มู่หรงฉือเห็นด้านข้างมีเกวียนอยู่หนึ่งคัน บนเกวียนมีโลงศพตั้งอยู่โลงหนึ่ง
เสียงพูดคุยจอแจเหมือนน้ำที่ล้นทะเล แม่นางหน้าตางดงามผู้นั้นฟังคนที่มุงอยู่รอบๆ พูดคุยกัน ก็รู้ว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่มีทางยินยอมให้นางเข้าไปแน่จึงตัดใจ แล้วยกเกวียนขึ้น เตรียมตัวจะลากเกวียนออกไปหาโรงเตี๊ยมอื่น
ป้าคนหนึ่งแนะนำอย่างมีน้ำใจ “แม่นางไม่ต้องไปหาที่อื่นหรอก ไม่มีโรงเตี๊ยมไหนยอมให้เ้าเข้าพักหรอก มิสู้เ้าลากโลงศพไปตามวัดเก่าๆ ในเมืองเถิด”
แม่นางผู้นั้นได้ยินประโยคนี้แล้วก็ขอบคุณ ก่อนจะเตรียมตัวไปตามวัดเก่าๆ
ฉินรั่วพูดอย่างเห็นใจ “อากาศร้อนขนาดนี้ แม่นางคนหนึ่งเดินลากเกวียนไปไกลขนาดนี้ ไม่ง่ายดายจริงๆ”
แน่นอน
มู่หรงฉือเห็นชุดของแม่นางคนนั้นเปียกชุ่ม คิดว่าตลอดทางมานี้เสื้อคงจะชื้นแล้วก็แห้ง แห้งแล้วก็กลับมาชื้นอีกแน่ๆ
“ลากโลงศพมาถึงเมืองหลวง คิดดูแล้วคงจะต้องมีเื่อะไรเป็แน่”
“ให้หนูฉายไปถามดีหรือไม่เพคะ?” ฉินรั่วเอ่ยปาก
“ไปสิ” มู่หรงฉือก็รู้สึกว่าเื่นี้แปลกประหลาด คนตายก็ควรจะฝังลงดินอย่างสงบ ไม่มีใครลากศพครอบครัวของตนเดินทางมายังต่างถิ่นไกลขนาดนี้ หรือว่าแม่นางคนนั้นมีเื่ที่ถูกใส่ร้าย?
ฉินรั่วซื้อซาลาเปาสองลูกให้แม่นางคนนั้นพลางพูดอย่างใจดี “แม่นาง ซาลาเปาสองลูกนี้เ้าเอาไปทานก่อน แม่นางไม่ใช่คนเมืองหลวงใช่หรือไม่ คนในโลงนี้เป็ญาติของเ้าหรือ? คนตายไปแล้วไม่ใช่ว่าควรจะฝังลงดินหรือ? เหตุใดถึงได้ลากโลงศพเข้ามาในเมืองเช่นนี้เล่า?”
แม่นางคนนั้นเห็นนางหน้าตาใจดีจึงตอบ “เป็พี่ชายของข้าเอง เขาจากไปแล้ว ข้าพาศพพี่ชายเข้าเมืองหลวงมาเพื่อขอความเป็ธรรมให้เขา”
ฉินรั่วรู้สึกใ “อ้อ? พี่ชายของเ้าถูกคนฆ่าตายอย่างนั้นหรือ?”
แม่นางคนนั้นพยักหน้า “ข้าจะต้องทวงความยุติธรรมให้พี่ชายของข้าให้ได้”
“เช่นนั้นเ้าวางแผนจะทำอย่างไร?”
“ข้าจะไปตีกลองที่จวนจิ่งจ้าวเพื่อเรียกร้องความเป็ธรรม! หากจวนจิ่งจ้าวไม่สนใจ ข้าก็จะไปร้องทูลต่อฮ่องเต้!”
