เขาเหม่อมองไปยังโถ่ปัสสาวะทั้งยังคิดว่าเื่โง่เขลาเช่นนี้เขาจะไม่ทำมันอีกเป็ครั้งที่สองแล้ว
เซี่ยเจิงพ่นควันบุหรี่สุดท้ายออกมา จากนั้นจึงดับก้นบุหรี่แล้วโยนลงไปในอ่างล้างหน้า
ในตอนที่คนเรารู้สึกหงุดหงิด ไม่ว่าเื่ใดก็คงจะไม่ได้ดั่งใจไปซะหมด เซี่ยเจิงมองก้นบุหรี่ที่ไหลวนลงไปตามน้ำ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าอยากจะเอาอย่างอื่นนอกเหนือจากนั้นทิ้งลงไปด้วย
จะทิ้งอะไรน่ะเหรอ
อย่างเช่นความคิดยุ่งเหยิงเมื่อครู่ หรืออย่างเช่นคำพูดที่ได้ยินมาเมื่อครู่นี้
ไม่ว่าจะหลีกหนีเื่นี้ไปที่ไหนก็ล้วนแล้วแต่ทำให้ดูขี้ขลาดอย่างเห็นได้ชัด แต่เซี่ยเจิงกลับรู้สึกว่าถ้าหากเขายังคงฟังต่อไปก็อาจจะทำให้หัวใจของเขาพังทลายลงมาได้เลย
ทำไมหวังหลินหลินถึงสามารถทำเื่แบบนี้ได้อย่างสบายๆ แต่เขาเองกลับทำไมได้กันนะ
เซี่ยเจิงรู้สึกว่าแทนที่จะใช้คำว่า “หลีกหนี” เพื่อมาอธิบายการกระทำของตัวเองเมื่อครู่ ไม่สู้บอกว่าตอนที่อยู่ตรงนั้นเขากลับรู้สึกไม่มีที่ให้ซ่อนตัวเสียยังจะดีกว่า
ที่แท้นอกจากเขาจะ “ชอบ” แล้ว ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย แม้แต่ผู้หญิงคนนั้นเขาก็ยังสู้ไม่ได้เลยสักนิด
เขาไม่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมันโดยตรง... ในอีกแง่หนึ่งคือ หลายคนมีเบี้ยเดิมพันมากกว่าเขา ดังนั้นในตอนที่มีสถานการณ์สุ่มเสี่ยงเกิดขึ้นมา เขาจึงทำได้เพียงพูดกับชวีเสี่ยวปอว่า “ไม่เป็ไร”
เพราะนอกจากคำคำนี้แล้ว เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกเลย
ความรู้สึกไร้ซึ่งกำลังเช่นนี้มันช่างทำให้เขารู้สึกเหมือนกับถูกต่อยจนเ็ปไปทั่วทั้งร่าง
ไฟที่ทำงานด้วยการจับเซนเซอร์เสียงในห้องน้ำสว่างแล้วก็ดับ ดับแล้วจึงสว่างขึ้นมาอีกครั้ง คาดว่าชวีเสี่ยวปอและหวังหลินหลินก็คงจะคุยกันไปได้พอสมควรแล้ว ในตอนนั้นเซี่ยเจิงจึงกำลังเตรียมที่จะเดินออกไป
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขาออกไป ก็มีใครบางคนขว้างให้เขาถอยกลับเข้ามาอีกครั้ง
ชวีเสี่ยวปอดึงไหล่ของเขาเอาไว้ พร้อมทั้งถามออกไปเสียงแ่เบาในความืดมิด
“นายหลบอะไร? ”
“ไม่ได้หลบ” เซี่ยเจิงถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหน “แค่รู้สึกว่าแอบฟังคนอื่นคุยกันอยู่ตรงนั้นมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“งั้นเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอบีบไหล่ของเซี่ยเจิงเอาไว้แน่นพร้อมพูดออกไปเสียงเบา ไฟที่ทำงานด้วยเซนเซอร์ก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนนั้นเองเซี่ยเจิงก็พบว่าชวีเสี่ยวปอดูเหนื่อยล้ามากอย่างเห็นได้ชัด
“เป็อะไรไป? ” เซี่ยเจิงกังวลขึ้นมา “นายสองคนพูดอะไรกัน? ”
“ก็เท่าที่นายได้ยินนั่นแหละ” ชวีเสี่ยวปอส่ายศีรษะไปมา จากนั้นมือที่จับอยู่บนไหล่ของเซี่ยเจิงก็ค่อยๆ ลูบลงมาตามแขน จนกระทั่งมาบีบลงบนข้อนิ้วมือของเซี่ยเจิง
เซี่ยเจิงจึงพลิกไปมือไปจับกับมือเขาไว้
“แล้วยังไงอีก? ”
ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจออกมาอย่างแรง แล้วจึงพูดด้วยเสียงอู้อี้ออกมาว่า : “เธอเห็นแล้ว”
“อะไร? ” เซี่ยเจิงขมวดคิ้ว
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สายตากลับมาไปบนมุมปากของเซี่ยเจิง
ทันใดนั้นเซี่ยเจิงจึงเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าหวังหลินหลินเห็นอะไรเข้า
