“เปรี้ยง!” คำพูดนี้ประหนึ่งเสียงฟ้าผ่า มันดังกึกก้องในหัวของผู้คน พลอยทำให้ตัวสั่นสะท้านไปด้วย
“เย่เฟิงต้องบ้าไปแล้ว เขาปฏิเสธคำเชิญของผู้าุโเฉียน กล้าเมินสำนักชิงอวิ๋น ช่างไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี!”
หลังจากใไปชั่วครู่ หลาย ๆ คนก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ คิดว่าเย่เฟิงตัดอนาคตของตนเอง กระทั่งนำหายนะมาสู่ตน
หากผู้าุโเฉียนพิโรธเพราะเื่นี้ แม้เย่เฟิงจะได้ที่หนึ่งของงานชุมนุมหวงปั่งไปก็ไร้ความหมาย มิหนำซ้ำไม่เพียงแต่อนาคตดี ๆ ของเขาจะหายไป แต่จะต้องเผชิญกับการลงทัณฑ์ที่โหดร้ายของสำนักชิงอวิ๋น
“เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้? เขาไม่รู้หรือว่าการปฏิเสธสำนักชิงอวิ๋นหมายถึงอะไร แล้วเขาจะต้องเจอกับอะไร?” จ้าวซินอี๋และฉินเยียนหรานผุดความคิดที่คล้ายคลึงกันขึ้นในใจ และไม่เข้าใจกับการกระทำของเย่เฟิง
จ้าวเยี่ยเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน การกระทำของเย่เฟิงทำให้ผู้คนยากที่จะเข้าใจ แต่จ้าวหยาง เซิ่งอ๋อง ผู้าุโใหญ่อวิ๋นซื่อเทียนจากสำนักศึกษาเสินเจียง ผู้าุโใหญ่โม่ไห่เฟิงจากหอชิงหลง ผู้าุโใหญ่ซูอวี่จากสำนักอี่เทียน รวมถึงคนของกองกำลังเ่าั้ที่ดูถูกเย่เฟิงต่างพากันแสยะยิ้ม
พวกเขากังวลว่าจะจัดการเย่เฟิงไม่ได้เมื่อเข้าสำนักชิงอวิ๋น แต่เห็นทีตอนนี้คงไม่ต้องถึงมือพวกเขาแล้ว เกรงว่าสำนักชิงอวิ๋นคงจะไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ เป็แน่
“เ้าว่าอะไรนะ? ข้าฟังไม่ชัด”
บนอัฒจันทร์หลัก ดวงตาของผู้าุโเฉียนเผยประกายเย็นเยือกก่อนจะซักถามเย่เฟิงเช่นนั้น
“ข้าพูดว่าสำนักชิงอวิ๋นไม่เหมาะกับข้า จึงไม่ขอเข้าร่วม” เย่เฟิงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ก็ย่อมปฏิเสธคำเชิญตรง ๆ อย่างไม่อ้อมค้อม ซึ่งเขาเป็คนซื่อตรงกับความตั้งใจเดิมมาแต่ไหนแต่ไร เขาได้รับการสืบทอดจากาาเสวียน มีภาระที่ต้องแบกรับ นั่นคือฟื้นฟูสำนักเทพเทียนเสวียน หากเขาเข้าร่วมสำนักชิงอวิ๋น เวลาจะไปไหนคงจะลำบากน่าดู หากเข้าออกสำนักตามใจไม่ได้ เวลาทำสิ่งใดก็จะมีขีดจำกัด หากเป็เช่นนี้อาจจะส่งผลต่อการฟื้นฟูสำนักเทพเทียนเสวียนได้
“เ้าช่างใจกล้ายิ่งนัก!”
หลังจากเย่เฟิงยืนยันคำเดิม สีหน้าของผู้าุโเฉียนก็อึมครึมอย่างมาก จากนั้นเขาลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ไม่เคยมีผู้ใดกล้าปฏิเสธคำเชิญของสำนักชิงอวิ๋น อย่าคิดว่าตัวเองคว้าที่หนึ่งของงานชุมนุมหวงปั่งไปครองแล้วจะทำตัวอวดดีได้ เ้าจำไว้ เมื่ออยู่ในแดนชิงอวิ๋น เ้าต้องเชื่อฟังสำนักชิงอวิ๋นโดยไร้ข้อกังขาใด ๆ ไม่ใช่สิ่งที่จะทำตามอำเภอใจได้!”
