เจินจูเดินไปข้างหน้าด้วยความโมโหจนแทบหายใจไม่ทัน แต่สีแดงเืฝาดบนใบหน้ายังไม่จางลง
นางยกมือขึ้นลูบริมฝีปากที่บวมแดงน้อยๆ ของตน แล้วใช้สายตาคมกริบดังใบมีดส่งไปทางคนด้านหลัง
มุมปากของหลัวจิ่งยกขึ้นสูงจนถึงที่สุด ตัวนางเองคงคิดว่าแสดงอารมณ์ออกมาได้โเี้ แต่ในสายตาของเขากลับมองว่าน่ารักและงดงามยิ่งนัก เขาเร่งก้าวฝีเท้าไปข้างหน้าอย่างเสียมิได้
เจินจูเห็นดังนั้นจึงรีบยื่นแขนออกมา ทำสัญญาณมือให้เขาหยุด
“หยุด ห้ามอยู่ใกล้ข้าเกินไป”
หลัวจิ่งหยุดยืนอยู่หน้ามือเล็กของนางอย่างเชื่อฟัง
เจินจูรีบเก็บมือกลับพร้อมกับถอยไปข้างหลังสองก้าว “แค่กๆ” แสร้งกระแอมไอและทำใบหน้าเคร่งขรึมขึ้น “เมื่อครู่เ้าหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดถึง เอ่อ… ทำเช่นนั้น? เ้า... รู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าเช่นไร?”
หลัวจิ่งเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าลง จัดการสีหน้าให้เป็ปกติ “ข้าย่อมต้องรู้สิว่าหมายความว่าเช่นไร เจินจู เ้า... ไม่เข้าใจความในใจของข้าหรือ?”
สีหน้าท่าทางและน้ำเสียงของเขาจริงจังอย่างมาก ดวงตาที่มองนางราวกับมีเปลวไฟกำลังลุกโชน
เจินจูรู้สึกลำคอแห้งผากไปชั่วขณะ กล่าวอะไรไม่ออก
นางก้มหน้าลง เลี่ยงสายตาร้อนแรงของเขาที่จ้องนางอยู่
“เ้ารู้ดี ข้าชอบเ้า ชอบมากมาโดยตลอด”
หลัวจิ่งไม่ให้นางหลบหลีก เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วประคองใบหน้าเล็กขาวนวลเปล่งปลั่งของนางให้เงยขึ้น
สองคนสบสายตากัน เจินจูเห็นความจริงจังและจริงใจในดวงตาของเขา
ใช่แล้ว... นางรู้ดีว่าเขาชอบนางมากมาโดยตลอด
แต่ระดับของความชอบถึงตรงไหนกันนะ?
นางยกสองมือขึ้นดึงมืออุ่นร้อนของเขาลง ทว่ากลับถูกเขาพลิกฝ่ามือและกุมมือทั้งสองข้างไว้แทน
เจินจูถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธเคืองทีหนึ่ง เ้าหนุ่มนี่จริงๆ เลย ชอบหาโอกาสให้ได้เข้าใกล้นางนัก
การตำหนิและความไม่พอใจของนางตกกระทบเข้าสู่ดวงตาของเขา ราวกับถูกขนนกปัดผ่านเบาๆ ทั้งนุ่มนิ่ม ทั้งวาบหวาม ไปจนถึงเป็ความหวานชื่น
เจินจูไม่สนใจการยั่วเย้าของเขาอีก ปล่อยให้เขากุมมือของนางไว้ แล้วนางก็ช้อนตาขึ้นมองพร้อมถามอย่างจริงจัง “เ้าจะขอข้าแต่งงานหรือไม่?”