แม่นางคนนั้นพูดอย่างแข็งขันกล้าหาญ น้ำเสียงแน่วแน่
มู่หรงฉือเดินเข้าไปหา ถามเสียงอบอุ่น “แม่นางเดินทางมาไกลเป็พันลี้เพื่อมาเรียกร้องความเป็ธรรมให้พี่ชาย ช่างน่าซาบซึ้งใจและน่านับถือยิ่งนัก เช่นนั้นข้าจะขอชี้แนะแม่นางสักสองสามข้อ เ้ารู้จักอวี้หวางหรือไม่? อวี้หวางคือท่านอ๋องผู้ว่าราชการแทน กุมอำนาจทั้งราชสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็คนที่มีคุณธรรมมาก รักใคร่ประชาชนประหนึ่งลูกหลาน แทนที่เ้าจะไปร้องทุกข์กับฮ่องเต้ มิสู้ไปฟ้องร้องกับอวี้หวางดีหรือไม่ เขาจะต้องให้ศาลต้าหลี่สืบคดีการตายของพี่ชายเ้า ทวงความยุติธรรมให้พี่ชายของเ้า”
แม่นางผู้นั้นดีใจอย่างยิ่ง “จริงหรือเ้าคะ? อวี้หวางจะช่วยข้าจริงๆ หรือ?”
ฉินรั่วกล่าวเสริม “คนในเมืองหลวงต่างรู้ว่าอวี้หวางเป็องค์ชายผู้ซื่อตรง ยุติธรรมโปร่งใส เวลามีคนได้รับความอยุติธรรมเมื่อไปแจ้งเื่กับเขาล้วนได้รับการสืบสวนอย่างยุติธรรม”
แม่นางคนนั้นยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณคุณชายทั้งสองที่ชี้แนะเ้าค่ะ”
มู่หรงฉือยังพูดขึ้นอีกว่า “เ้าลากโลงศพนี้ไปคุกเข่าที่หน้าจวนอวี้หวาง บนโลงศพเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ๆ ว่า : ถูกใส่ร้าย บนหน้าผากของเ้าให้คาดผ้าขาวที่เขียนว่าถูกใส่ร้าย จากนั้นก็คุกเข่าแล้วะโเสียงดังว่า : ขออวี้หวางได้โปรดทวงความยุติธรรมให้พี่ชายข้า ส่วนเนื้อหาอย่างอื่นเ้าก็ไปครุ่นคิดต่อเองเถิด”
“หากมีคนมาขับไล่ เ้าก็ไม่ต้องไป คุกเข่าอยู่ตรงนั้น คุกเข่าจนกว่าอวี้หวางจะมา” ฉินรั่วยิ่งคิดก็ยิ่งตลก พูดออกมาอย่างยากลำบาก
“แม่นางรีบไปเถิด” มู่หรงฉือพูดสนับสนุน
“ขอบคุณคุณชายทั้งสองเ้าค่ะ”
แม่นางผู้นั้นรีบลากเกวียนไปที่จวนอวี้หวาง
มู่หรงฉือกับฉินรั่วหัวเราะลั่น ฉินรั่วถามเสียงเบา “เหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงให้แม่นางคนนั้นไปที่จวนอวี้หวางเล่าเพคะ?”
“เขาว่างเกินไป เปิ่นกงย่อมต้องหางานให้เขาทำสักหน่อย”
“แต่ท่านอ๋องจะต้องส่งเื่นี้ไปให้ศาลต้าหลี่เป็ผู้ตรวจสอบอยู่ดีนะเพคะ”
“นั่นก็พอดีเลยไม่ใช่หรือ? อย่างไร่นี้ศาลต้าหลี่ก็ไม่ได้ยุ่งนัก”
มู่หรงฉือคิดถึงตอนที่มู่หรงอวี้ได้ยินเสียงคนะโร้องขอความเป็ธรรมอยู่หน้าประตูจวนพร้อมโลงศพแล้วจะต้องน่าสนุกมาก
คิดเช่นนี้ นางก็ไม่ได้รู้สึกหิวขนาดนั้นแล้ว รีบลากฉินรั่วไปหน้าจวนอวี้หวาง
นอกจวนอวี้หวาง พวกนางซ่อนตัวอยู่ในมุมที่มองไปแล้วจะเห็นหน้าประตูเรือน แม่นางสวมชุดสีขาวผ้าเนื้อหยาบผู้นั้นคุกเข่าอยู่หน้าประตูใหญ่จริงๆ บนผ้าคาดหน้าผากติดกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้ บนโลงศพก็ติดตัวอักษรตัวใหญ่ว่า : ถูกใส่ร้าย
แม่นางคนนั้นะโเสียงดัง “ข้าน้อยหลินอวี่ขอเข้าพบอวี้หวาง! อวี้หวางได้โปรดทวงความยุติธรรมให้กับพี่ชายของข้าน้อยด้วย! อวี้หวางได้โปรดช่วยทวงความยุติธรรมให้พี่ชายข้าน้อยด้วย!”