ชวีเสี่ยวปอจูบเขา
หวังหลินหลินเห็นเข้าแล้ว
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ชวีเสี่ยวปอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามือที่เซี่ยเจิงจับเขาเอาไว้กระชับขึ้นมาเล็กน้อย
บริเวณโดยรอบมืดลงอีกครั้ง
“เธอบอกว่าไว้ใจเธอได้” ชวีเสี่ยวปอพูด
เซี่ยเจิงยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมา
แต่เขากลับเข้าใจได้เป็อย่างดี ถึงยังไงเมื่อครู่นี้ที่หวังหลินหลินพูดขึ้นมาเขาเองก็ใไปพักใหญ่อยู่เหมือนกัน บ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่ซะขนาดนั้น เขาทั้งสองคนกลับไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าหวังหลินหลินจะย้อนกลับมาอีกครั้ง
ความผิดพลาด
ความผิดพลาดครั้งใหญ่
หวาดกลัว ความรู้สึกหวาดกลัวนั้นขยายใหญ่ขึ้น จนสุดท้ายก็ค่อยๆ ยอมรับมันได้
จากนั้น ก็ไม่มีหลังจากนั้นแล้ว
ชวีเสี่ยวปออยากจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อปลอบใจเซี่ยเจิงสักหน่อย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้จักหวังหลินหลินดีสักเท่าไหร่ แต่เขาก็รู้สึกว่าเธอคงจะสามารถทำอย่างที่พูดเอาไว้ได้
แต่วินาทีถัดมาของความเงียบ จู่ๆ เซี่ยเจิงก็ดึงตัวชวีเสี่ยวปอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
ชวีเสี่ยวปอไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเกือบจะชนเข้าไปอย่างแรง
จากนั้นก็ได้ยินเซี่ยเจิงถามออกมาประโยคหนึ่ง
“กลัวไหม? ”
รู้สึกหน่วงๆ ขึ้นมาที่จมูก
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าเขากลายเป็คนบ่อน้ำตาตื้นขึ้นมาแล้ว
เขาคิดเสมอว่าสำหรับเขาแล้วน้ำตาเป็สิ่งที่ไม่จำเป็เลยสักนิด แต่อย่างน้อยใน่เวลาเช่นนี้ มันก็เป็เหมือนเครื่องพิสูจน์ได้อย่างหนึ่ง
พิสูจน์ว่าเซี่ยเจิงทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาแล้ว
เพราะเซี่ยเจิงเองก็เคยผ่านประสบการณ์ที่ถูกโจวเจ๋อหยวนเข้ามารังควานทำเื่อย่างว่านั้นมาก่อน ในทุกวันนี้เขาจึงต้องใช้ชีวิตอย่างระแวดระวัง และระมัดระวังอยู่เช่นนี้
แต่ทว่าในเวลานี้ เซี่ยเจิงกลับเป็ห่วงเพียงแค่ชวีเสี่ยวปอว่าเขาจะกลัวหรือเปล่า
สถานที่ที่คับแคบและโกโรโกโสเช่นนี้ไม่เหมาะกลับการกอดกันเลยแม้แต่น้อย แต่เขาทั้งสองคนกลับกำลังกอดกันแน่น
คงจะเป็เพราะทั้งสองคนไม่อาจที่จะหาคำพูดที่เหมาะสมออกมาได้ ชวีเสี่ยปอไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เซี่ยเจิงเองก็ไม่ได้ถามต่อเช่นกัน แต่ยังคงกอดกันอยู่แบบนั้น ราวกับว่าตราบใดที่ไม่มีคนเข้ามาขัดจังหวะ พวกเขาก็จะสามารถกอดกันอยู่เช่นนี้จนกว่าฟ้าดินจะมลายสูญสิ้นไป
จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านนอก ทั้งสองคนจึงผละตัวออกจากกันโดยอัตโนมัติ แต่เสียงฝีเท้าก็ค่อยๆ ห่างออกไป คนด้านนอกเพียงแค่เดินผ่านมาเท่านั้น
“คือ” ชวีเสี่ยวปอกระแอม พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา : “ฉันคิดว่าหวังหลินหลินคงจะไม่พูดออกไปหรอก”
“ฉันก็หวังให้เป็แบบนั้น” เซี่ยเจิงตอบกลับมา พลางมองชวีเสี่ยวปอด้วยสายตาที่เป็ประกายขึ้นมา “พวกเราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด”
“อะไรคือเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด? ” ชวีเสี่ยวปอเกือบกัดลิ้นตัวเอง สายตาอันเป็ประกายของเซี่ยเจิงรวมไปถึงท่าทีในตอนที่เขาพูดประโยคนั้นออกมา ทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเหมือนว่าเซี่ยเจิงเป็แมวั์ตัวหนึ่งที่พร้อมจะล่าเหยื่อได้ทุกเมื่อ แต่หลังจากที่ชวีเสี่ยปอถามคำถามนี้ออกไปแล้ว สายตาเช่นนั้นของเซี่ยเจิงก็สลายหายไปในทันที แล้วจึงส่ายศีรษะไปครั้งหนึ่งพร้อมทั้งถามออกไปว่า : “กลัวไหม? ”
“ไม่เห็นมีอะไรจะต้องกลัวเลย” ชวีเสี่ยวปอลดสายตาลงไปมองปลายเท้าของทั้งสองคนที่กำลังชนกันอยู่ “บางเื่กลัวไปก็ใช่ว่าเื่มันจะไม่เกิดซะเมื่อไหร่ล่ะ? ”
เซี่ยเจิงผงะไปชั่วขณะ แต่ไม่นานเขาก็ยื่นมือบีบตรงท้ายทอยของชวีเสี่ยวปอ และในที่สุดทั้งสองคนก็ผลักประตูเดินออกมา
ทุกอย่างยังคงเป็เหมือนเดิม
ไม่มีใครคิดว่าการที่เขาทั้งสองคนหายออกไปทั้งยังกลับเข้ามาพร้อมกันผิดปกติอะไร ในขณะนั้นเจียงอี้หยางและเซวียอวี่ไม่ได้กะหนุงกะหนิงกันอยู่ด้านข้างแล้ว เพราะเขาทั้งสองคนเข้าไปร่วมวงบาร์บีคิวเป็ที่เรียบร้อย เซี่ยเจิงมองหวังหลินหลินไปครั้งหนึ่ง เธอกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับซือจวิ้น ทั้งยังกวาดสายตามองมาที่เขาทั้งสองคน แต่ก็หลบสายตาไปอย่างรวดเร็ว
ชวีเสี่ยวปอมองดูหวังหลินหลิน แล้วจึงหันมามองเซี่ยเจิง ถึงแม้ว่าหน้าอกของเขาจะสั่นไหวขึ้นมาอย่างรู้สึกไม่สบายใจ แต่เขาก็ดึงเซี่ยเจิงให้นั่งลงมา
“พวกนายสองคนแอบไปอู้มาเหรอ !” เจียงอี้หยางมือหนึ่งเขย่าไม้ปีกไก่ย่าง อีกมือหนึ่งก็ขยับแปรงทาซอส พร้อมทั้งเดินเข้ามา “เข้าห้องน้ำอะไรตั้งนานสองนาน”
“ไปสูบบุหรี่มา” เซี่ยเจิงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย กำลังจะหยิบแปรงทาซอสในมือของเจียงอี้หยางมา “ฉันไปย่างให้ พวกนายกินเถอะ”
“ย่างไปตั้งเยอะแล้ว !” เจียงอี้หยางมีความสุขมาก เพราะถึงยังไงวันนี้ก็เหมือนกับเขาได้รางวัลใหญ่มาแล้ว “จริงสิ คืนนี้พวกนายจะนอนที่นี่หรือกลับบ้านอะ? ”
“กลับบ้าน” เซี่ยเจิงและชวีเสี่ยวปอพูดออกมาเป็เสียงเดียวกัน
แน่นอนว่าเหตุผลของเซี่ยเจิงคือไม่สามารถที่จะให้แม่อยู่บ้านคนเดียวตอนกลางคืนได้ เขาไม่วางใจ แต่เหตุผลของชวีเสี่ยวปอกลับเป็เพราะว่าเขาต้องกลับไปพร้อมเซี่ยเจิง
ถึงแม้ว่าจะไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด แต่เหตุผลกลับถูกต้องชอบธรรมอยู่พอสมควร
ถึงขนาดที่ว่าเมื่อเซี่ยเจิงหันมามองเขา ชวีเสี่ยวปอก็ใช้สายตาที่แน่วแน่มองกลับไป พร้อมทั้งพยักหน้า
“งั้นก็ได้” เจียงอี้หยางเกาศีรษะไปมา น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเสียดายเล็กน้อย : “ที่จริงในรีสอร์ตนี่ก็นอนได้นะ”
“ถ้านายอยากนอนที่นี่” ชวีเสี่ยวปอหยุดพูดครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองเซวียอวี่ที่นั่งอยู่ไม่ไกล “ก็นอนที่นี่เถอะ เดี๋ยวพวกเราเรียกรถกลับกันเองก็ได้”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น !” เจียงอี้หยางโบกกำปั้นไปมาไปทางชวีเสี่ยวปอ ใบหน้าของเขาแดงขึ้นมาจนเป็ลูกตำลึง “ฉันหมายความว่าถ้าพวกนายรู้สึกไม่สะดวก...”
“สะดวก สะดวกมากด้วย” ชวีเสี่ยวปอพูดแทรกเขาขึ้นมา พร้อมทั้งหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ทวดนายสิ” เจียงอี้หยางเอาแปรงทาซอสและปีกไก่อัดใส่มือของเซี่ยเจิงไป แล้วเริ่มวิ่งไล่ชวีเสี่ยวปอจนเป็วงกลม จากนั้นเสียงหัวเราะก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง