วันนี้สองสามีภรรยาเสิ่นออกไปช่วยงานมงคลที่บ้านคนอื่น กู้เจิงเมื่อกินข้าวเช้าเสร็จจึงพาชุนหงไปที่ร้านเพื่อรอเสิ่นกุ้ย
ก่อนจะถึงร้านจะต้องผ่านบ้านของปาเม่ย นางเห็นปาเม่ยกำลังเดินออกมาจากบ้านพอดี
ปาเม่ยที่เห็นนางเหมือนกันก็วิ่งเข้ามาหาอย่างดีใจ “ท่านมาดูร้านหรือเ้าคะ?”
“วันนี้ช่างไม้จะมาทำงานที่ร้าน ข้าจึงต้องมาน่ะ” กู้เจิงมองใบหน้าแดงระเรื่อของปาเม่ย “เ้ากำลังจะไปจวนอ๋องหรือ?”
ปาเม่ยยิ้มพลางพยักหน้า “ข้ารับผิดชอบเรือนนอก ไม่ต้องไปทำงานแต่เช้าเหมือนสาวใช้เรือนใน ข้าไปเวลานี้ทุกวันเ้าค่ะ พี่สะใภ้งั้นข้าขอตัวไปก่อนนะเ้าคะ”
หลังแยกกับปาเม่ยนางก็มาที่ในร้าน กู้เจิงเอาภาพร่างที่นางวาดไว้มาเทียบกับสถานที่จริง สักพักเสิ่นกุ้ยก็มาถึงพร้อมเครื่องมือและเด็กหนุ่มผู้ช่วยสองคน
“พี่กุ้ย” กู้เจิงทักทาย
“น้องสะใภ้” เสิ่นกุ้ยยิ้มอย่างซื่อๆ เขาผายมือไปยังเด็กหนุ่มทั้งสองคนก่อนแนะนำ “นี่คือลูกศิษย์ของข้า”
“พี่สะใภ้” เด็กหนุ่มทั้งสองเอ่ยทักทายกู้เจิง
กู้เจิงยิ้มรับ “ถางซยง* ไม่ทราบว่าข้าต้องเตรียมอะไรให้ท่านบ้าง?”
(*คำสรรพนามใช้เรียกลูกพี่ลูกน้องที่โตกว่าและเป็ผู้ชายทางฝ่ายพ่อ)
“แค่น้ำชาก็พอ ของอย่างอื่นข้าเอามาด้วยแล้ว ตอนเช้าข้าจะวัดขนาดในบ้านก่อนแล้วค่อยเริ่มงานในตอนบ่าย” เสิ่นกุ้ยกล่าว
กู้เจิงมอบกุญแจร้านให้เขา “กุญแจทั้งหมดมีสามดอก มีที่ข้าหนึ่งดอก ถางซยงอีกหนึ่งดอก และเถ้าแก่ร้านหนังสือของข้าก็มีอีกหนึ่งดอกเ้าค่ะ”
“ได้” เสิ่นกุ้ยเก็บกุญแจไป
กู้เจิงส่งกระดาษที่นางวาดรายละเอียดสิ่งของต่างๆ ให้เสิ่นกุ้ย พอเสิ่นกุ้ยได้ดูภาพวาด เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ “พวกนี้เ้าวาดเองหรือ?”
กู้เจิงพยักหน้า “มีอะไรหรือเปล่าเ้าคะ?”
“เปล่า แต่โต๊ะและเก้าอี้ที่เ้าวาดนั้นช่างแปลกตายิ่งนัก ข้าไม่เคยเห็นรูปแบบสิ่งของพวกนี้มาก่อนเลย”
กู้เจิงได้แต่อมยิ้ม นางก็แค่วาดสิ่งของที่พบเจอได้ปกติในชาติที่แล้วของนาง
หลังจากให้กุญแจกับเสิ่นกุ้ยและพูดคุยทำความเข้าใจกันเรียบร้อย กู้เจิงก็ขอตัวออกไปที่ร้านหนังสือของนาง
ครั้งก่อนนางได้บอกลุงหม่าให้เก็บรวบรวมหนังสือเก่าเอาไว้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขารวบรวมได้ขนาดไหนแล้ว
บนถนนในตลาดตอนเช้ามีผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของกันแน่นขนัด รถม้าของกู้เจิงขับไปได้อย่างช้าๆ
“ชุนหง ระวัง” กู้เจิงเหลือบเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งซนมาทางรถม้าของพวกนาง
ชุนหงชะงักใ นางรีบออกแรงดึงบังเหียนขึ้นในทันที พอบังเหียนถูกดึงอย่างรวดเร็ว พวกม้าที่ถูกดึงให้หยุดโดยกะทันหันจึงถึงกับยกเท้าลอยขึ้น โดยมีเด็กน้อยคนนั้นอยู่ข้างใต้
มีเงาสายหนึ่งปรากฏขึ้น ช่วยเด็กออกมาจากใต้เท้าม้าอย่างทันเวลา
กู้เจิงกับชุนหงใจนหน้าซีด กู้เจิงรีบะโลงจากรถมาดูเหตุการณ์ เมื่อนางเห็นเด็กน้อยยังปลอดภัยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นางหันไปขอบคุณคนที่มาช่วยเด็กไว้ เป็เขา กู้เจิงตกตะลึง เขาคนนั้นนั่นเองที่นางเข้าใจผิดคิดว่าเป็เสิ่นเยี่ยนในจวนตวนอ๋องวันนั้น
เขาสวมเสื้อผ้าสีเข้ม เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารอันเยือกเย็น ผู้คนรอบข้างต่างไม่กล้าเข้าใกล้เขา ร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่บนถนนยิ่งโดดเด่นสะดุดตา
คนผู้นี้เป็ใคร? กู้เจิงสงสัยมาตลอด เหตุใดเขาจึงคล้ายกับเสิ่นเยี่ยนยิ่งนัก คืนนั้นนางเกือบจะเข้าไปคล้องแขนเขาแล้ว แต่เมื่อนึกถึงท่าทางที่เขามองนางในตอนนั้น กู้เจิงก็อดตัวสั่นไม่ได้
แม่ของเด็กวิ่งเข้ามากอดลูก และขอบคุณคนที่ช่วยลูกของนางไว้
กู้เจิงมองแม่เด็กด้วยความไม่สบายใจ “เด็กไม่เป็ไรใช่ไหม?”
สตรีผู้นี้หันมองกู้เจิงอย่างไม่เป็มิตร “เ้าขับรถม้ายังไงกัน? ถนนใหญ่นี่มีคนเดินมากมาย ทำไมเ้าถึงไม่ดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย? ถ้าลูกข้าเป็อะไรไปจะทำยังไง? เขาเป็บุตรชายคนเดียวของตระกูลเสิ่นข้าเชียวนะ”
แซ่เสิ่น? คงไม่ใช่คนในวงศ์ตระกูลเดียวกันกับเสิ่นเยี่ยนกระมัง? กู้เจิงแอบคิดในใจ
“เหตุใดเ้าถึงไร้เหตุผลนัก” ชุนหงได้ยินคำพูดของสตรีผู้นี้ก็เกิดโทสะขึ้นมา “รถม้าของพวกข้าก็ไม่ได้วิ่งหรือเตลิดไปไหน มันเดินช้าๆ มาตลอดทาง ลูกของเ้าต่างหากที่จู่ๆ ก็วิ่งเข้ามา เป็เ้าเองต่างหากที่ไม่ดูแลเขาให้ดี”
“พวกเ้าชนคนแล้วยังจะแก้ตัวอีกหรือ?”
ชุนหงยังอยากจะต่อปากต่อคำต่อ แต่นางถูกกู้เจิงห้ามไว้ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มเข้ามามุงดูพวกนาง กู้เจิงสะกิดชุนหงให้หยุด นางยกยิ้มพลางเอ่ยว่า “เด็กไม่เป็ไรก็ดีแล้ว”
“ลูกของข้าเกือบจะถูกม้าของพวกเ้าเหยียบ พวกเ้าควรจะชดใช้ค่าเสียหายสักหน่อยกระมัง?”