“แน่นอน!” หลัวจิ่งพยักหน้า ไม่มีความลังเลยแม้แต่นิดเดียว
นับว่าเ้ารู้จักอ่านสถานการณ์ออก ในใจเจินจูมีความสุขเล็กน้อย นางจงใจเชิดหน้าขึ้นและเหล่มองเขา “ข้าไม่ใช่ว่าจะขอแต่งงานด้วยได้ง่ายดายเพียงนั้นนะ”
สีหน้าท่าทางเย่อหยิ่งของนาง คล้ายกับท่าทีของเสี่ยวเฮยยิ่งนัก หลัวจิ่งอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ “ข้ารู้”
เจินจูมองเขาปราดหนึ่งด้วยความสงสัย นางยังไม่ได้พูดเลย เขารู้แล้วหรือ
“เ้ารู้? เช่นนั้นเ้าลองกล่าวมาสิ”
หลัวจิ่งลูบไล้มือเล็กของนาง ความอ่อนโยนที่แสดงออกมาแฝงไว้ด้วยความรักและทะนุถนอมตามใจเล็กน้อย
“เ้าไม่ชอบการใช้ชีวิตในคฤหาสน์ใหญ่โต ไม่ชอบถูกคนควบคุม ไม่ชอบการออกจากบ้านแล้วยังต้องคอยรายงาน ไม่ชอบการแก่งแย่งวางอุบายใส่กันของฟู่เหรินภายในบ้าน อืม... แล้วยังไม่ชอบบุรุษที่มีภรรยาและอนุเป็กลุ่มอีกด้วย”
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ข้อมูลคร่าวๆ ที่เขารวบรวมไว้บางส่วนในเมื่อก่อน
เอ๊ะ... รู้จริงด้วยแฮะ ที่ผ่านมาใบหน้าของเขาปกคลุมไว้ด้วยท่าทางเ็าแข็งกระด้าง แต่กลับแอบเก็บรวบรวมข้อมูลเล็กน้อยเหล่านี้ไว้ โอ้... ทำให้เขาต้องลำบากแล้วจริงๆ
“ในเมื่อรู้ เ้าจะทำได้หรือไม่?”
เจินจูมองเขาอย่างแน่วแน่ สายตาตื่นเต้นแอบมีความคาดหวัง ทั้งยังมีความยุ่งเหยิงเล็กน้อย
“ขอแค่เ้ารับปาก สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ปัญหา”
เขาพลิกฝ่ามือรั้งฝ่ามือของนางให้กางออก สิบนิ้วมือสอดประสานอยู่ด้วยกันกับนิ้วมือของนาง
ฝ่ามือใหญ่สีข้าวสาลีประสานกับมือเล็กผิวขาวละเอียด กลางฝ่ามือเสียดสีกันและกันจนเกิดเป็ความร้อน เจินจูรู้สึกใบหน้าของตนเองเริ่มแดงขึ้นมาอย่างระงับไว้ไม่ได้อีกแล้ว
นางรีบออกแรงชักฝ่ามือกลับ จะปล่อยให้เขามาทำให้นางเกิดความรู้สึกสับสนบ่อยๆ ไม่ได้
นางถอยหลังไปสองก้าว “พี่ชายใหญ่ของเ้าจะเห็นด้วยหรือ?”
