เขากับฉีเฉินเติบโตมาด้วยกันั้แ่เด็ก กระทั่งอาจารย์ก็ยังเป็คนเดียวกันตามที่ฮ่องเต้จัดการให้ แม้ว่าั้แ่เล็กจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็ศัตรูมิใช่พี่น้อง แต่จากการอยู่ด้วยกันตลอดเวลาแล้ว เขาจะไม่รู้นิสัยของอีกฝ่ายได้อย่างไร เขาแน่ใจว่าฉีเฉินไม่ใช่คนที่จะไปสถานที่อย่างชายแดนได้
ข้าหลวงต้นตำหนักาุโที่อยู่ด้านข้างทนเห็นต่อไปไม่ได้ ถอนหายใจแล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงแหบพร่า "ความจริงแล้วเื่นี้ก็ไม่รู้ว่าเป็อย่างไร จู่ๆ องค์ชายรองก็ทรงเปลี่ยนนิสัย ขันอาสาไปชายแดนด้วยพระองค์เอง ทำให้ฝ่าาทรงปีติยินดีอย่างยิ่ง ประกอบกับ่นี้พระองค์ทรงประทับอยู่แต่ในตำหนัก ฝ่าาย่อมเอนเอียงเข้าองค์ชายรองเป็ธรรมดา"
ข้าหลวงต้นตำหนักาุโผู้นี้นับว่าเป็ผู้ติดตามฉีอินมาั้แ่ยังเยาว์ ได้ฟังจากจากปากเขาเช่นนี้ ฉีอินยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หน้านิ่วคิ้วขมวดครุ่นคิดอย่างหนัก
"ฉีเฉิน เ้าคิดจริงๆ หรือว่าทำให้เสด็จพ่อพอพระทัยได้แล้วตำแหน่งของข้าจะเปลี่ยนเป็ของเ้า หึ! เกียรติยศของเ้าในวันนี้ก็คือน้ำตาแห่งความเ็ปในวันหน้า รัชทายาทเช่นข้าจะไม่ให้เ้าได้อยู่เป็สุขแน่" ฉีอินพูดอย่างเ็า
ในเวลานั้นคนสนิทของฉีอินก็เดินเข้ามากระซิบข้างหูฉีอินเบาๆ "องค์รัชทายาท ่นี้เฟิงไป๋อวี้มีสตรีหนึ่งคนคอยติดตามเขาอยู่ จะให้สังหารทิ้งเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
ฉีอินได้ยินดังนั้นหลังจากไตร่ตรองดูแล้วก็ส่ายหน้า "เื่เฟิงไป๋อวี้ปล่อยไปก่อน ตอนนี้เ้าต้องช่วยข้าจับตามองฉีเฉินก่อน"
"พ่ะย่ะค่ะ"
บุรุษที่เข้ามารายงานในตอนแรกมีความสามารถในเชิงยุทธ์สูงส่ง แม้ฉีอินจะจงใจลดเสียงให้เบาลง เขากลับยังคงได้ยินทั้งหมด ยกมุมปากขึ้นสีหน้าไม่เปลี่ยน ผ่านไปชั่วครู่จึงเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง "องค์รัชทายาท บ่าวยังได้ยินมาว่าการเดินไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยขององค์ชายรองมีความไม่โปร่งใส เื่ที่เขายักยอกเงินผู้ประสบภัยผู้คนต่างรู้กันทั่ว แต่เวลานี้องค์ชายรองเป็ที่โปรดปรานอย่างยิ่งขององค์ฮ่องเต้ จึงไม่มีใครกล้านำความขึ้นกราบทูล"
"โอ๋?" ฉีอินเลิกคิ้วขึ้น หัวเราะเยือกเย็นในใจ เขาเองก็รู้ว่าคนอย่างฉีเฉินจะทำเื่ที่ไร้ผลประโยชน์ให้ได้อย่างไร เกรงว่าจะโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองจากภัยพิบัติครั้งนี้เสียไม่ว่า
ข้าหลวงต้นตำหนักาุโพยักหน้า กล่าวแทรกขึ้นมาว่า "ตอนนี้ข้างนอกลือกันหนาหู แต่ไม่มีใครกล้าทูลฝ่าา อีกทั้งองค์ชายรองมิใช่คนที่จะไปล่วงเกินได้ง่ายๆ เหล่าเสนาบดีในเวลานี้ต่างรักตัวกลัวตาย ใครจะยอมเอาตัวไปเอี่ยวกับเื่นี้ องค์รัชทายาทอย่าทรงตำหนิที่บ่าวแก่ๆ ผู้นี้ปากมาก พระองค์อย่านำความเื่นี้ไปเอ่ยขึ้นต่อหน้าฝ่าาเลย"
"หึ! ข้าต้องกลัวฉีเฉินด้วยหรือ?"
