เกิดใหม่ครั้งนี้ ขอเป็นภรรยาเศรษฐีนีแม่ลูกสามในยุค 80

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

     แผนการที่หวังซิ่วอิงกับหลี่เสวี่ยหรูหารือกันนั้น เกี่ยวข้องกับเ๱ื่๵๹วางยาและการมีเพศสัมพันธ์จึงไม่เหมาะจะให้หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานอย่างซ่งเหม่ยอวิ๋นรับฟังเ๱ื่๵๹เช่นนี้ได้ ดังนั้นไม่ว่าซ่งเหม่ยอวิ๋นจะซักถามอย่างไรหวังซิ่วอิงก็ไม่ยอมบอกเธอเลยสักนิด 

        และไม่ใช่ว่าซ่งเหม่ยอวิ๋นจะไม่เคยถามหลี่เสวี่ยหรู เธอถามแล้วแต่หลี่เสวี่ยหรูก็ไม่ยอมบอกอะไรเธอเช่นกัน

        ซ่งเหม่ยอวิ๋นไม่พอใจเป็๲อย่างยิ่ง เธอรู้สึกว่าตนเองเป็๲คนเสนอความคิดเห็นชัดๆ แล้วทำไมสุดท้ายสองคนนี้ถึงกันเธอออกมา? เธอกระทืบเท้าพลางกล่าวว่า ”ฉันจะไม่สนใจพวกคุณอีกต่อไปแล้ว!”

        ตัดภาพมาที่อีกด้านหนึ่ง ซย่านีกำลังพาลูกๆ ไปที่ตลาดเกษตรกรและซื้อผักมากองโต มีทั้งผักกาดหอม ผักจี้ไฉ่[1] ผักกุยช่าย มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำและกะหล่ำปลี เป็๞ต้น นอกจานี้เธอยังซื้อปลาช่อนมาอีกสองตัว เนื่องจากปลาชนิดนี้มีก้างน้อยจึงเหมาะสำหรับให้ผู้สูงอายุและเด็กรับประทานเป็๞ที่สุด

        เธอยังเห็นว่าที่นี่มีสาหร่ายแห้งกับสาหร่ายทะเลขายอีกด้วย อาหารทะเลชนิดนี้ถือว่าเป็๲ของหายากในชนบทซย่านีตั้งใจซื้อมันโดยเฉพาะ พอถึงตอนทำอาหารเธอจะได้เอามันไปทำเป็๲น้ำแกงสาหร่ายใส่ไข่ หรือยำเส้นสาหร่ายอะไรแบบนั้นแถมจะได้ให้ซย่าซานนีกับพวกลูกๆ ของเธอได้ลองกินอะไรใหม่ๆ บ้าง

        ซย่านียังคิดจะซื้อเนื้อหมูเพิ่มอีกด้วย แต่ว่าตอนนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้นมาบ้างแล้วและที่บ้านก็ไม่มีตู้เย็นสำหรับเก็บอาหาร ซย่านีจึงกลัวว่าเนื้อหมูที่ซื้อไปในวันนี้จะไม่สด พอคิดไปคิดมาเธอก็ตัดสินใจได้ว่าพรุ่งนี้ค่อยมาซื้อจะดีกว่า

        พวกเขาได้สินค้ามากมายจากการมาตลาดเที่ยวนี้มาก ซย่านีถือของพะรุงพะรังเต็มสองมือ แม้แต่ซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่เองก็ยังถือของอยู่ในมือไม่น้อยเลย ส่วนลูกชายคนเล็กนั้นถูกซย่านีใช้ที่อุ้มลูกที่เธอเพิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาผูกติดไว้อยู่ในอ้อมแขนของเธอ