แม้ไม่เคยพบพี่ชายใหญ่ของเขา แต่พี่ชายใหญ่ของเขาอยู่ในตำแหน่งและฐานะสำคัญ อีกทั้งเป็พี่ชายเพียงคนเดียวของเขาอีก
สุภาษิตว่าพี่ชายคนโตเปรียบเสมือนบิดา หากพี่ชายใหญ่ของเขาไม่เห็นด้วย หลัวจิ่งจะฝ่าฝืนความ้าของพี่ชายแล้วขัดคำสั่งขอนางแต่งงานหรือ
สายตาของหลัวจิ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง เื่นี้เขายังไม่เคยพูดคุยกับท่านพี่เลย แต่เขาเชื่อมั่นว่าท่านพี่จะไม่มีทางขัดขวางอย่างแน่นอน
“ข้ายังไม่เคยพูดคุยกับท่านพี่ แต่เขาไม่ก้าวก่ายเื่ส่วนตัวของข้า เื่ของพวกเราเขาน่าจะไม่มีทางขัดขวาง”
น่าจะ? เชอะ เช่นนั้นก็ยังไม่มีความมั่นใจ
“อื้ม เื่ของเราเอาไว้ก่อน เ้าจัดการคุยกับพี่ชายใหญ่ของเ้าให้เรียบร้อยแล้วค่อยว่ากัน อย่างไรเสียก็ไม่ได้รีบร้อน ข้าเพิ่งอายุสิบสี่ปีเอง ไม่รีบร้อนหมั้นหมายอยู่แล้ว”
นางฉีกยิ้มส่งมาทางเขาและเริ่มเดินไปยังทิศทางที่ผิงอันกับผิงซุ่นวิ่งหายไป
ทว่าหลัวจิ่งกลับขมวดคิ้วขึ้น เขาได้ยินจากอาชิงแล้วว่ามีแม่สื่อมาสู่ขอกับหลี่ซื่อถึงหน้าบ้าน แค่หลี่ซื่อไม่ได้ตอบรับเท่านั้นเอง
ปีหน้านางก็อายุสิบห้าปี ถึงวัยที่ต้องเอ่ยเื่การแต่งงาน โฉมหน้าเช่นนั้น หากอยู่ในเมืองหลวงล้วนนับว่าเป็สาวงามที่หาได้ยากยิ่ง สำหรับหมู่บ้านชนบทเล็กๆ แห่งนี้ คนรักใคร่หลงใหลเกรงว่าจะมีเยอะยิ่งกว่านัก ธรณีประตูบ้านของสกุลหูคาดว่าคงต้องให้พ่อสื่อแม่สื่อย่ำจนพังเป็แน่
แต่นางกลับกล่าวว่าไม่รีบร้อน หลัวจิ่งเส้นดำเต็มศีรษะ รีบก้าวไปข้างหน้าขวางนางไว้
“เ้าไม่รีบร้อนหมั้นไว้ หรือยังคิดจะแต่งให้กับผู้อื่น?”
เจินจูเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหึงหวงของเขา พลันรู้สึกเป็ใบ้ไปชั่วขณะ “เช่นนั้น หากพี่ชายใหญ่ของเ้าไม่เห็นด้วย เ้าคิดจะให้ข้ารอเ้าไปชั่วชีวิตหรือ?”
“…” หลัวจิ่งนิ่งอึ้งไป เขาไม่ได้คิดถึงความน่าจะเป็นี้เลย
“เพราะฉะนั้น เ้าจัดการพูดคุยกับพี่ชายใหญ่ของเ้าให้เรียบร้อย แล้วค่อยมากล่าวอย่างอกผายไหล่ผึ่งด้วยความมั่นใจเถอะ”
เจินจูทำหน้าทะเล้นไปทางเขา แล้วเดินอ้อมเขาไป
ความตื่นเต้นดีใจของหลัวจิ่งมอดลง หากท่านพี่ของเขาไม่เห็นด้วย นางจะเตรียมแต่งให้กับผู้อื่นเช่นนั้นหรือ? ความสำคัญของเขาที่อยู่ในใจนาง เบาบางปานนั้นเลย? เขาตามหลังนางไปอย่างเงียบเชียบ
แน่นอน เขาก็รู้เช่นกันว่าหากท่านพี่ไม่เห็นด้วย เขาคงไม่มีฐานะอะไรที่จะเอ่ยข้อเรียกร้องจากนางได้
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ได้มีอุปนิสัยยอมโอนอ่อนผ่อนตาม คิดอยากให้นางเชื่อและทำตามคำพูดของเขา เว้นเสียแต่ว่านางจะสมัครใจเอง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เพ้อฝันว่าจะร้องขอเื่ที่ทำให้เขาพอใจได้
เจินจูคร้านจะสนใจสีหน้าดำทะมึนของเขาอีก เ้าคนเ้าเล่ห์นี่ เอาเปรียบนางไปแล้วยังกล้ามาแสดงสีหน้าเช่นนี้ให้นางเห็นอีก ชิ!