นางะโอยู่หลายครั้ง องครักษ์เฝ้าประตูเดิมไม่อยากจะสนใจ แต่ว่านางะโไปอย่างไม่กลัวว่าใครจะรำคาญ พวกเขาได้ยินแล้วยังรำคาญเลย
องครักษ์เฝ้าประตูคนหนึ่งเดินเข้ามาพูด “แม่นาง เ้ามาทวงความยุติธรรมให้ครอบครัวก็ไปที่จวนจิ่งจ้าวเถิด ที่นี่ไม่ใช่ที่ทวงหาความยุติธรรม”
“ไม่ ข้าจะพบอวี้หวาง”
“เหตุใดเ้า...เ้ารีบไปเลยนะ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว!”
“พี่ชาย ท่านก็ถือว่าสงสารข้าเถิด วันนี้ข้าจะคุกเข่าอยู่ที่นี่ อวี้หวางไม่พบข้าข้าก็จะคุกเข่าไปเรื่อยๆ” แม่นางคนนั้นยืนกรานหนักแน่น
“ไอหยา แม่นางของข้า เหตุใดเ้าถึงฟังคำพูดของข้าไม่เข้าใจเล่า?” องครักษ์เฝ้าประตูคนนั้นโมโหแล้ว “หากเ้ายังไม่ไปอีก ข้าจะไล่แล้ว!”
“เ้าตีข้าทำร้ายข้าอย่างไร ข้าก็ไม่ไป เ้ากล้าทำร้ายข้า ข้าก็จะแจ้งความเ้าไปด้วย!” นางเงยหน้าอย่างดื้อรั้น
เขาโกรธจัดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เื่อะไรเขาก็ไม่อาจทำได้
ถึงแม้อวี้หวางจะมีอำนาจในราชสำนัก แต่อวี้หวางก็ลงโทษคนหนักเช่นกัน หากเขาทำร้ายคนวันนี้ งานนี้ก็คงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้
แม่นางคนนั้นะโเสียงดังจนองครักษ์เฝ้าประตูคนนั้นยอมแพ้ “ได้ๆๆ ข้าจะไปรายงานให้เ้า”
นางดีใจจนออกนอกหน้า แต่เพียงครู่เดียวสีหน้าก็หม่นหมองลง มองโลงศพแล้วพูด “พี่ชาย ข้าจะต้องทวงความยุติธรรมให้ท่าน”
ความจริงแล้วเสียงะโของนาง คนในจวนได้ยินกันจนหมดแล้ว พ่อบ้านหลินฟังคำรายงายขององครักษ์ก็ไปรายงานท่านอ๋อง
มู่หรงอวี้ได้ยินเื่นี้ก็เลิกคิ้ว “ให้คนพาแม่นางคนนั้นไปที่ศาลต้าหลี่ แล้วแจ้งคำพูดของข้าแก่ศาลต้าหลี่ บอกให้พวกเขาตรวจสอบให้ดี”
แม่นางที่เดินทางมาจากนอกพื้นที่รู้ได้อย่างไรว่าจะต้องมาร้องขอความยุติธรรมที่จวนหวางของเขา?
มีคนใหญ่คนโตชี้แนะใช่หรือไม่?
เขาเรียกกุ่ยหยิงมา สั่งงานไปสองประโยคก่อนกุ่ยหยิงจะทะยานตัวขึ้นไปบนหลังคาทันที ทันทีที่กระพริบตาร่างของเขาก็หายไปแล้ว
ไม่นานกุ่ยหยิงก็กลับมารายงาน “ท่านอ๋อง กระหม่อมเห็นองค์รัชทายาทเดินไวๆ จากไปพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้โบกมือ มุมปากยกขึ้น เป็นางอย่างที่คิด
...
