คุณหมอนาวินหันมาหาผมอีกครั้ง คราวนี้สายตาเขาจริงจังกว่าเดิม
“รู้ใช่ไหมว่าที่เราจะไป มันไม่ใช่แค่พื้นที่กันดาร แต่มันคือที่ที่สัญญาณมือถือไม่มี ใช้ไฟได้แค่บางเวลา เด็กบางคนไม่เคยเจอหมอจริง ๆ มาก่อนเลยในชีวิต” ผมพยักหน้า ไม่แน่ใจว่ากลัวหรือแค่ประหม่า แต่ผมรู้แน่ ๆ ว่าไม่ใช่เื่สบาย จะถอยตอนนี้ดูเหมือนไม่ทันแล้ว...
“คุณหมอไปเองแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?” เมื่อตั้งสติได้ ผมหันไปถาม อยากรู้ว่าการเป็คนดีของสังคมมันต้องทุ่มสุดตัวขนาดนี้เชียวเหรอ เขาส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วตอบกลับ
“จริง ๆ แล้วจะมีรถตู้ของมูลนิธิมาคอยรับ แต่ส่วนใหญ่จะมีงบจำกัด ต้องเลือกใช้ขนของและอุปกรณ์แพทย์ก่อน ผมจึงตัดสินใจซื้อตั๋วรถทัวร์เพื่อไม่เบียดงบ และก็ทำแบบนี้มาตลอด” ผมพยักหน้าขึ้นลงเริ่มเข้าใจมากขึ้น
“จริง ๆ น่าจะบอกกันก่อน ผมจะได้ให้คนขับรถพาไป เราจะได้ไปรถส่วนตัว จริง ๆ จะขึ้นเครื่องก็ไหวนะ ผมออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง” เขามองผมนิ่งแล้วตอบกลับ
“ไหนบอกอยากเห็นผมทำงานไง แค่เริ่มต้นก็จะหาความสบายใส่ตัวซะแล้ว” คำพูดนั้น ทำให้ผมต้องหุบปากตัวเองลง แล้วหันมองไปนอกหน้าต่าง ก่อนเสียงมือถือของคุณหมอจะดังขึ้น ผมแอบชำเลืองมองหน้าจอมือถือที่แสดงเพียงแค่เบอร์เท่านั้น ก่อนเขาจะกดรับ
“ครับคุณพรรณี” ผมไม่รู้ว่าปลายสายพูดว่าอะไร แต่คุณหมอก็ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ตอนนี้ผมกำลังเดินทางไปต่างจังหวัด ยังไงผมก็ไปร่วมงานของคุณพ่อไม่ได้ ให้เขามีความสุขไปน่ะดีแล้ว” เหมือนไม่ใช่ประโยคที่พูดกับครอบครัว แต่เป็ประโยคที่พูดกับคนแปลกหน้ามากกว่า ผมมองการกระทำของเขาทุกอย่างเงียบ ๆ
ก่อนที่เขาจะหันมองมา สายตาคมนิ่ง ทำให้ผมตั้งตัวไม่ทัน เหมือนโลกชะงักไปชั่วขณะ
“เอ่อ...” ผมเผลอเปล่งเสียงขึ้นมา แต่คำพูดกลับค้างอยู่ที่ริมฝีปาก
“แอบฟังผมเหรอ?” ผมตั้งสติ แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย
“อยู่ใกล้แค่นี้ ต่อให้ไม่ตั้งใจฟัง ผมก็ได้ยินอยู่ดีรึเปล่า?” เขายิ้มแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋า พลันเอนกายพิงเบาะในท่าสบาย ท่าทางของเขาในมุมนี้ทำให้ผมหยุดมองเขา เขาเป็แพทย์ที่เก่ง สุขุม เงียบขรึมในแบบที่คนอื่นยากจะเข้าถึง เหมือนโลกของเขามีแค่คนไข้ที่ต้องรักษา และโลกส่วนตัวที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง
ผมสูดลมหายใจ ละสายตาออกจากเขาครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น
“คุณหมอ”
“หืม” เขาค่อย ๆ หันใบหน้าหล่อเหลามองผม ขณะที่แสงสีส้มอ่อนลอดเข้ามาเป็ระยะ ก่อนผมจะเอนกายพิงเบาะ แล้วเอ่ยถาม
“ทำไมยอมให้ผมอยู่ใกล้ล่ะ ทั้งที่จริงคุณหมอปฏิเสธได้ตลอด” เขาเงียบไป ราวกับกำลังคิดบางอย่าง แล้วตอบกลับ
“อาจเพราะคุณ ไม่เหมือนใคร” คำตอบของเขาทำให้ผมมองค้างอยู่อย่างนั้น แวบหนึ่งผมไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไรกันแน่ เพราะคนอย่างเขาไม่ใช่คนที่พูดอะไรลอย ๆ โดยไม่มีความหมาย
เมื่อย้อนคิดกลับไป ผมเพิ่งรู้สึกตัว ว่าทุกก้าวที่ผมเดินเข้าใกล้เขา ไม่ว่าจะเป็ตอนขอเลี้ยงข้าว ขอไปทำอาหารให้ที่คอนโดฯ หรือแม้แต่การร่วมเดินทางในครั้งนี้ ไม่มีสักครั้งที่เขาปฏิเสธจริงจัง ไม่เคยผลักไส ไม่เคยปิดประตูใส่หน้าผม แบบที่เคยทำกับคนอื่นมานับครั้งไม่ถ้วน
และนั่น คือสิ่งที่ผุดขึ้น ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เพราะผมรั้นแต่เพราะเขา อนุญาต
เขาหลับตาลงเบา ๆ คล้ายกับกำลังพักผ่อน ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ ปล่อยให้ผมจมอยู่กับคำตอบกำกวมนั้นตามลำพัง พร้อมเสียงเครื่องยนต์แล่นไปตามทางอย่างสงบ ไม่รู้ว่านานเท่าไร แต่มันก็ทำให้ผมตัดสินใจเอ่ยถามบางอย่างที่ค้างอยู่ในใจ
“ผมถามอะไรอย่างได้ไหม มยุรา ในสมุดเล่มดำที่คุณเขียนชื่อไว้ เธอคือใคร?” ทว่าเขาเงียบไม่ตอบกลับ ผมจึงตัดสินใจเอื้อมไปสะกิดแขนเขาเบา ๆ
“หลับแล้วเหรอ?” หมอนาวินนิ่งเงียบ ไม่แปลกใจว่าทำไมแค่ไม่กี่นาทีทำให้เขาหลับสนิทอย่างนั้น อาจเพราะเหนื่อยล้าจากการทำงานอย่างหนัก ผมนั่งมองใบหน้าเขาเงียบ ๆ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบผ้าห่มผืนเล็กขึ้นมาคลุมให้ หวังว่าคืนนี้เขาจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
หลังจากนั้นผมก็ปรับเบาะเอนลงเล็กน้อย พลันก้มมองรอยปานที่มือของตัวเอง แล้วลูบวนเบา ๆ ทำไมชาติที่แล้ว เขาถึงใจร้ายกับผมนัก ทำไมเขาไม่เคยรักผมเลย...