“ชดใช้อะไรกัน? เด็กก็ไม่เป็อะไรไม่ใช่หรือไง?” ชุนหงเดือดดาล
“คิดจะปัดความรับผิดชอบงั้นหรือ?” แม่ของเด็กน้อยเริ่มร้องเรียกความเป็ธรรมต่อหน้าผู้คนที่มามุงดูโดยรอบ “พวกเ้ารีบมาดูกัน ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยคนนี้เป็คนตระกูลไหน ชนคนแล้วยังเถียงฉอดๆ แถมยังไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหายอีก พวกเ้ารีบ...” นางเงียบเสียงลงกะทันหัน
กู้เจิงคว้ามือสตรีผู้นี้ที่ก่อนมองนางอย่างเ็า “นี่เ้าเป็นักต้มตุ๋นมารีดไถเงินหรือ?”
“ใคร ใครจะมาหลอกเอาเงินเ้ากัน?”
“งั้นทำไมยังไม่ไปอีก? จะมาปลุกระดมฝูงชนที่นี่เพื่ออะไร? ฝึกลูกคอหรือไง?”
หญิงคนนั้นถูกตอกหน้าหงายไปชั่วครู่ “ที่นี่คือถนนใหญ่ ข้าอยากยืนอยู่ตรงนี้แล้วจะทำไม?”
กู้เจิงมองผู้คนที่เข้ามามุงดู นางปล่อยมือสตรีผู้นั้น แล้วตะเบ็งเสียงดังว่า “ทุกคนที่อยู่ที่นี่ และไม่ได้ตาบอด ล้วนเห็นว่าม้าของข้าเดินมาอย่างช้าๆ แต่เป็ลูกของเ้าที่วิ่งเข้ามากะทันหัน เ้าเอาลูกมาอ้างเพื่อขอความเห็นอกเห็นใจ ก็ควรจะอยู่ในเหตุการณ์ที่คนรอบข้างไม่เห็นเื่ราว ลืมตาพูดคำบอด* แสดงความเขลาให้น้อยลงหน่อยเป็ไหม?”
(*หมายถึง ทั้งที่เห็นอยู่ตำตา แต่กลับพูดไปอีกอย่าง คล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า ปั้นน้ำเป็ตัว)
คนรอบข้างเริ่มซุบซิบและชี้นิ้วไปยังสตรีนางนั้น
แม่ของเด็กน้อยไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน นางไม่นึกว่าหญิงสาวที่ดูเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่จะมีฝีปากเฉียบคมถึงเพียงนี้ หากเป็คนธรรมดาทั่วไปคงอับอายจนต้องรีบยัดเงินให้นางแล้ว
เซี่ยอวิ้นที่ยืนดูเหตุการณ์มาตลอดเขาไม่ได้เอ่ยวาจาอันใดั้แ่ต้นจนจบ แต่ทุกครั้งที่แม่นางน้อยผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นก็ทำให้เขาประทับใจนางได้ทุกครั้ง ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ นางกลับไม่ประหม่าเลยสักนิด
“พี่สะใภ้ใหญ่” เสียงไม่คุ้นเคยดังขึ้น ชายหนุ่มคนหนึ่งเบียดฝูงชนเข้ามาทางกลุ่มพวกนาง
“เ้ามาได้ยังไง?” เมื่อสตรีนางนี้เห็นชายที่แหวกผู้คนเข้ามา สีหน้าก็เปลี่ยนไป นางรีบอุ้มบุตรชายขึ้นมาพลางกล่าวว่า “พวกเรากลับบ้านกันเถอะ ข้าซื้อของทั้งหมดให้เ้าเรียบร้อยแล้ว”
บุรุษผู้นั้นพอเห็นกู้เจิง ทั้งสองคนต่างก็ตะลึงงัน
ที่กู้เจิงใเป็เพราะชายคนนี้คือคนที่ถูกนางดึงแขนเสื้อจนขาดในตำหนักบูรพาเมื่อคืนวาน เขาเอ่ยคำพูดขึ้นด้วยท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เป็เ้านั่นเอง”
ชายหนุ่มมองกู้เจิง แล้วจึงหันไปมองพี่สะใภ้ เขาเริ่มเดาเหตุการณ์ได้รางๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้เขายังไม่สนใจเื่นี้ เขาก้าวเท้าเข้าไปหาเซี่ยอวิ๋น ก่อนรีบประสานมือคารวะ “ข้าน้อยเสิ่นมู่ชิงคารวะท่านแม่ทัพ”
“เป็เสิ่นมู่ชิง เขาเป็ถึงหนุ่มอนาคตไกล ที่สอบได้ตำแหน่งทั่นฮวาเชียวนะ”
“อนาคตไกลจะมีประโยชน์อะไร? คนในตระกูลล้วนไม่้าเขาอีกต่อไปแล้ว”
“พวกเ้าอย่าพูดเลย ครั้งนี้เขาสามารถสอบเข้าได้ ได้ยินว่าผู้นำตระกูลเสิ่นเป็คนออกตัวปกป้องให้”
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาถูกไล่ออกจากตระกูลเสิ่นหรอกหรือ?”
