นัทพงษ์เงยหน้าขึ้น แล้วรีบหลบตาแทบจะในทันที ใบหน้าแดงซ่านชนิดที่มารตีเห็นแล้วอยากยิ้มกว้างกว่านี้อีก เขาไม่ตอบ แต่พยักหน้าเบาๆ พร้อมรอยยิ้มเขินอาย แทบจะหารูมุดลงไป และเธอเอง…ก็หัวเราะในใจ พร้อมกับอีกความรู้สึกหนึ่งที่ผุดขึ้นมา “ก็เขาน่ารักซะขนาดนี้…แล้วฉันจะหยุดได้เหรอ?”
แต่คำถามนั้นยังไม่มีคำตอบ สิ่งที่มีในตอนนี้…คือช้อนส้อมที่กระทบกันเบาๆ บนโต๊ะอาหารญี่ปุ่นที่กำลังมาเสิร์ฟ และหัวใจของสองคนที่เต้นในจังหวะที่ยังไม่กล้าแนบชิด แต่ก็ห่างกันไม่มากเท่าไรแล้ว
วันศุกร์เช้า อากาศสดใสเหมือนทุกอย่างพร้อมให้หัวใจเต้นแรง มารตียืนอยู่หน้าห้องประชุมเล็กที่เธอจะใช้คุยงานกับทีมดีไซน์ซึ่งมีนัทพงษ์อยู่ด้วยอีกวัน เขามาเร็วกว่าทุกคน นั่งรอเรียบร้อยแล้วในห้องที่ยังไม่มีใครเข้าไป ผู้จัดการสาวสวยเดินเข้าไปพร้อมแฟ้มงานในมือ วางมันลงบนโต๊ะด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามเขา
“เมื่อวานไม่ส่งโน้ตมาเลยนะคะ เด็กดีของพี่ไม่คิดถึงกันเหรอ?” เสียงเธอเบา ล้อเล่น และแฝงด้วยความขี้เล่นที่เริ่มชัดเจนขึ้นทุกวัน
นัทพงษ์ชะงักตอนกำลังเปิดโน้ตบุ๊ก มือสั่นเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้ม “ก็…ก็คิดครับ…แต่กลัวพี่จะยุ่ง…”
เธอยิ้มมุมปาก จงใจเอียงตัวพิงโต๊ะนิดๆ สายตาล้อเลียน “อ้อเหรอคะคุณแฟน(เด็ก)”
ประโยคนั้นดังพอให้พนักงานสองคนที่กำลังเดินผ่านห้องประชุมได้ยินชัด ทั้งสองหันมาชะงักแล้วหัวเราะเบาๆ หนึ่งในนั้นแอบชำเลืองมองผ่านกระจกใส ก่อนเดินจากไป
นัทพงษ์เหมือนคนโดนหยุดเวลา เขาหน้าแดงจัด ตาเบิกนิดๆ แล้วรีบหลบตา ไม่กล้าพูดอะไรออกมา มือที่ถือเมาส์ค้างนิ่งอยู่นานเป็นาที
หญิงสาวกลั้นหัวเราะแล้วพูดเสียงอ่อนลง “ล้อเล่นน่ะ… ไม่เห็นต้องเขินขนาดนั้นเลย”
“ผม… ผมแค่ใครับ…” เขาก้มหน้ามองคีย์บอร์ด หูแดงจนเห็นได้ชัด บรรยากาศในห้องเหมือนมีไอน้ำอุ่นลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
ก่อนที่ประตูจะเปิดอีกครั้งเมื่อทีมงานทยอยกันเข้ามา มารตีก็กลับไปใช้โหมด “หัวหน้าสุดเป๊ะ” ในทันที แต่นัทพงษ์ยังหน้าแดงไปจนสิ้นสุดการประชุม
ตอนเย็นวันเดียวกัน หญิงสาวเดินถือกล่องงานตัวอย่างมาด้วยตัวเอง พร้อมเอกสารสองสามแผ่นเพื่อจะไปส่งให้ทีมชั้นล่าง แต่ลิฟต์ที่กดไปกลับไม่มาเสียที เธอจึงหันไปหานัทพงษ์ที่กำลังจะเดินผ่านมาพอดี
“คุณนัทพงษ์ ช่วยพี่ถือกล่องพวกนี้ไปส่งหน่อยสิ พี่ถือไม่ไหวแล้ว” เธอยื่นให้เขาโดยไม่รอคำตอบ
“ครับ ได้ครับ” เขารีบยืนแขนออกไปรับทันที มือประคองกล่องอย่างระวัง
