเข้าไปป้อนอาหารม้าให้
เมื่อเห็นว่าเป็คนฝ่ายเดียวกัน เวินซีก็สะบัดแขนเสื้อ เดินไปแก้พิษให้พวกโจรที่ล้มอยู่บนพื้น
หัวหน้าใหญ่ดึงผ้าออกจากปาก สายตาที่มองเวินซีเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่เมื่อคิดได้ว่าเอาชนะพวกเขามิได้จึงทำได้เพียงยืนมองอย่างไม่ชอบใจ
ไม่มีผู้ใดสนใจเขาแม้แต่จะหันไปมอง
“ขออภัยด้วยเ้าค่ะคุณหนู ไม่เป็อันใดนะเ้าคะ? เมื่อครู่ข้าไม่รู้ว่าเราเป็พวกเดียวกัน จึงมิได้ยั้งมือ” ซูเหอมองดูเวินซีด้วยท่าทีขอโทษ
“ก็มิได้ร้ายแรงอันใดเ้าค่ะ” เวินซีส่ายหน้าพลันตอบเบาๆ
ซูเหอพยักหน้าแล้วหันกลับไปมองจ้าวต้าน
“แม่ทัพต้าน หากไม่รังเกียจก็เข้าไปพักที่หมู่บ้านเถิดเ้าค่ะ คุณหนูผู้นี้ต้องได้รับการรักษา าแที่เกิดจากแส้ฉางเฟิงต้องรักษาด้วยยาเฉพาะตัว”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” เพราะเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว จ้าวต้านจึงพยักหน้าตอบรับ
ทุกคนจึงเดินไปที่หมู่บ้าน
ขณะนั้นโจรป่าที่ยืนอยู่บนยอดหอคอยมองออกไป เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามาจึงเป่าแตรรายงานความ
ประตูหมู่บ้านที่อยู่บนเขาเปิดออกช้าๆ ในเวลานั้นหัวหน้าสามพร้อมด้วยกลุ่มคนกำลังยิ้มร่าด้วยความดีใจรออยู่ที่ประตู
เมื่อเห็นรถม้าทั้งห้าคัน เขาก็ทักทายซูเหอและพรรคพวกด้วยรอยยิ้มทันที
“ดูเหมือนว่ารองหัวหน้าจะได้ของมามากมายเลยนี่ รถม้าคันนี้ราคาดีไม่เบา” เขาหยุดอยู่ตรงหน้าซูเหอ พูดพร้อมกับมองไปที่รถม้าที่อยู่ข้างหลังนาง
ซูเหอแสร้งยิ้ม เบี่ยงตัวไปยืนบังรถม้าที่เขาเอาแต่มองดู “หัวหน้าสาม พวกเขาเป็เพื่อนของข้า ข้าเห็นว่ายามนี้ก็มืดแล้ว เกรงว่าพวกเขาจะเป็อันตรายจึงพาขึ้นเขามาพักสักคืนน่ะเ้าค่ะ”
“เพื่อนหรือ? อย่าพูดเป็เล่นน่า ท่านอยู่ที่นี่มาตั้งหลายปี ข้าไม่เคยเห็นท่านพูดถึงเพื่อนคนใด เหตุใดจู่ๆ ถึงมีเพื่อนได้ คงมิใช่ว่ารองหัวหน้าเห็นว่ารถพวกนี้มีของล้ำค่า จึงคิดจะฮุบไว้คนเดียวหรอกนะ?”