        ตอนไปจ่ายตลาด มีคนจำนวนไม่น้อยพากันมองดูอุปกรณ์อุ้มลูกของซย่านีอยู่หลายครั้ง ไม่เพียงแค่มองแต่พวกเขายังเอ่ยชมอีกด้วยว่า “ของสิ่งนี้ยอดเยี่ยมมากเลย สามารถอุ้มเด็กๆ ไว้ในอ้อมแขนได้แถมยังทำให้คนอุ้มสะดวกขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย” บ้างก็กล่าวว่า “ฉันกลับบ้านไปแล้ว ลองทำสักอันดีกว่า” บ้างก็นึกสงสัย “พอเด็กน้อยใช้เ๯้านี่แล้ว เด็กเขาจะสบายตัวไหม?” บ้างก็บอกว่า “ดูเด็กน้อยคนนี้สิไม่ร้องไห้แถมยังยิ้มร่าอีก ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาสบายตัวหรือไม่สบายตัวหรอกนะ แต่ฉันว่าเขาคงไม่อึดอัดแน่ๆ” 

        แม้แต่ป้าคนขายผักบางคน พอเห็นว่าลูกสามคนของซย่านีหน้าตาน่ารักก็พากันแถมผักเพิ่มให้ด้วย อีกทั้งยังกล่าวว่า “ให้เด็กๆ กินเยอะๆ หน่อยนะจ้ะ! ดูสิ ลูกทั้งสามคนนี้ของคุณหน้าตาน่ารักกันทุกคนเลย!”

        ระหว่างทางกลับบ้านนั้นเอง อาจเป็๞เพราะซ่งตงซวี่ได้รับคำชมเยอะมาก เขาจึงเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดกับซย่านีว่า “แม่ฮะ ต่อไปนี้ ถ้าแม่จะไปจ่ายตลาดก็เรียกผมได้เลย ผมไปช่วยแม่ถือของได้นะฮะ”

        ซย่านีรู้สึกขบขันมากจน๱ะเ๤ิ๪เสียงหัวเราะลั่น

        ซ่งวั่งซูมองเหยียดรูปร่างหน้าตาของซ่งตงซวี่แล้วก็พูดเยาะเย้ย “นายก็แค่อยากได้ยินคนอื่นชมว่านายหน้าตาดีล่ะสิ! หน้าตาดีแล้วมันยังไง? นั่นเป็๞เพราะพ่อมอบกรรมพันธุ์ให้นายมากกว่า ฉันว่าเ๹ื่๪๫เรียนดีต่างหากถึงจะเป็๞ความสามารถของตัวนายเอง!”

        ซ่งตงซวี่เงียบลงทันที “…”

        ซย่านีถึงกับพูดไม่ออก “…”

        ลูกสาวเอ๋ย รู้ตัวบ้างไหมว่าแค่คำพูดประโยคเดียวของลูก มันทำร้ายคนได้ถึงสองคนเลยนะ? ทำไมกันแม่ไม่คู่ควรที่จะส่งต่อกรรมพันธุ์ให้พวกลูกหรือไง?

        “แม่ แม่ดูนั่นสิ ใช่ป้าเซี่ยงเหมยไหมคะ?” จู่ๆ ซ่งวั่งซูก็อุทานขึ้นมา เธอชี้ไปด้านหนึ่งพร้อมกับเอ่ยถามซย่านี

        ซย่านีมองไปตามทิศทางที่ลูกสาวชี้บอกพบว่าเป็๲เซี่ยงเหมยกับเฝิงหย่งกำลังยืนรอพวกเธออยู่ที่หน้าประตูบ้าน

        “ใช่แล้วจ้ะ ป่ะ พวกเรารีบเดินกันเถอะ” ซย่านีรีบเร่งฝีเท้าทันที เธอวิ่งตรงไปทางสามีภรรยาคู่นั้น ส่วนเด็กทั้งสองที่เดินตามอยู่ด้านหลังเธอก็พากันวิ่งตามมาด้วยขาสั้นๆ

        “ซย่านี” หลังจากที่เซี่ยงเหมยเห็นซย่านีเธอก็ยิ้มให้ซย่านี จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หายไป เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางถอนหายใจออกมา

        ซย่านีรู้ได้ทันทีว่า วันนี้เฝิงหย่งเดินทางไปที่เมืองหลางไม่ค่อยราบรื่นนัก เธอจึงรู้สึกกังวลขึ้นมาแล้ว

        ซย่านีหยิบกุญแจออกมาไขประตูและผลักบานประตูให้เปิดออก จากนั้นเธอก็หิ้วของทั้งหมดที่ซื้อมาจากตลาดไปเก็บไว้ในห้องครัว

        เซี่ยงเหมยยืนอยู่ในลานบ้าน เธอเอ่ยถามซย่านีขึ้นว่า “ทำไมถึงซื้อของมาเยอะเลยล่ะ?”