ผู้าุโเฉียนกล่าวพร้อมเอาสองมือไพล่หลัง ท่าทีเืเย็นของเขานั้นราวกับว่าเขาคือผู้ปกครอง ณ ที่แห่งนี้ ประหนึ่งว่าทุกคนต้องเชื่อฟังคำพูดของเขา จากนั้นพูดต่อไปว่า “ข้าจะให้โอกาสเ้าอีกครั้ง เ้ายินดีเข้าสำนักชิงอวิ๋นหรือไม่”
“รอบนี้เย่เฟิงน่าจะตอบตกลงนะ!” ผู้คนคิดในใจ พวกเขารู้ดีว่าผลลัพธ์การปฏิเสธสำนักชิงอวิ๋นจะเป็อย่างไร
“ผู้น้อยเป็คนต่ำต้อย มิอาจไต่เต้าขึ้นที่สูงได้” เย่เฟิงกล่าวพร้อมโค้งคำนับผู้าุโเฉียน ซึ่งเขาไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย
“เป็แค่สวะขั้นรวมชี่ การที่สำนักชิงอวิ๋นข้าเชิญเ้า ถือเป็เกียรติของเ้า แล้วเ้าคิดว่าตัวเองเป็ใครถึงปฏิเสธคำเชิญ”
จ่านเฉินตวาดใส่เย่เฟิงอย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นเห็นเขาะโออกจากอัฒจันทร์หลักไปที่เวทีประลอง ก่อนจะหันไปมองผู้าุโเฉียน “เด็กคนนี้กำเริบเสิบสาน ผู้าุโเฉียนโปรดอนุญาตข้าให้จัดการเขาเพื่อกู้หน้าให้กับสำนักชิงอวิ๋น!”
ดวงตาของผู้าุโเฉียนวาบประกายเย็นเยือก “เด็กคนนี้ไม่เชื่อฟังคำพูดของสำนักชิงอวิ๋น มิหนำซ้ำยังนิสัยเสียไม่เชื่อฟัง ข้าอนุญาตเ้าให้จัดการเขาได้!”
เมื่อทุกคนได้ยินต่างก็ตาแข็งทื่อ เย่เฟิงเพิ่งคว้าอันดับที่ 1 ของงานชุมนุมหวงปั่งมาครอง แต่ทำผู้าุโสำนักชิงอวิ๋นไม่พอใจเพียงเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวเอง จึงนำพาหายนะมาสู่ตนชัด ๆ ช่างไม่คุ้มเสียเลย
จ้าวซินอี๋และฉินเยียนหรานเผยสีหน้าเป็กังวล พวกนางไม่คิดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงเร็วเพียงนี้ ส่วนจ้าวเยี่ยก็ใเช่นกัน เขาไม่เข้าใจกับทางเลือกของเย่เฟิง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะเข้าไปแทรกแซงก็ไม่ได้ จึงได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่าให้เย่เฟิงปลอดภัย
“ท่านพ่อ พวกเราควรทำเช่นไรดี” ฉินเยียนหรานเอ่ยถามฉินเจิ้นถิง ในสถานการณ์เช่นนี้นางก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะสำนักชิงอวิ๋นแข็งแกร่งเกินไป
“ดูสถานการณ์ไปเงียบ ๆ” ฉินเจิ้นถิงตอบกลับ จากนั้นเขาตบบ่าฉินเยียนหราน แล้วพูขึ้นว่า “วางใจเถอะ ข้าจะปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถ”
“อืม” ฉินเยียนหรานพยักหน้า
“ชุ่ยเอ๋อร์ รีบไปเรียกปรมาจารย์เหลียงมาโดยด่วน แจ้งว่าองค์หญิงเจอสถานการณ์ลำบากที่ลานประลองราชวงศ์ ให้รุดมาช่วย”
จ้าวซินอี๋กล่าวกับชุ่ยเอ๋อร์ ซึ่งปรมาจารย์เหลียงก็คือยอดฝีมือคนหนึ่ง เป็ผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ เป็อาจารย์ของจ้าวซินอี๋ที่สอนอยู่ในวังหลวง และความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดีมากอีกด้วย
บัดนี้เย่เฟิงเจอเื่ลำบาก จ้าวซินอี๋จึงต้องเชิญปรมาจารย์เหลียงมาช่วยอย่างเลือกไม่ได้
“เพคะ องค์หญิง!” ชุ่ยเอ๋อร์รับคำสั่งจากนั้นมุ่งหน้าสู่วังหลวงทันที
จ้าวหยาง เซิ่งอ๋อง และคนอื่น ๆ ต่างเผยสีหน้าสนใจและรอคอยดูเย่เฟิงว่าจะตายอย่างไร
“ได้ยินหรือไม่ คนนิสัยเสียไม่เชื่อฟังเช่นเ้า สมควรได้รับการลงทัณฑ์สถานหนัก!” จ่านเฉินกล่าวเสียงเย็น เขานั้น้ากำจัดเย่เฟิง แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที บัดนี้ดูเหมือนมีโอกาสแล้ว เขาก็ย่อมคว้ามันไว้อย่างแน่นอน
“เ้าจะฆ่าตัวตายเอง หรือจะให้ข้าลงมือ” จ่านเฉินกล่าว
“นิสัยเสียไม่เชื่อฟัง? ฆ่าตัวตาย?”
เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าเย่เฟิงแค่เลือกทางที่ตนอยากเดิน จึงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมสำนักชิงอวิ๋น แต่กลับถูกสำนักชิงอวิ๋นกล่าวหาว่าเป็คนนิสัยเสียไม่เชื่อฟัง จึงพยายามกำจัดข้า ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าสำนักชิงอวิ๋นผู้สูงส่งจะหน้าซื่อใจคดขนาดนี้”
เสียงของเย่เฟิงดังกังวานไปทั่วลานประลอง ผู้คนในที่แห่งนั้นจึงได้ยินกันอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง และอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้
เย่เฟิงไม่้าตกเป็ทาสของใคร มิหนำซ้ำยังไม่ชอบให้ผู้ใดมาชักจูงจมูก แต่สำนักชิงอวิ๋นอยากกำจัดเขา แล้วเขาจะเกรงใจไปไย?
“กำเริบเสิบสาน กล้าดียังไงมาพูดให้ร้ายสำนักชิงอวิ๋น จ่านเฉิน เ้าจงลงโทษเด็กคนนี้ให้หนัก ๆ ให้เห็นถึงความเกรงขามของสำนักชิงอวิ๋น!” ผู้าุโเฉียนได้ยินก็ะเิโทสะออกมา เขามีฐานะสูงส่ง ก่อนหน้านี้เขาชื่นชมเย่เฟิงเพราะพร์ แต่ถึงเย่เฟิงจะมีพร์ดีเยี่ยมเพียงใด ก็เป็เพียงมดแมลงในสายตาเขา อัจฉริยะแท้จริงเท่านั้นจึงจะเข้าตาผู้แข็งแกร่ง
ต่อให้เ้ามีพร์ล้ำเลิศ แต่หากผู้แข็งแกร่งพิโรธและ้าฆ่าเ้า เพียงดีดนิ้วก็ทำได้แล้ว เช่นเดียวกับสถานการณ์ของเย่เฟิงในตอนนี้ เพิ่งจบงานชุมนุมหวงปั่ง แต่ในสายตาของผู้าุโเฉียน เย่เฟิงก็ยังคงไม่นับเป็สิ่งใด
“น้อมรับคำสั่ง!” จ่านเฉินโค้งคำนับผู้าุโเฉียน จากนั้นหันไปมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือก “ในเมื่ออวดดีเช่นนี้ งั้นเ้าก็จงชดใช้ให้กับการกระทำของเ้าซะ!”
เมื่อสิ้นเสียง จ่านเฉินพลันเดินออกมาหนึ่งก้าวก่อนจะปรากฏตัวที่ด้านหน้าเย่าเฟิงในพริบตา พร้อมกับวาดฝ่ามือใหญ่ที่เปี่ยมด้วยพลังมหาศาลจู่โจมเย่เฟิง
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเยือกเย็น แม้เผชิญหน้ากับการโจมตีอันแกร่งกล้าของจ่านเฉิน เขาก็ยังคงใช้ฝ่ามือโจมตีเช่นกัน ซึ่งฝ่ามือนี้อัดแน่นไปด้วยพลังภูผาพิฆาตและผสานด้วยอำนาจหอกขั้นผันแปร่ปลาย
“ปัง!” สองฝ่ามือเข้าปะทะกันที่กลางอากาศ พร้อมกับคลื่นทำลายล้างแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ จ่านเฉินถูกคลื่นกระแทกเซถอยหลังไปหลายก้าวและตัวสั่นเทาไม่หยุด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “เป็ไปได้อย่างไร? ทำไมพลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้?”
“โง่เขลาเบาปัญญา!” เย่เฟิงเย้ยหยันขณะมองจ่านเฉิน “ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 7 ก็กำราบผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 มาแล้ว บัดนี้ข้าอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 8 เ้าคิดว่าตัวเองคือคู่ต่อสู้ของข้างั้นหรือ?”
เย่เฟิงเผยสีหน้าเย่อหยิ่ง ศักดิ์ศรีของเขาสลักลึกลงกระดูกดำ และจะไม่มีทางด้อยกว่าใครในใต้หล้า
“กำเริบเสิบสาน!”