ความฝันได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ผมยืนมองมยุราในบ้านไม้ที่เป็เรือนหอ ราศีที่เคยเปล่งปลั่งหายไปจนหมด เหลือเพียงดวงตาเศร้าหมอง ผมขมวดคิ้วแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นบนโต๊ะอาหารมีเพียงไข่ต้มหนึ่งฟองกับน้ำพริกผักง่าย ๆ วันนี้ไม่มีเมนูของโปรดของภูมิพล เสียงฝนด้านนอกยังคงกระหน่ำไม่หยุด ทั้งยังมีฟ้าร้องครืนครั่นเป็ระยะ ทว่าสายตาของมยุราจับจ้องไปยังไข่ต้มตรงหน้าโดยไม่แตะต้องอาหาร
“ผอมหมดแล้ว กินเข้าไปเยอะ ๆ วันนี้ก็ไม่ต้องรอเขาแล้วนะ” ผมยืนบอกตัวเองในอดีตชาติ แต่ดูเหมือนว่าเธอยังคงมองไข่ต้มใบนั้น พร้อมน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาเป็สาย
“ร้องไห้อีกแล้ว ร้องทำไม รีบ ๆ กินข้าวแล้วไปปิดบ้าน ขึ้นนอนซะก็หมดเื่” ผมพูดกับเธอด้วยความเป็ห่วง เธอปาดน้ำตาออกอย่างเฉยชา ลุกขึ้นอย่างคนหมดแรง แล้วค่อย ๆ เดินไปปิดหน้าต่างหน้าบ้าน ก่อนจะหันหลังและก้าวขึ้นบันไดโดยไม่แตะอาหารแม้เพียงคำเดียว
ผมจ้องตามแผ่นหลังของเธอทันใดนั้น ผมก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงผอมซูบจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
ผมเดินตามเธอขึ้นไปอย่างเงียบ ๆ ทว่าเธอหันไปเปิดห้องของภูมิพลและก้าวเข้าไป วินาทีนั้นผมกลับขมวดคิ้วแน่น เมื่อภายในห้องมีเพียงความว่างเปล่า ข้าวของเครื่องใช้ของเขาทั้งหมดไม่มีเหลือทิ้งไว้ แม้แต่ราวแขวนผ้าที่เคยมีเครื่องแบบตำรวจพาดอยู่ ก็ว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีตัวตน
“หมายความว่าไง เขาทิ้งคุณไปแล้วเหรอ?” ผมถามออกมาเบา ๆ แต่รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองถูกบีบจมแน่น
มยุราค่อย ๆ เดินไปยังเตียงนอน หย่อนตัวลงนั่ง มองไปรอบห้องราวกับมองทุกอย่างเป็ครั้งสุดท้าย
สายตาของเธอ...ไร้ประกายเหมือนคนที่หมดแล้วทุกอย่างในชีวิต
จากนั้นเธอก็เอื้อมไปหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมา ใบมีดคมกริบวาววับแม้ในแสงสลัว ทำให้ผมใจหายวาบ
“อย่านะ!” ผมรีบวิ่งเข้าไปคว้า แต่ร่างของผมในความฝันกลับโปร่งบาง เกินจะััหรือหยุดยั้งอะไรได้ มือของผมทะลุผ่านแขนของเธอไปอย่างไร้ความหมาย
น้ำตาของเธอ...ยังคงไหลอาบแก้มเงียบ ๆ ขณะเดียวกัน สายฝนด้านนอกก็โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ราวกับฟ้ากำลังร่ำไห้
“มยุรา คุณอย่าทำอย่างนั้นเลยนะ เขาก็แค่ผู้ชายเห็นแก่ตัวคนหนึ่งเท่านั้นผมสัญญา ผมจะเป็คนแก้แค้นให้คุณเองแต่คุณอย่าทำร้ายตัวเองนะ ขอร้องล่ะ” เสียงของผมสั่นเครือ ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะรู้ว่ากำลังทำผิดพลาดครั้งใหญ่