        ซย่านีตอบอย่างสบายๆ “น้องสาวคนที่สองของฉันจะมาถึงที่นี่ในวันพรุ่งนี้ค่ะ ฉันก็เลยซื้ออาหารดีๆ มาเตรียมต้อนรับเธอหน่อย”

        ซย่านีพาพวกเขาเข้ามาในห้องโถงหลัก เด็กทั้งสองคนก็เดินตามเข้ามาด้วย แต่ซย่านีโบกมือแล้วบอกพวกเขาว่า “พวกลูกทำการบ้านเสร็จหรือยัง? ถ้าทำเสร็จแล้วก็ออกไปเล่นด้วยกันเถอะ แต่อย่าวิ่งไปไหนไกลนะให้เล่นอยู่ในตรอกนี้ก็พอ แล้วก็อย่าไปไหนกับคนแปลกหน้าด้วยรู้ไหม? พวกลูกมีเวลาเล่นได้แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้นพอถึงเวลาแล้วให้รีบกลับมากินข้าวนะจ้ะ”

        หลังจากกำชับลูกๆ ยกใหญ่ เด็กทั้งสองคนก็รีบออกไปเล่นข้างนอกด้วยกันแล้ว หลังจากนั้นซย่านีก็หันไปถามเฝิงหย่งกับเซี่ยงเหมยว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ? มีเ๱ื่๵๹อะไรหรือเปล่าคะ?”

        เซี่ยงเหมยมองไปทางเฝิงหย่ง ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นว่า “ก็ไม่ใช่เ๹ื่๪๫ใหญ่อะไรหรอก แค่วันนี้ฉันเอาสินค้าไปขายที่เมืองหลาง พอไปถึงก็พบว่าที่นั่นมีคนเริ่มขายยางรัดผมกันแล้ว”

        ซย่านีขมวดคิ้วทันที “เริ่มมีคนขายแล้วหรือ? อาจเป็๲เพราะเมืองหลางอยู่ใกล้เมืองจินมากเกินไป พวกเราขายยางรัดผมกันมาสักพักแล้ว ถ้าจะแพร่หลายออกไปก็ถือเป็๲เ๱ื่๵๹ปกติ ดังนั้นวันนี้ก็ไม่ได้ขายใช่ไหมคะ?”

         “เปล่า พวกเราขายของหมดแล้ว” เฝิงหย่งเพิ่งจะยิ้มออก

        ซย่านีตกตะลึง “ขายหมดเลยหรือคะ? ขายลดราคาหรือเปล่า?”

        “ไม่ได้ลดราคาหรอก ฉันเห็นว่าเมืองหลวงมีคนขายยางรัดผมแล้ว ฉันก็เลยหันหลังกลับไปที่สถานีขนส่งแล้วซื้อตั๋วไปเมืองอื่นแทน โชคดีที่ที่นั่นยังไม่มีใครขายยางรัดผมสักคน ฉันก็เลยขายสินค้าอยู่ที่นั่นจนของหมด” เฝิงหย่งควักเงินออกมาจากกระเป๋าและกล่าวว่า “นี่เป็๞เงินที่หาได้ในวันนี้ ฉันกับเซี่ยงเหมยนับมาจากที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดได้สี่ร้อยหยวนพอดีและนี่เป็๞ส่วนแบ่งของเธอนะ”

        “พี่เฝิงหย่ง พี่ทำจนได้สินะ ช่างหลักแหลมอะไรขนาดนี้!” ซย่านีรับเงินมา แล้วยัดใส่กระเป๋าโดยไม่ได้นับจำนวนเงินเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “เมื่อครู่ พวกพี่ทำฉัน๻๠ใ๽แทบตาย ฉันเห็นสีหน้าพวกพี่เป็๲แบบนั้น ก็ยังคิดอยู่เลยว่า พวกเราคงจะขายของกันไม่ออกเสียแล้ว”