“พี่สาม รีบมาเร็ว ตรงนี้มีปลาเยอะมากเลย!” เสียงะโของผิงซุ่นดังสะท้อนอยู่ในหุบเขากว้างโล่ง
นางยกชายกระโปรงขึ้น พร้อมกับวิ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็ว
“ท่านพี่ ท่านดูสิ ข้ากับพี่ชายจับปลาตัวใหญ่ได้เยอะเลย” ผิงอันยืนอยู่กลางแม่น้ำลำธารสายเล็ก หัวเข่าของเขาจมลงไปในลำธารนั้น
“นี่ หนาวเย็นเพียงนี้ พวกเ้ายังลงไปในลำธารอีก หากเป็หวัดกลับไปรอโดนฟาดเรียงคนเลยนะ” เจินจูขมวดคิ้วจ้องพวกเขา
“ฮิๆ ไม่เป็ไร ท่านพี่ น้ำอุ่นยิ่งนัก ท่านลองจุ่มดูก็รู้”
“ใช่แล้วๆ พี่สาม น้ำในลำธารอุ่นมาก”
สองคนฉีกยิ้มขึ้นมาตามๆ กัน
เจินจูนั่งยองลงไปข้างลำธาร ยื่นมือจุ่มลงไปสำรวจอุณหภูมิของน้ำ ค่อนข้างอุ่นกว่าในอากาศจริงด้วย
หลังเข้าสู่หน้าหนาว น้ำในแม่น้ำลำธารสายเล็กก็เริ่มเปลี่ยนมาตื้นขึ้นเรื่อยๆ ส่วนที่ลึกที่สุด สูงไม่ถึงความสูงของหนึ่งคน
เจินจูสายตาดี นางเห็นฝูงปลาแหวกว่ายอยู่ก้นลำธารที่ห่างออกไปไกล
“ว้าว มีปลาอยู่ข้างล่างมากมายจริงด้วย” นางชี้ไปยังก้นลำธารที่ค่อนข้างลึก “น่าเสียดาย ไม่ได้เอาตาข่ายดักปลามา ไม่อย่างนั้นคงจับปลามากมายกลับไปได้แล้ว”
“เหมียว” เสี่ยวเฮยเข้ามาถูด้านข้างของนาง บนตัวของมันเปียกน้ำ
เจินจูหิ้วมันออกไปด้วยความรังเกียจ “ทำไมตัวเปียกไปหมดเช่นนี้?”
“ท่านพี่ เมื่อสักครู่เสี่ยวเฮยงมปลาอยู่ตรงน้ำตื้นทางนั้น พุ่งลงไปในน้ำเองเลยด้วย” ผิงอันรีบกล่าว
“จุ๊ๆ เ้านี่ตะกละนัก รอให้พวกเขางมให้เ้าไม่ได้หรือ? ดื้อดึงลงไปในน้ำ กลับไปป่วยแล้วจะไปหาหมอสัตวรักษาอาการป่วยให้เ้าได้ที่ไหน” เจินจูจิ้มหัวเล็กของมัน และยื่นมือออกไปอุ้มมันขึ้นไปบนก้อนหินสะอาดก้อนหนึ่ง
ล้วงเอาผ้าออกมาหนึ่งผืนจากในอ้อมอก หรืออันที่จริงก็คือจากมิติช่องว่าง เพื่อเอาออกมาเช็ดให้ตัวมันแห้งสะอาด
หลัวจิ่งถอดรองเท้าอย่างเงียบเชียบไม่พูดไม่จา ม้วนชายแขนเสื้อและขากางเกงขึ้นพร้อมเข้าร่วมการจับปลากับสองพี่น้อง
การกระทำของเขาเร็วกว่าเด็กสองคนนัก ดวงตาฉับไวมือรวดเร็ว กิริยาท่าทางเฉียบขาดและว่องไว ผ่านไปหนึ่งเค่อบริเวณริมลำธารก็มีปลายี่สิบถึงสามสิบตัวขึ้นมาะโดีดดิ้นเต็มไปหมด
“ว้าว พี่ยู่เซิง ท่านร้ายกาจจริงๆ!”