แต่ขณะกำลังเดินเข้าลิฟต์ที่เปิดพอดี ่จังหวะที่เขาเอื้อมกดปุ่มพร้อมกับเธอ มือทั้งสองบังเอิญแตะกันเบาๆ เหมือนโดนไฟช็อต ทั้งคู่ชะงัก ไม่พูดอะไร มารตีหลุบตาลงนิ่ง แต่นัทพงษ์รีบชักมือกลับแทบจะทันที สีหน้าไม่ใช่แค่เขิน…แต่คล้ายกับใ และ “กลัว”
มารตีหันไปมองเขาเล็กน้อย “กลัวพี่เหรอ?” ถามเสียงเบา แต่มีตัวเองเท่านั้นที่รู้ว่าเธอก็รู้สึกผิดปกติเหมือนกัน
ชายหนุ่มเม้มปากแน่น หันมามองเธอช้าๆ “ผม…กลัวจะทำอะไรไม่เหมาะสมครับ กลัวจะเผลอคิดอะไรที่ไม่ควร…กับพี่”
เธอชะงักไปครู่ แล้วก็ยิ้มน้อยๆ “เธอรู้ไหม ว่าคำว่า ‘ไม่ควร’ น่ะ บางทีมันก็อยู่ที่ว่าเรากำลังเล่นเกมเดียวกันหรือเปล่า”
ประตูลิฟต์เปิดออกพอดี มารตีเดินนำไปก่อน ปล่อยให้คำพูดนั้นลอยวนอยู่ในหัวของเขาต่อไป และนัทพงษ์เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า…เขาอยาก “ชนะเกม” นี้ หรือ “ตกหลุม” ไปเสียเองกันแน่ บรรยากาศในออฟฟิศดูเงียบผิดปกติในสายตาของมารตี หรืออาจจะไม่ใช่ “ออฟฟิศ”…แต่เป็แค่บางมุมที่ขาด “คนหนึ่ง” ไปเท่านั้น
เช้าวันจันทร์ นัทพงษ์ยังคงมาทำงานตรงเวลา แต่ไม่แวะเข้ามาที่ห้องผู้จัดการอีกเลย เขาเลือกเส้นทางอ้อม หลีกเลี่ยงสายตา และตอบคำถามแบบสั้นที่สุดเมื่อจำเป็ต้องคุยกับเธอ มันต่างจากเมื่อก่อน…
ต่างจากเด็กชายตาโตที่เคยยิ้มเขินเวลาแอบรับโน้ตจากหญิงสาว ต่างจากเ้าหนูฝึกงานที่เคยลนลานแต่ก็อยากเข้ามาใกล้เธอ
“น้องนัทดูเครียดๆ นะคะ่นี้ งานหนักไปหรือเปล่า?” เสียงแซวของพนักงานสาวคนหนึ่งลอยมาในขณะพักเบรก
อีกคนพยักหน้าเสริม “หรือว่าโดนหัวหน้ามารตีแกล้งอีกล่ะ?”
“อู้ยย หัวหน้าของใครกันแน่ล่ะคะ” เสียงหัวเราะดังขึ้น พร้อมกันทั้งกลุ่ม
มารตียิ้มนิดๆ แต่ในใจกลับเงียบสนิท เสียงหัวเราะนั้น…เหมือนกลายเป็มีดบางๆ กรีดลงกลางใจเธอเบาๆ
่บ่าย
หญิงสาวเดินลงไปแผนกดีไซน์เพื่อตรวจงานตามปกติ เมื่อผ่านโต๊ะของนัทพงษ์ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาเจอเธอโดยบังเอิญ แล้วก็รีบก้มหน้าทำงานต่อ
“คุณนัทพงษ์...เสียงเธอนิ่ง นัทพงษ์ชะงัก แต่ไม่กล้าสบตา
“ครับ…”
“เดี๋ยวเจอกันที่ห้องประชุมเล็กอีกสิบนาที เอาแฟ้มดีไซน์ไปรอด้วย”
ชายหนุ่มพยักหน้าเงียบๆ ก่อนที่เธอจะเดินจากไป
ในห้องประชุมเล็ก ผู้จัดการสาวคนสวยนั่งรอนักศึกษาฝึกงานหนุ่มเงียบๆ อยู่ก่อนแล้ว โดยไม่ได้เปิดเอกสารเลย เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามา ท่าทางเขาดูเกร็งกว่าทุกที
“นั่งสิ” หญิงสาวพูดเสียงเรียบ
นัทพงษ์วางแฟ้มลงบนโต๊ะแล้วนั่งตรงข้าม มือกุมกันแน่น ใบหน้าเกร็งชัดเจน
เธอมองเขาอย่างนิ่ง ก่อนจะพูดว่า…“เธอหลบหน้าพี่...”