ผ่านไปหนึ่งวัน มู่หรงฉือก็ส่งคนไปที่ศาลต้าหลี่เชิญเสิ่นจือเหยียนมาที่ตำหนักบูรพา
เสิ่นจือเหยียนมาถึงในตอนบ่าย บนตัวมีเหงื่ออยู่เล็กน้อย หรูอี้รีบส่งผ้าสะอาดให้เขาเช็ดเหงื่อ แล้วค่อยส่งต้มถั่วเขียวที่แช่เย็นไว้แล้วหนึ่งถ้วยให้เขา นางกำนัลหญิงที่อยู่ด้านข้างโบกพัดสีขาวใหญ่ พัดอากาศเย็นจากน้ำแข็งให้เ้านาย
เขาดื่มต้มถั่วเขียวไปหนึ่งถ้วยแล้วก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาไม่น้อย ยิ้มสดใสราวลมฤดูใบไม้ผลิแล้วหยิบพัดในมือของนางกำนัลหญิงคนนั้นมาพัดไม่หยุด
“เตี้ยนเซี่ยเรียกข้ามา มีธุระอะไรหรือ?”
“ได้ยินมาว่าศาลต้าหลี่รับคดีแปลกๆ เื่หนึ่งมา เปิ่นกงอยากจะรู้เื่ราวสักหน่อย” มู่หรงฉือถามด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“ข่าวสารของเตี้ยนเซี่ยว่องไวจริงๆ” เสิ่นจือเหยียนยิ้ม
“ใต้เท้าเสิ่นรีบพูดมาเถิด เตี้ยนเซี่ยกับหนูฉายอยากรู้เหลือเกินแล้ว” ฉินรั่วยิ้มพลางเอ่ยเร่ง
“เื่เป็เช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ มีแม่นางผู้หนึ่งเดินทางเป็พันลี้มาจากอี้โจวพร้อมกับศพพี่ชายมาถึงเมืองหลวง เพียงเพื่อทวงความยุติธรรมให้พี่ชาย” เสิ่นจือเหยียนเล่าออกมาไม่หยุด “แม่นางคนนี้อายุสิบแปดปี มีนามว่าหลินอวี่ ได้รับการเลี้ยงดูจากหลินซูผู้เป็พี่ชายั้แ่เด็กจนโต เพราะบิดามารดาตายจากไปแล้ว สองพี่น้องจึงพึ่งพากันและกันเสมอมา หลินซูตรากตรำเรียนหนังสือมาสิบปี เป็คนเฉลียวฉลาดเก่งกาจ นับว่าเป็บุรุษหน้าตาหล่อเหลาและมีความรู้กว้างขวางที่นั่น แต่กลับไม่ได้เข้าร่วมการสอบขุนนาง เขาเป็เพียงอาจารย์สอนหนังสือให้บุตรของเพื่อนบ้านและเก็บเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“เช่นนั้นเขาตายได้อย่างไร?” หรูอี้ถาม
“สหายของหลินอวี่ถูกคนขืนใจ นางจึงไปปลอบใจสหายผู้นั้น รั้งอยู่ที่เรือนนั้นอยู่หลายวัน เมื่อหลินอวี่กลับมาก็พบว่าพี่ชายเสียชีวิตอยู่ในเรือนจึงเศร้าโศกเสียใจเป็อย่างมาก” เขาพูดต่อ
“หลินซูเสียชีวิตได้อย่างไร?” ฉินรั่วถาม
“หลินซูผู้ตายเสียชีวิตมาได้สามเดือนแล้ว แต่หลินอวี่ใช้ถ่านมารักษาสภาพศพเอาไว้ ดังนั้นศพจึงไม่ได้เน่าเปื่อยเท่าใดนัก” เสิ่นจือเหยียนพูดด้วยท่าทางสง่างาม “เมื่อวานข้าชันสูตรศพแล้ว าแที่ทำให้หลินซูเสียชีวิตมีเพียงจุดเดียว ตรงหัวใจถูกแทงเข้าไปหนึ่งครั้ง เืไหลออกมาเยอะมาก”
“ผู้ตายถูกกระบี่ยาวแทงทะลุหัวใจจนตาย คนร้ายน่าจะเป็คนที่มีวรยุทธ์” มู่หรงฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” เขาสะบัดอาภารณ์ก่อนจะนั่งลง แล้วดื่มชาไปครึ่งถ้วย “ใต้เท้ากู้มอบหมายให้ข้าสืบคดีนี้”