“บ่าวมิได้มีหมายความเช่นนี้อย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยต่อพระองค์ หากใจร้อนแสวงหาความสำเร็จอาจให้ผลกลับตาลปัตร พระองค์ทรงเคยคิดไหมว่า เหตุใดเหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจแต่กลับไม่บอกองค์ฮ่องเต้? พวกเขารู้ว่าตอนนี้องค์ชายรองกำลังเรืองอำนาจ หากเดินดุ่มๆ เข้าไปกราบทูล ก็บอกไม่ได้ว่าฮ่องเต้จะทรงมีความคิดเห็นเช่นไร" แต่ละคำแต่ละประโยคของข้าหลวงต้นตำหนักล้วนหนักแน่นกล่าวออกมาจากใจ
ถึงฉีอินจะไม่มีความรู้ความความสามารถ ก็รู้ได้ว่าข้าหลวงต้นตำหนักผู้นี้มีความตั้งใจดี แต่จะให้เขาปล่อยฉีเฉินให้หลงลำพองใจต่อไป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ทนมองไม่ได้ เสียดายตอนนี้กลับอับจนหมดหนทางได้แต่กลัดกลุ้มในใจ สุดท้ายฉีอินก็โบกมือไล่บรรดาบ่าวไพร่ทั้งหมดออกไป แล้วนั่งอมทุกข์อยู่เพียงคนเดียวในห้องโถงใหญ่
บุรุษที่อยู่ในหลืบมุมมองฉีอินปราดหนึ่ง ดวงตาเ้าเล่ห์ประกายวาบ หลังออกจากห้องโถงก็มุ่งไปที่ประตูใหญ่ หาข้ออ้างออกจากตำหนักแล้วตรงไปยังหอสุราขึ้นชื่อแห่งหนึ่งในเมือง หนานสวินคอยอยู่ที่นั่นนานแล้ว
"หวางเหย่ เื่จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ" บุรุษผู้นั้นกล่าวพลางประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม
หนานสวินหันศีรษะกลับไปมองบุรุษผู้นั้น แล้วพยักหน้า "ไม่จำเป็ต้องไปตำหนักรัชทายาทอีก ต่อไปแค่คุ้มครองความปลอดภัยให้เฟิงไป๋อวี้ให้ดีก็พอ"
หลังจากบุรุษผู้นั้นรับคำสั่งแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงหนานสวินยืนอยู่คนเดียวที่หน้าต่างทอดมองออกไปยังสถานที่ไกลออกไป ในใจรู้สึกปลงอนิจจัง จวินหวงเป็ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเก่งกาจในการวางกลยุทธ์มากมาย ใช้วิธีเสี้ยมพี่น้องที่เคยอยู่ด้วยกันมาให้เกิดความบาดหมาง ที่น่าสงสารก็คือคนทั้งคู่ต้องเข้ามาอยู่บนกระดานหมากของนาง
ั้แ่ต้นฉีอินก็จงเกลียดจงชังฉีเฉินที่สุดอยู่แล้ว ไม่คิดว่าขณะที่เขารับประทานอาหารกลางวันอยู่ ฉีเฉินจะมาหาถึงหน้าประตู ตอนที่บ่าวรับใช้ไปแจ้งเื่ ฉีอินปัดจานชามแตกกระจาย แค่นเสียงหึ! ออกด้วยความไม่พอใจ "เขายังคิดจะเข้ามาในตำหนักรัชทายาทอีกหรือ? ให้เขายืนคอยข้างนอกไปเถอะ!"