จ่านเฉินเผยสีหน้าดูไม่ได้ ถูกเย่เฟิงดูิ่เช่นนี้ แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ไหน? มีแต่ต้องกำจัดเย่เฟิงเท่านั้น จึงจะกู้หน้ากลับคืนมาได้ ทันใดนั้นเองพลังที่น่าสะพรึงกลัวถูกปลดปล่อย ประหนึ่งตรึงร่างเย่เฟิงไว้ ส่วนเย่เฟิงก็โจมตีกลับเช่นกัน ทุกการโจมตีล้วนอัดแน่นไปด้วยพลังที่หนักเกิน 120,000 จิน ทั้งยังผสานด้วยพลังแห่งอำนาจ การโจมตีจึงทรงอานุภาพขึ้นหลายเท่า
ศึกระหว่างเย่เฟิงกับจ่านเฉินดำเนินไปอย่างดุเดือด ทำให้ผู้คนได้ตื่นตาตื่นใจอีกครั้ง จำต้องบอกว่าจ่านเฉินที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 ก็เป็อัจฉริยะมากฝีมือคนหนึ่ง การโจมตีของเขาบ้าคลั่ง และไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ทั่วไปจะต้านทานได้ง่าย ๆ
หากโอวหยางเจินและจ้าวซิงได้สู้กับจ่านเฉิน เกรงว่าคงยืนหยัดได้ไม่เกินสามกระบวนท่าก็คงร่วงแล้ว นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างศิษย์สำนักชิงอวิ๋นและอัจฉริยะอาณาจักรจ้าวที่อยู่ใต้อาณัติ แต่จ่านเฉินโชคร้ายที่เจอเย่เฟิง เย่เฟิงค่อย ๆ กำราบจ่านเฉินทีละนิด ๆ การโจมตีของเย่เฟิงโหดขึ้นเรื่อย ๆ จนจ่านเฉินถอยหลังไปทีละก้าวและรู้สึกทนไม่ได้
“เย่เฟิงแกร่งมาก แม้แต่จ่านเฉินที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 ก็ดูท่าจะแพ้ หากเขาเข้าสำนักชิงอวิ๋น อนาคตคงไร้ขีดจำกัด แต่น่าเสียดายที่เขาปฏิเสธ วันนี้ชีวิตเขาคงหาไม่เป็แน่!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งใกับพลังของเย่เฟิง แต่ก็อดถอนใจไม่ได้ เพราะจะมีอัจฉริยะตกตายที่นี่
“ตูม!” ขณะนั้นมีเสียงะเิดังขึ้น ผู้คนพบว่าหมัดของเย่เฟิงจู่โจมที่หน้าอกของจ่านเฉินเต็มแรง ก่อนจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวบุกรุกร่างกายจ่านเฉินจนทำลายอวัยวะภายในร่างกายเขา
จ่านเฉินโอดครวญ ก่อนร่างจะกระเด็นออกไปพร้อมกระอักเื และจู่ ๆ ใบหน้าก็ขาวซีดราวกระดาษ
“เ้าเนี่ยนะจะฆ่าข้า? หากข้ามีตบะเช่นเ้า แค่สะบัดมือก็ฆ่าเ้าได้แล้ว!” เย่เฟิงถากถางขณะมองจ่านเฉิน เขาเอาสองมือไพล่หลัง เสื้อคลุมโบกสะบัดดูสง่าผ่าเผยอย่างมาก แม้เผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าทว่าก็ยังคงไม่หวั่นเกรง
“สวะ เป็ศิษย์สำนักชิงอวิ๋นแท้ ๆ แต่กลับทำสำนักชิงอวิ๋นขายหน้า!”
ผู้าุโเฉียนเห็นจ่านเฉินพ่ายแพ้ก็ด่าทอจ่านเฉินด้วยท่าทีโมโห จากนั้นเขากวาดตามองไปรอบ ๆ ลานประลอง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “หากใครอายุต่ำกว่า 25 ปีแล้วฆ่าคนผู้นี้ได้ ข้าจะรับเข้าสำนักชิงอวิ๋น!”
เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนี้ต่างก็ตาลุกวาว อายุของพวกเขาเฉลี่ยแล้วอยู่ระหว่าง 23 ถึง 25 ปี ตบะสูงส่ง แต่เพราะอายุมากแล้ว จึงมิอาจเข้าร่วมงานชุมนุมหวงปั่งได้
แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอ่อนแอกว่าผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋น แม้ตบะหยุดชะงักมิอาจทะลวงขั้น แต่กลับกันมันทำให้พวกเขาลึกลับคาดเดาไม่ได้ กระทั่งมีหลายคนมีพลังแกร่งกล้ากว่าอัจฉริยะที่เข้าร่วมงานชุมนุมหวงปั่งเสียอีก
บัดนี้ผู้าุโเฉียนพูดว่าหากพวกเขาคนใดคนหนึ่งสามารถสังหารเย่เฟิงก็จะมีโอกาสได้เข้าสำนักชิงอวิ๋น สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไขแล้ว นี่เป็สิ่งล่อใจที่มิอาจอธิบายได้ด้วยคำพูด