“ใครจะรู้ล่ะ”
เสียงซุบซิบนินทาโดยรอบดังเข้าหูของกู้เจิงเป็ระยะ นางแปลกใจที่บุรุษผู้นี้ก็เป็คนของตระกูลเสิ่นเช่นกัน แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่กู้เจิงเป็ห่วง กู้เจิงมองชายคนนั้นที่ถูกเรียกว่าท่านแม่ทัพ
เขาเป็แม่ทัพ? แม่ทัพคนไหนกัน? แม่ทัพที่กู้เจิงรู้จักก็มีแค่สองคน หนึ่งคือเยี่ยนจื่อเซี่ยน ส่วนอีกคนคือเซี่ยอวิ้น
เสียงซุบซิบนินทารอบข้างทำให้เสิ่นมู่ชิงหมดหนทางที่จะแสร้งทำเป็ไม่ได้ยิน สีหน้าเขาเขียวคล้ำ
“เสิ่นมู่ชิง ข้ากำลังอยากจะไปหาท่านพอดี แต่ไม่คิดว่าจะเจอที่นี่” ชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตเด็กกล่าว
“หาข้า?” เสิ่นมู่ชิงตะลึงงัน
“ด้านหน้ามีโรงน้ำชาซูจี้อยู่ ไปคุยกันที่นั่นเถอะ” เซี่ยอวิ้นทิ้งท้ายประโยคนี้ไว้ แล้วหันหลังเดินจากไป
เสิ่นมู่ชิงหันกลับมามองกู้เจิงด้วยสายตาซับซ้อนแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาพูดกับพี่สะใภ้ของเขาที่ตอนนี้อุ้มลูกไว้แล้ว “พี่สะใภ้พาหลานกลับบ้านไปก่อนนะ” พูดจบเขาก็เดินตามหลังชายคนนั้นไป
เมื่อจบเื่ ฝูงชนรอบข้างก็แยกย้ายกันไป
กู้เจิงมองตามเสิ่นมู่ชิงจนเขาเดินหายลับสายตาไป พี่สะใภ้ของเสิ่นมู่ชิงเห็นกู้เจิงจ้องมองอย่าไม่ละสายตา จึงเอ่ยอย่างดุดันว่า “มองอะไร ช่างไร้ยางอายจริงๆ”
“เ้ามาพูดแบบนี้กับคุณหนูของข้าได้อย่างไร?” ชุนหงเข้ามาขวางหน้าสตรีผู้นั้นไว้ นางโกรธจัดเสียจนอยากจะตบคน นางไม่เคยเห็นสตรีไร้เหตุผลเช่นนี้มาก่อน “รีบขอโทษคุณหนูของข้าเลยนะ”
“ขอโทษอะไร? คุณหนูของเ้าเป็หญิงสาวที่แต่งงานไปแล้วและยังกล้ามามองชายอื่นอีก”พี่สะใภ้ของเสิ่นมู่ชิงกล่าวเย้ยหยัน
“เ้า?”
กู้เจิงมองสำรวจนางั้แ่หัวจรดเท้า นางพยายามนึกจนแน่ใจว่าตนเองไม่เคยรู้จักกับสตรีนางนี้และคนที่ชื่อเสิ่นมู่ชิงแน่ๆ นางจึงถามอย่างสงสัย “พวกเรารู้จักกันหรือ?”