บ่าวรับใช้ได้แต่ถอยออกไป แล้วกล่าวกับฉีเฉินอย่างหวาดผวา "องค์รัชทายาทไม่สะดวกรับแขกในตอนนี้ ทรงให้หวางเหย่คอยอยู่ที่นี่สักครู่"
ฉีเฉินจะไม่รู้ความคิดในใจของฉีอินได้อย่างไรกันเล่า แต่ก็พยักหน้าและยืนคอยอยู่ที่นั่นจริงๆ แสงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะแรงกล้าเสียดแทงั์ตา แม้คนสนิทของเขาจะกางร่มให้ก็ไม่สามารถหลีกเร้นความร้อนแรงแห่งแสงตะวันไปได้เลย หยาดเหงื่อชุ่มโชกแผ่นหลัง แต่เขากลับทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฉีอินถึงเดินทอดน่องออกมาจากด้านใน สายตามองเหยียดลงมาที่ฉีเฉิน ในใจะเิเสียงหัวเราะเ็า แต่ใบหน้ากลับไม่เผยความรู้สึกแม้เพียงครึ่งส่วน เขาเดินลงมาด้วยใบหน้าอาบรอยยิ้ม "ให้น้องรองคอยนานแล้ว"
"มิใช่เื่ใหญ่พ่ะย่ะค่ะ" ฉีเฉินพูดพลางยิ้มหัว ราวกับว่าไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ
"ไม่ทราบว่าน้องรองมาหาข้า มีธุระอันใด?" ฉีเฉินกล่าวถามยืนเอามือไพล่หลังท่าทางมึนตึงอยู่ที่ประตู ไม่มีทีท่าว่าจะให้ฉีเฉินเข้ามาในตำหนักสักนิด
ฉีเฉินมุมปากกระตุก หายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งข่มกลั้นความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ แล้วกล่าวว่า "พี่ใหญ่ถูกกักบริเวณมานาน วันนี้ได้รับการปลดปล่อยให้เป็อิสระ ตามหลักแล้วน้องชายก็สมควรมาเยี่ยม"
"ใครๆ ก็พูดว่า่นี้น้องรองมีงานรัดตัว ไม่คิดว่ายังมีเวลาจะมาสอดส่องตำหนักรัชทายาทของข้าด้วย หากมีผู้หวังดีมาเห็นเข้า ยังไม่แน่ว่าภายนอกจะเอาไปโจษจันว่าอย่างไร น้องรองเก็บน้ำใจเอาไว้ให้ดีๆ ว่างๆ ก็อ่านตำราให้มากๆ ดีกว่าฝันเฟื่องถึงสิ่งที่ไม่อาจเป็จริงได้ เ้าว่าข้ากล่าวถูกหรือไม่?" ฉีอินมองไปที่ฉีเฉิน กล่าวด้วยวาจาเรียบเฉย แต่ทุกถ้อยคำล้วนทิ่มแทงจิตใจ
ฉีเฉินกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในอุ้งมือ เขาขบกรามสงบใจอยู่ชั่วครู่ถึงค่อยกล่าวออกมา "พี่ใหญ่สอนสั่งได้ถูกต้อง น้องชายจะต้องจดจำไว้ใส่ใจ"
ในที่สุดฉีเฉินก็รู้สึกว่าตนเองคงยืนให้ฉีอินฉีกหน้าอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วจึงตั้งใจจะลากลับ แต่บังเอิญเดินชนกับคนที่ออกจากวังมาพอดี
"โอ… ที่แท้องค์ชายทั้งสองพระองค์ก็อยู่ที่นี่ องค์ชายรองให้บ่าวหาอยู่ตั้งนาน" ขันทีกล่าวขึ้นเสียงดังกังวาน ท่าทางอ่อนน้อมประจบเอาใจ
ฉีเฉินขมวดคิ้วถามขึ้นอย่างสงสัย "ไม่ทราบว่าตามหาข้าด้วยเื่อันใด?"
"วันนี้เป็วันสิ้นสุดการกักบริเวณรัชทายาทมิใช่หรือ? องค์ฮ่องเต้ให้บ่าวมาเชิญองค์ชายทั้งสองเข้าวังไปร่วมดื่มชาพ่ะย่ะค่ะ"
ฉีเฉินพยักหน้าแล้วหันไปหาฉีอิน "พี่ใหญ่ เช่นนั้นพวกเราก็รีบเข้าวังด้วยกันเถอะ"
ขันทีย่อมมีสายตาที่รู้จักสังเกต แม้จะรู้ว่าตอนนี้ฉีเฉินเรืองอำนาจ แต่ก็รู้ว่าตราบใดที่ฮ่องเต้มิได้เปลี่ยนตัวรัชทายาท ฉีอินก็ยังคงเป็รัชทายาทอยู่ วันหนึ่งวันใดหากฉีอินขึ้นเป็ฮ่องเต้ ตนเองก็ยังต้องพึ่งพาเขา คิดแล้วก็เดินเข้าไปยิ้มประจบเอาใจ "องค์รัชทายาท ทรง้าตระเตรียมสิ่งใดหรือไม่?