        เซี่ยงเหมยกล่าว “ฉันจะไม่กังวลได้หรือ ยางรัดผมของพวกเราไม่ได้ทำยากขนาดนั้น ฉันเดาว่าอีกไม่นานเมืองใกล้เคียงก็คงจะมียางรัดผมแบบนี้ขายไปทั่ว ฉันคิดว่าหากเป็๞แบบนี้ต่อไปคงไม่ได้การแล้วจริงๆ”

        หลังจากทำธุรกิจมานานเซี่ยงเหมยก็เริ่มใช้หัวสมองขึ้นมาแล้ว เธอดึงตัวซย่านีพลางกล่าวว่า “หากว่ากันตามแผนของพวกเราแล้ว เราจะขายของได้เมืองละรอบเองนะ ดูอย่างตอนที่พวกเราไปเมืองจินสิ ครั้งก่อนเราขายยางรัดผมได้เยอะมากเลยแต่ฉันคิดว่าหากเอายางรัดผมไปเยอะกว่านี้ก็คงจะขายได้อยู่ดี ดังนั้นฉันเลยคิดว่าตอนที่พวกเราเดินทางไปขายของเมืองอื่นๆ ทางที่ดีเราควรจะเอายางรัดผมไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็๲ไปได้นะ”

        ซย่านีพยักหน้า เธอเห็นด้วยกับคำพูดของเซี่ยงเหมย

        เซี่ยงเหมยเหมือนกับได้รับกำลังใจขึ้นมาจึงกล่าวต่อว่า “แต่หากอาศัยเพียงพวกเราแค่สองคนคงจะทำยางรัดผมออกมาได้ไม่เยอะแน่ๆ ดังนั้นฉันเลยคิดไว้แล้วว่าเราควรใช้เงินจ้างคนมาช่วยงานพวกเราสักสองคนดีไหม? เพราะมันก็ไม่ใช่งานที่ซับซ้อนอะไรขนาดนั้นและเราก็ไม่จำเป็๲ต้องจ่ายค่าจ้างสูงด้วย จ่ายค่าจ้างตามค่าแรงขั้นพื้นฐานก็พอ”

        ซย่านีเห็นเซี่ยงเหมยดวงตาเป็๞ประกายขึ้นเรื่อยๆ ที่เธอพูดมานั้น มันคือต้นแบบขององค์กรเอกชนมิใช่หรือ? เซี่ยงเหมยช่างหัวดียิ่งนัก!

        เซี่ยงเหมยถามซย่านีอย่างกระวนกระวาย “เธอคิดว่าอย่างไรบ้าง?” เธอกังวลว่าซย่านีจะคิดว่าวิธีนี้เป็๲วิธีแบบทุนนิยม เซี่ยงเหมยกลัวว่าซย่านีจะไม่เห็นด้วยกับเธอ

        สุดท้ายก็เป็๞ไปตามสิ่งที่เซี่ยงเหมยคิด ซย่านียิ้มและกล่าวว่า “ฉันคิดว่าความคิดนี้ดีมากเลยค่ะ”

        "จริงหรือ?"

        ซย่านีพยักหน้า “ใช่ค่ะ” แล้วเธอก็เสนอความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า “พวกเราจ้างคนงานสองคนมาช่วยเราทำยางรัดผมและก็จ้างอีกหนึ่งคนมาช่วยพี่เฝิงหย่งขายของด้วยก็ได้ค่ะ”

 

[1] ผักจี้ไฉ่ 荠菜 คือ ผักชนิดหนึ่งสามารถรับประทานได้ จะรับประทานแบบสด แบบต้ม หรือแบบผัดก็ได้ ในจีนแผ่นดินใหญ่มักจะนำไปผัด หรือนำไปทำเป็๞ไส้เกี๊ยวซ่า

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้