“นั่นน่ะสิคนเดียวจับได้มากกว่าพวกข้าสองคนอีก”
พวกเขาจับปลาด้วยมือเปล่า แค่นี้ก็มีความยากลำบากอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็ในวันที่เหน็บหนาวอีก แม้ขาที่ยืนอยู่ในน้ำจะไม่หนาว แต่มือต้องขึ้นๆ ลงๆ ในน้ำบ่อยครั้ง เมื่อถูกลมหนาวพัดหนึ่งทีคงสุดจะทนยิ่งนัก
“พวกเ้าสามคนพอได้แล้ว รีบขึ้นมา จับปลามากมายเพียงนั้นพวกเราไม่มีอะไรใส่ อีกเดี๋ยวจะเอากลับไปอย่างไร?” เจินจูเช็ดตัวเสี่ยวเฮยให้แห้งแล้วไปซักผ้าที่ริมลำธาร
“ท่านพี่ ในที่พักนั่นมีตะกร้าไม้เลื้อยสานใบใหญ่ ข้าเห็นอยู่ เดี๋ยวข้าจะไปยกมาสองใบ” ผิงอันเดินออกมาจากลำธาร นั่งลงบนก้อนหินด้านข้างแล้วปล่อยแขนเสื้อลง กำลังจะใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำบนขา
เจินจูวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว “ผลัวะ” นางตบลงไปบนไหล่ของเขาหนึ่งที “ใช้อันนี้เช็ด”
“แหะๆ” ผิงอันหัวเราะ รับผ้ามาเช็ดให้แห้ง ไม่คิดเล็กคิดน้อยว่าเป็ผ้าที่เสี่ยวเฮยใช้มาก่อน
ผิงซุ่นก็เริ่มขึ้นจากลำธารเช่นกัน เจินจูเอาผ้าเปียกมาซักหนึ่งรอบแล้วบิดให้แห้งเพื่อให้เขาเช็ดต่อ
หลังสองคนขึ้นมาจากลำธาร สีหน้าซีดเล็กน้อย
เจินจูมองพวกเขาอย่างไม่ชอบใจนัก “ดูสิ หนาวเข้าแล้วล่ะสิ อีกเดี๋ยวกลับไปดื่มชาขิงคนละถ้วยให้หมดจะได้ไม่หนาวเย็นจนเจ็บป่วยขึ้นมา”
“ไม่หนาว” สองคนปฏิเสธโดยพร้อมเพรียงกัน
“…”
ผิงอันวิ่งไปหยิบตะกร้า ส่วนผิงซุ่นเริ่มรวบรวมปลาที่หนาวจนตัวแข็งเข้าไว้ด้วยกัน
หลัวจิ่งยังคงยุ่งกับการจับปลาในน้ำ
เจินจูชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งและไม่สนใจเขา
วิ่งไปถึงข้างกายผิงซุ่นแล้วเริ่มนับปลาที่จับขึ้นมาได้
รอจนกระทั่งผิงอันยกตะกร้าสองใบกลับมา เจินจูก็นับจำนวนคร่าวๆ ได้แล้ว
ไม่น้อยเลยจริงๆ ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่รวมกันขึ้นมาแล้วมีปลาอยู่เจ็ดสิบถึงแปดสิบตัวได้
“อืม... เอากลับไปทำลูกชิ้นทั้งหมดเลย” นางกล่าวจบก็ยิ้มกว้างขึ้นอย่างสดใส
หลัวจิ่งเห็นรอยยิ้มทั่วทั้งใบหน้าของนางจากที่ไกลๆ อดท้อถอยหมดกำลังใจไปพักหนึ่งไม่ได้ เขาสีหน้าดำทะมึนขัดเคืองอยู่ข้างใน คนเขากลับไม่เคยสนใจตนเลย อยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำอย่างนั้น มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้สึกอัดอั้นราวกับหายใจไม่ออก