ฉีอินก่นด่าขันทีว่าเสแสร้งอยู่ในใจ แล้วแค่นเสียงเย็นสะบัดแขนเสื้อเดินไปทันที ขันทีหน้ามุ่ยได้แต่เดินตามหลังต้อยๆ
ฉีเฉินหัวเราะเยือกเย็นในใจ รู้สึกขันที่ฉีอินถูกลงโทษกักบริเวณมาแล้วครั้งหนึ่ง ยังวางตัวยโสโอหังถึงขนาดนี้ ซ้ำยังสำคัญตนว่าสูงส่งวางท่าอวดเบ่งอยู่อีก
เวลานี้เพียงแค่เขาจินตนาการถึงท่าทางของฉีอินตอนที่ร่วงลงมาจากบัลลังก์ั คิดถึงสีหน้าที่สิ้นหวังของฉีอินเอาไว้ล่วงหน้า ในใจก็มีความรู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก เขาแทบอยากจะลากฉีอินลงมาเสียเดี๋ยวนี้ แล้วเหยียบย่ำให้จมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของตน
เมื่อมาถึงในวังหลวง ฮ่องเต้กับฉีอวิ๋นกำลังชมงิ้วอยู่ในโรงละคร ขันทีนำทางพวกเขาเข้าไป
ตามหลักการในขณะที่ฉีอินถูกกักบริเวณ ฉีเฉินก็นับว่าใหญ่สุดที่นี่ ดังนั้นจะต้องเป็เขาที่นั่งด้านข้างองค์ฮ่องเต้ ครั้งนี้เขาจึงตรงเข้าไปนั่งข้างฮ่องเต้ ฉีอินเห็นเข้าก็เอ่ยวาจาเสียดสี "น้องรองจะนั่งในตำแหน่งของข้าเช่นนั้นหรือ?"
เขากล่าวเช่นนี้ ฉีเฉินถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ฉีอินออกมาจากตำหนักรัชทายาทแล้ว จึงรีบลุกขึ้นยืนกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง ฉีอวิ๋นที่นั่งอยู่ด้านข้างยกถ้วยชาขึ้นมาจิบบังริมฝีปากไว้ สายตาคอยมองอยู่อย่างเ็า
ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนงทอดพระเนตรไปที่ฉีอิน จากนั้นก็ผินพระพักตร์มาที่ฉีเฉิน สายพระเนตรที่ทรงมองมาทำให้ฉีเฉินรู้สึกขนลุกเกรียว หลังจากใคร่ครวญถ้วนถี่แล้ว ฉีเฉินก็คุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ "ขอเสด็จพ่อโปรดอภัยโทษ ลูกมิได้เจตนาจะล่วงเกินพี่ใหญ่..."
“เอาเถอะ เ้าไม่ต้องพูดมาก ทุกอย่างเรารู้อยู่แก่ใจ ลุกขึ้นมาเถอะ" หลังจากฮ่องเต้ตรัสเสร็จแล้ว ก็ผินพระพักตร์ไปที่ฉีอิน ทรงถอนพระปัสสาสะและตรัสออกมาด้วยความรู้สึกผิดหวัง "อินเอ๋อร์ ดูเหมือนว่า่เวลาที่ผ่านมานี้ เ้ายังไม่ได้เรียนรู้วิธีปฏิบัติตัวและมารยาททางสังคมเลย เฮ้อ... เราควรจะจัดการกับเ้าอย่างไรดี"
ฉีอินเพิ่งจะรู้ตัว ในใจกระจ่างชัดว่าฉีเฉินเป็ต่อตนเองหนึ่งก้าว ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับแสดงว่ารู้สึกผิด หลุบตาลงมองฉีเฉิน "ข้าแค่ใจร้อนไปชั่วขณะ ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้น้องรองอึดอัดใจ"
"พี่ใหญ่กังวลไปแล้ว" ฉีเฉินกล่าวจบก็นั่งลงข้างฉีอวิ๋น และสละที่นั่งข้างฮ่องเต้ให้แก่ฉีอิน ฉีอินคิดว่าที่นั่งตรงนี้เดิมทีก็เป็ของตนอยู่แล้วจึงไม่ได้รู้สึกเกรงใจ เชิดหน้านั่งลงด้วยท่าทางหยิ่งทะนง
ฉีอวิ๋นวางถ้วยชาในมือลงแล้วมองไปฉีเฉินที่อยู่ข้างๆ ในใจมีความคิดหลากหลาย แต่ในที่สุดก็ทำตัวเหมือนคนนอกที่คอยมองดูทุกคนในที่แห่งนั้น
เมื่อครู่ตอนที่ฉีเฉินและฉีอินยังมาไม่ถึง ฮ่องเต้ทรงเรียกขุนนางผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งเข้าเฝ้าเป็การส่วนพระองค์ ฉีอวิ๋นอยากจะรู้ว่าเื่อะไร แต่สุดท้ายฮ่องเต้ก็ไม่ได้กล่าวถึง แต่พระองค์ตรัสเื่เกี่ยวกับฉีเฉินไม่น้อย