“เหตุใดหลินอวี่ถึงมาแจ้งความที่เมืองหลวงเล่า?” ฉินรั่วถามด้วยความไม่เข้าใจ
“นี่เป็เื่ต่อไปที่ข้ากำลังจะกล่าวถึง” เสิ่นจือเหยียนยิ้มสบายๆ “สองพี่น้องหลินซูเป็คนซื่อสัตย์ เข้ากันได้ดีกับเพื่อนบ้าน ไม่มีเื่บาดหมางกับใคร จากที่หลินอวี่บอก ก่อนที่หลินซูจะเสียชีวิตราวครึ่งเดือน เขาพบกับแม่นางหน้าตางดงามอายุน้อยคนหนึ่ง ทั้งสองคนชอบพอกัน ไม่นานก็ได้เสียกัน ทั้งยังส่งของแทนใจให้กันอีกด้วย”
“ต่อมาแม่นางคนนั้นเปลี่ยนใจหรือ?” มู่หรงฉือคาดเดา
“ไม่ผิด แม่นางผู้นี้เป็คนจากเมืองหลวง ที่จวนทำการค้าขาย ครอบครัวมีฐานะร่ำรวย นางเป็คุณหนูผู้สูงส่ง นางพาสาวใช้ไปเที่ยวเล่นที่อี้โจว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเจอกับคุณชายที่เฉลียวฉลาดเก่งกาจ แม่นางผู้นี้บอกว่าบิดามารดาทำการหมั้นหมายให้นางแล้ว นางไม่อาจแต่งกับหลินซูได้ อีกไม่นานก็จะต้องกลับเมืองหลวงแล้ว” เขาพูดอย่างไหลลื่นราวเป็นักเล่านิทาน “คิดไม่ถึงว่าหลินซูจะมีรักลึกซึ้งต่อนาง ขอร้องให้นางอย่าจากไป บอกว่าเขาจะสอบขุนนาง ขอยศบรรดาศักดิ์ จากนั้นจะไปสู่ขอนางอย่างเปิดเผย ทว่าแม่นางผู้นี้กลับใจแข็งราวกับเหล็ก ยืนกรานจะกลับเมืองหลวงแล้วตัดความสัมพันธ์อย่างไม่เหลือเยื่อใย”
“คุณชายหลินเป็ผู้ลุ่มหลงในรักผู้หนึ่งจริงๆ แม่นางผู้นั้นก็ใจแข็งเกินไปแล้ว หลินอวี่เคยพบแม่นางคนนั้นหรือไม่?” ฉินรั่วสลดใจแทนความรักลึกซึ้งของคุณชายหลิน
“ไม่เคยเจอมาก่อน หลินอวี่เพียงเคยได้ยินเื่ที่พี่ชายของตนเล่าให้ฟังคร่าวๆ เท่านั้น” เสิ่นจือเหยียนถอนหายใจ “นางไม่รู้ว่าพี่ชายถูกแม่นางคนนั้นทำร้ายอย่างล้ำลึกเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นนางไม่มีทางไปอยู่กับสหาย นางบอกว่าตอนที่นางออกจากเรือน หลินซูหม่นหมอง ทำอะไรก็ไม่กระตือรือร้น ตอนนั้นนางรีบออกจากเรือนจึงไม่ได้ถามอะไรมาก คิดไม่ถึงว่าตอนกลับมา...”
“หลินอวี่คิดว่าแม่นางคนนั้นสังหารพี่ชายของนางหรือ?” มู่หรงฉือรู้สึกว่าคดีนี้ไม่ได้ยากเท่าใดนัก
เขาพยักหน้า “นางตัดสินไปแล้วว่าแม่นางคนนั้นคือคนร้ายที่สังหารพี่ชายตนเอง หลังจากเกิดเื่นางก็ไปแจ้งความทันที เ้าเมืองที่นั่นจัดการคดีนี้ แต่สืบหาไปทั่วทั้งเมืองก็หาตัวแม่นางผู้นั้นไม่พบ”
นางถามอีก “แม่นางผู้นั้นมีนามว่าอะไร?”
เสิ่นจือเหยียนตอบ “หลินอวี่ไม่รู้ชื่อของแม่นางคนนั้น รู้แค่ว่าแซ่หรงพ่ะย่ะค่ะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้