ช่างเถอะ ลูกผู้ชายอกสามศอก จะโมโหด้วยเื่ไม่เป็เื่อะไรกับเพียงสตรีผู้เดียว
เขาลุยขึ้นมาจากลำธารด้วยจิตใจที่หดหู่
เจินจูเห็นว่าในที่สุดเขาก็ตัดใจขึ้นมาได้เสียที จึงเดินเข้าไปและยื่นผ้าที่บิดแห้งแล้วในมือส่งให้เขา
“ให้เ้า เช็ดแห้งสะอาดแล้ว พวกเราจะกลับไปทำลูกชิ้นปลากัน”
นางเอียงศีรษะกล่าวกับเขาอย่างยิ้มแป้น
หลัวจิ่งมองนางทีหนึ่ง เด็กสาวผู้นี้ตีเขาด้วยไม้ตะบองหนึ่งทีแล้วยังมาให้ผลพุทราเขาหนึ่งลูกอีก [1] ช่างไร้ศีลธรรมเกินไปแล้วจริงๆ
เขาเชิดหน้าด้วยความขุ่นเคือง
“ฮ่าๆๆ” เจินจูหัวเราะจนตัวงอ เป็ไปตามคาด ยังเป็เ้าหนุ่มน้อยอายุสิบหกปีผู้หนึ่งจริงๆ นี่สิจึงจะเป็ปฏิกิริยาที่แท้จริงของเขา เวลาปกติท่าทางใบหน้าราวกับูเาน้ำแข็งที่เ็าเฉยเมย ล้วนเป็การวางท่าออกมาทั้งนั้น
หลัวจิ่งหันกลับมาถลึงตาดุใส่นาง พร้อมกับฉกฉวยเอาผ้าในมือของนางไป และเริ่มเช็ดคราบน้ำ
“ฟู่” ท่าทางหัวเราะของเจินจูที่ไม่ได้อดกลั้นไว้ กลับถูกสายตาที่ดุอย่างโเี้ของเขาทำให้รู้สึกว่าเขาน่ารักมากจริงๆ ไอ๊หยา หากไม่ใช่ว่าด้านข้างยังมีเด็กน้อยสองคนอยู่ นางอยากจะเข้าไปคลึงแก้มสองข้างของเขาแรงๆ สักรอบเลยจริงเชียว
ปลายหูหลัวจิ่งเริ่มแดงลุกลามขึ้น การแสดงออกอย่างเด็กน้อยที่อ่อนต่อโลกเช่นนี้ ไม่ใช่ตัวเขาเลยจริงๆ
ทำไมกันนะ ขอเพียงอยู่ด้วยกันกับนาง เขาก็ควบคุมจิตใจตัวเองและดึงหน้าไว้ไม่อยู่เลย
เจินจูแลบลิ้นและไม่เย้าแหย่เขาอีก หมุนตัวไปช่วยสองพี่น้องนำปลาใส่ลงในตะกร้า
กลับมาถึงบริเวณคฤหาสน์ ใส่กุญแจประตูด้านข้างให้เรียบร้อย
สี่คนเดินเล่นบริเวณโดยรอบหนึ่งรอบ แล้วจึงรีบรุดกลับบ้านไปตามทางเดิมที่มา
สละม้าหนึ่งตัวเพื่อแบกตะกร้าปลาสองใบโดยเฉพาะ ผิงอันกับผิงซุ่นจึงขี่ม้าอยู่ด้วยกัน
เมื่อผ่านบ้านเก่าก็ปล่อยผิงซุ่นลง เลือกปลาตัวโตให้เขาหิ้วกลับเข้าบ้านไป
ส่วนที่เหลือก็นำกลับไปทำลูกชิ้นปลา แล้วค่อยนำมามอบให้อีกที
เมื่อหลี่ซื่อได้เห็นว่าพวกเขาลงลำธารไปจับปลาท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ จึงคว้าตัวพวกเขาไปดุอยู่พักหนึ่งดังที่เจินจูคาด จากนั้นก็รินน้ำขิงเข้มข้นให้คนละถ้วย แล้วถึงปล่อยพวกเขาไปได้
เจินจูนั่งอยู่ด้านข้าง มองสองคนที่ถูกตำหนิอย่างเบิกบานใจ
เชิงอรรถ
[1] ตีด้วยไม้ตะบองหนึ่งทีแล้วยังมาให้ผลพุทราหนึ่งลูกอีก หมายถึง ตบหัวแล้วลูบหลัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้