ทรงรู้สึกว่าพระองค์เองผิดต่อฉีเฉิน ทรงคิดว่าฉีเฉินมีความจงรักภักดีอย่างแท้จริง เผชิญหน้ากับปัญหาอย่างกล้าหาญ มีความสง่างามพรั่งพร้อมในทุกด้าน ทั้งหมดล้วนบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าฮ่องเต้ทรงเห็นความสำคัญของฉีเฉินเพียงใด สิ่งนี้ทำให้ฉีอวิ๋นอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ แต่ก็คิดว่าคนที่ฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้าคงจะเป็ขุนนางคนสนิทของฉีเฉิน เพียงแต่เขาไม่มีทางได้รู้อะไรเลย
จนกระทั่งเพลงจบ ฮ่องเต้ทรงรั้งฉีเฉินให้อยู่ต่อกับพระองค์เพียงลำพัง ในระหว่างที่ชมงิ้ว ก็มิได้ถามไถ่พูดคุยกับฉีอินที่เพิ่งจะออกมาจากการถูกกักบริเวณแม้แต่ประโยคเดียว ทำให้ฉีอินยิ่งรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
ระหว่างทางที่ออกไป ฉีอวิ๋นเดินรั้งท้ายอย่างช้าๆ ท่วงท่าของเขาสงบนิ่งสง่างาม กลับกันกับฉีอินที่เดินอยู่ข้างหน้า ความรู้สึกขุ่นเคืองใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็วิ่งไประบายกับดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่เต็มอุทยาน
ฉีอวิ๋นเห็นบุปผาแหลกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายอยู่เต็มพื้นแล้วก็ถอนใจ เดินไปยืนอยู่หน้าฉีอิน "ความอัดอั้นตันใจของพี่ใหญ่ ไยต้องไปลงกับดอกไม้ใบหญ้าที่มิได้เกี่ยวข้องอันใดด้วยเล่า ตอนนี้น้องชายก็ว่างอยู่ หากพี่ใหญ่ไม่มีกิจธุระอันใด น้องชายขอเชิญพี่ใหญ่ดื่มสุราด้วยกันเป็อย่างไร?”
ฉีอินหันมองไปที่ฉีอวิ๋น สูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งให้เพื่อระงับโทสะที่อยู่ในใจ "ข้ายังมีธุระที่ตำหนัก เชิญน้องสามตามสบายเถอะ" กล่าวจบก็เดินลิ่วๆ ไปทันที
ฉีอวิ๋นมองดูเงาหลังฉีอินที่ค่อยๆ ห่างออกไป คิดใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ออกจากวังไป และตรงไปยังสถานที่ที่นัดหมายกับจวินหวง
ในขณะที่เดินอยู่ยิ่งคิดถึงเฟิงไป๋อวี้ ในใจกลับยิ่งรู้สึกว้าวุ่นสับสน อาจจะเป็เพราะว่าดวงตาของเฟิงไป๋อวี้มีลักษณะคล้ายกับจวินหวงที่เขาเคยเจอ หรืออาจเป็เพราะว่าเฟิงไป๋อวี้มีบุคลิกสง่างามเช่นจิวยี่[1] ทำให้เขารู้สึกอยากจะเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว
ตอนที่เขาไปถึงสถานที่นัดหมาย จวินหวงได้รออยู่นานแล้ว
"รอนานแล้วหรือ?" ฉีอวิ๋นมาหยุดยืนอยู่ข้างจวินหวง เอาแต่มองดวงตาของจวินหวงเหมือนเคย
"มาคุยเข้าเื่กันเถอะ" จวินหวงไม่พูดอะไรมาก มุ่งเข้าประเด็นโดยตรง "หลายวันก่อนข้าให้คนส่งจดหมายให้ เ้าได้อ่านแล้วหรือไม่?"
..................................................................................................................
[1] จิวยี่ หรือ โจวอวี๋ มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ในยุคสามก๊ก แม่ทัพคนสำคัญของง่อก๊ก ขุนพลผู้ปราดเปรื่องและเป็คู่ปรับคนสำคัญของขงเบ้ง เป็ชาวเมืองลู่เจียนซู เกิดในครอบครัวขุนนางเก่า มีชื่อรองว่า ‘กงจิน’ ลักษณะเป็บุรุษรูปงาม หน้าขาว เมื่อวัยเด็กได้เรียนรู้วิชาอย่างแตกฉาน ทั้งการทหารและศิลปะแขนงต่างๆ