“ผม…เปล่านะครับ” เสียงพูดของแ่เบา และไม่กล้ามองสบตาเธอ
“แต่เธอไม่มองหน้า ไม่พูด ไม่ยิ้ม ไม่ล้อเล่น ไม่แม้แต่จะรับโน้ต”
“…ผมแค่คิดว่า เราอาจ…ล้ำเส้นมากไปแล้วครับ”
มารตีนิ่งไป ไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาตรงๆ แบบนี้ “พี่…ขอโทษนะ ถ้าทำให้เธอไม่สบายใจ”
นัทพงษ์เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองเห็นแววสำนึกบางอย่างในดวงตาเธอ เขายิ้มฝืนๆ “ไม่ใช่ความผิดของพี่หรอกครับ ผมแค่…รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝัน พี่เป็คนที่…ดีเกินไปสำหรับผม แล้วก็สวย น่าดึงดูด ใครๆ ก็ชอบพี่ ผมกลัวพี่แค่เล่นสนุก…”
คำว่า “เล่นสนุก” สะท้อนก้องในใจของสาวสวย
ใช่…เธอเคยคิดว่ามันเป็แค่เกม แต่ตอนนี้ หญิงสาวเองก็เริ่มกลัวเหมือนกัน กลัวว่าจะเล่นจนทำให้ใครบางคนเจ็บ และกลัว…ว่าตัวเองจะไม่สามารถแยกแยะหัวใจออกจากเกมได้อีกต่อไป
“ถ้าเธอกลัว งั้นเราจะหยุดก็ได้นะจ๊ะ”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบ แต่แววผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาเขาทำให้มารตีหลบสายตาทันที สาวสวยไม่ได้พูดต่อ เพียงแต่เปิดแฟ้มงานตรงหน้า พยายามพาตัวเองกลับสู่โหมดงาน…แม้หัวใจจะยังติดค้างอยู่ในความเงียบเมื่อครู่
หลังประชุมเสร็จ หญิงสาวเดินกลับขึ้นชั้นบนคนเดียว มีเสียงหนึ่งในทีมกระซิบเบาๆ
“ดูคุณนัทพงษ์กับหัวหน้าเหมือนทะเลาะกันเลยเนอะ”
อีกคนตอบ “จริง ดูเ็าทั้งคู่เลย่นี้”
มารตีเดินผ่านไปโดยไม่แสดงสีหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนมีเกร็ดน้ำแข็งบางๆ เกาะบนหัวใจ ความใกล้ชิดเริ่มเปราะบาง และหญิงสาวก็เพิ่งรู้ตัว…ว่าไม่อยากให้มันพังลงเลยแม้แต่นิดเดียว
เช้าวันถัดมา นัทพงษ์เดินเข้าบริษัทด้วยใบหน้าที่พยายามทำให้เรียบเฉย เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนหลับไปตอนไหน รู้แค่ว่าภาพรอยยิ้มของมารตียังตามหลอกหลอนอยู่ทุกลมหายใจ แต่พอคิดถึง “ความจริง” ที่มารตีเคยเล่าถึงสามีของเธอ…ถึงชีวิตที่เพียบพร้อมอยู่แล้ว เขาก็ได้แต่นึกถึงตัวเอง อย่างขมขื่นใจ
“จะไปหวังอะไรกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว”
“ฝันเกินตัวสิ้นดี...เฮ้อ”
เขาควรหยุด ควรถอย ควรกลับไปเป็แค่ “เด็กฝึกงาน” ที่ตั้งใจเรียนรู้งานต่อไปเงียบๆ แต่…
เมื่อเดินไปถึงโต๊ะทำงาน เขาก็พบกระดาษแผ่นเล็กๆ พับไว้ วางอยู่ข้างๆ คีย์บอร์ด ลายมือหวัดนิดๆ ที่เขาเริ่มจำได้แล้ว ชายหนุ่มค่อยๆ คลี่ออก อ่านช้าๆ ทีละคำ ในใจเต้นโครมคราม เหงื่อชื้นมือ
[“ไม่รู้ว่าพี่ควรพูดหรือไม่ควรพูด แต่พี่คิดถึงรอยยิ้มของเด็กชายตาโตคนนั้นนะ อย่าหายไปแบบนี้อีกเลย” ... มารตี ]
มือที่ถือกระดาษสั่นนิดๆ หัวใจเต้นผิดจังหวะราวกับกำลังโดนปลุกให้ตื่นจากหลุมลึก แต่เขาก็ยังไม่กล้าเชื่อสิ่งที่เห็นอยู่ดี