“นี่แหละหนาคนนอก ถึงจะดีกับคนนอกเช่นไร แต่เมื่อมีผลประโยชน์ก็มักจะไม่เห็นแก่เพื่อนฝูง”
หัวหน้าสามไม่ถูกคอกับนางมาตลอด ยามนี้เมื่อหาข้ออ้างได้จึงเริ่มพูดประชดประชัน
แต่ซูเหอชินแล้วที่เขาเป็เช่นนี้ นางไม่ได้สนใจแล้วโบกมือให้โจรป่าคนอื่นๆ เข้ามาลากม้าเข้าไป
“แม่ทัพต้าน ทุกท่าน เชิญเ้าค่ะ”
นางเดินเลี่ยงหัวหน้าสาม แล้วนำทางพวกเวินซีเข้าไปในหมู่บ้าน
เมื่อถูกเมิน หัวหน้าสามก็มองดูพวกเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
หัวหน้าใหญ่เดินมาถึงข้างกายเขา ทั้งสองก็มีสีหน้าไม่พอใจเช่นเดียวกัน เมื่อเวินซีและคนอื่นๆ เดินออกไปไกลแล้วทั้งสองจึงพ่นลมที่เต็มไปด้วยความชิงชัง
“คิดจริงๆ สินะว่าที่นี่เป็ของนางคนเดียว หากมิใช่เพราะพวกเรา ครานั้นนางคงตายคามือฟู่จวินของนางไปแล้ว จะมีโอกาสมาทำตัวจองหองเช่นนี้ได้อย่างไร” หัวหน้าใหญ่มองดูแผ่นหลังของกลุ่มคนที่เดินจากไปอย่างเ็า
“ใช่น่ะสิ ทั้งยังพาคนนอกเข้ามา ไม่คิดเลยว่าหากพวกนั้นเป็คนของราชสำนักที่เข้ามารู้ที่ทาง แล้วพาคนเข้ามาห้อมล้อมปราบปรามเราจะเป็เช่นไร? เรียกนางว่ารองหัวหน้านิดหน่อยก็ทำเป็ไม่รู้สถานะของตนเองเสียแล้ว” หัวหน้าสามพูดอย่างเห็นด้วย
ทั้งสองเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ใน่สองปีที่ผ่านมา ซูเหอพาคนไปออกปล้นและไม่เคยคว้าน้ำเหลวกลับมาสักครา นางช่วยเหลือพวกเขาสองคนอยู่เสมอ ในยามนี้จึงทำให้พวกเขาแทบจะสูญเสียความยิ่งใหญ่ไปแล้ว
“ไม่เช่นนั้น เราฆ่านางเสียดีหรือไม่?” หัวหน้าใหญ่ลดเสียงพูด
เพียงคำเดียวก็กระตุ้นความปรารถนาในใจของหัวหน้าสาม
“จะฆ่านางได้เช่นไร? พวกเราสองคนไม่สามารถเอาชนะนางได้ หากฆ่านางไป เราจะอธิบายกับพวกพ้องพี่น้องได้เช่นไร?”
“วางยาพิษ หลังจากที่นางตายเราก็โยนความผิดให้พวกนั้น แล้วฆ่าพวกนั้นเป็การแก้แค้นให้พี่น้องของเรา ถึงยามนั้นของของพวกเขาก็จะกลายเป็ของเราด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว” หัวหน้าใหญ่คิดว่าแผนของตนนั้นสมบูรณ์แบบ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มได้ใจ
ส่วนหัวหน้าสามเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าช้าๆ “เช่นนั้นก็ลงมือกันคืนนี้เถิด”
“ดี”
ทั้งสองก้าวเข้าไปในหมู่บ้าน ประตูหมู่บ้านพลันปิดลงอีกครา
......
ในห้องนอนห้องหนึ่ง จ้าวต้าน ต้วนจิงเย่ สืออีและหรานอิ่งชุนนั่งล้อมเตียงด้วยสีหน้าเป็กังวล
ซูเหอกับเวินซีนั่งอยู่ข้างเตียง ซูเหอใช้ยาทาแผลให้นางอย่างเบามือ หลังจากที่ยาออกฤทธิ์ก็ใช้ผ้าขาวพันแผลทีละน้อยจนเสร็จ
“คุณหนู ตอนนี้รู้สึกเช่นไรบ้างเ้าคะ? ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่?” นางเอ่ยถามเบาๆ
“ขอบคุณคุณหนูซูเ้าค่ะ ตอนนี้ไม่เจ็บแล้วเ้าค่ะ” เวินซีดึงมือกลับไป
“เช่นนั้นก็ดีเ้าค่ะ ทุกคนนั่งลงเถิด เพราะว่าที่นี่ไม่มีคนเยอะเช่นนี้มานานแล้ว จึงต้องใช้เวลาจัดการห้องพัก ต้องขอให้ทุกท่านอยู่ที่นี่ก่อน”
ซูเหอลุกขึ้นยืนแล้วพาทุกคนไปที่นั่งที่โต๊ะ ส่วนตนเองไปยืนข้างๆ จ้าวต้านพลันมองดูทุกคนแล้วเอ่ย “แม่ทัพต้าน ถึงเวลาแนะนำพวกเขาให้ข้ารู้จักแล้วใช่หรือไม่เ้าคะ?”