“อย่านะ!” ผมสะดุ้งตื่นพร้อมกับเปล่งคำพูดนั้นออกมา รู้ตัวว่าหายใจเฮือกใหญ่ พลันเบิกตาโพลง
“คีย์ เป็อะไร” เสียงอบอุ่นของหมอนาวินโผเข้ามาหา มือเขาแนบเบา ๆ ที่อกผม แล้วมองด้วยสายตาแปลกใจ ผมกลืนน้ำลายเพื่อตั้งสติ พยายามหายใจให้สม่ำเสมอ
“ฝันร้ายเหรอ?” เขาถามเสียงนุ่มหากแต่มีน้ำหนัก ผมพยักหน้าเบา ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม ก่อนจะผลักมือเขาออกจากตัว
มยุราเธอกำลังจะฆ่าตัวตายเพราะภูมิพล! ชาติที่แล้ว ทำไมผมต้องเ็ปทรมานเพียงนั้น ทำไมเขาถึงใจร้าย ทำไมเขาไม่เคยรัก ไม่มีความเห็นใจ ไม่ให้แม้แต่ความเมตตา ขณะที่ผมคิดทบทวน มือผมก็กำแน่นจนสั่นระริก
“ในฝัน คุณกำลังเป็ห่วงใครงั้นเหรอ?” ผมค่อย ๆ หันมองหน้าเขา ทบทวนใบหน้าหล่อเหลา ที่จ้องผมกลับอย่างไม่เข้าใจ
“ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่กำลังจะฆ่าตัวตาย เพราะความรัก” สิ้นคำพูด ผมเห็นประกายั์ตาเขาฉายวูบออกมา ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยการจับมือผมเบา ๆ แล้วฝืนยิ้ม
“ก็แค่ความฝันน่ะ นอนพักเถอะ” พูดจบ เขาก็เอนตัวพิงเบาะของตัวเอง ทว่าภาพของมยุรายังคงติดอยู่ในความทรงจำ ผมไม่อาจทนต่อไปได้ จึงเอ่ยขึ้น
“มยุรา ผู้หญิงในฝันของผมเธอชื่อ มยุรา” ผมพูดพลางหันมองไปยังเขา
“สมองคนเราตอนหลับ ยังทำงานอยู่เป็เื่ปกติ ก็แค่ชื่อที่สมองเผลอสร้างขึ้นมาเท่านั้น”
“ถ้างั้น หมอช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม ว่ามยุรา ที่อยู่ในสมุดสีดำในห้องคุณ หมายถึงใคร” คราวนี้สายตาสั่นไหวของหมอนาวินหันมายังผม แล้วตอบกลับ
“มันก็แค่ชื่อ ที่อยู่ ๆ ผมนึกขึ้นมาได้ ั้แ่ตอนเรียนแพทย์ ไม่เคยเจอ ไม่เคยรู้จัก ผมก็เลยเขียนชื่อเธอลงไว้ในสมุดบันทึก และก็ลืมไปนานแล้ว” เขาตอบโดยไม่หลบสายตา
“มันก็แค่ส่วนหนึ่งของสมอง ที่บางทีอาจทำงานผิดปกติ คุณกำลังไร้เหตุผลอยู่นะ ที่เอาความฝันมาผูกโยงกับปัจจุบัน” ผมพยักหน้ายอมรับเบา ๆ อย่างน้อยก็รู้ว่า ความรู้สึกเขาเหมือนเงาในกระจกที่สะท้อนบางอย่างของอดีตกลับมา
“ทั้งหมดอาจไม่ใช่เื่บังเอิญ” ผมพูดทิ้งท้ายก่อนเขามองมายังผม
“ตอนนี้ มีแค่ผมกับคุณ นี่ต่างหากที่คือความจริง คีย์...” สายตาอบอุ่นและอ่อนโยนของเขา กำลังบังคับให้ผมเชื่อใจ แต่ผมไม่มีวันเชื่อใจคนอย่างเขา รอแค่เวลาเอาคืนให้สาสมกับสิ่งที่มยุราได้รับเท่านั้น
“ไม่มีอะไรแล้วนะ มันก็แค่ความฝัน” เขาเอื้อมมาจับมือผมแล้วพูดปลอบ เหมือน้ายึดผมไว้กับปัจจุบัน แล้วให้ลืมทุกอย่างไปซะ