เช้าวันที่สอง เมื่ออวิ๋นซี จวินเหยียนและคนอื่นๆ กินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็เตรียมจะจากไปทว่า ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมกลับมาแจ้งว่า อวี๋อ๋องซื่อจื่อรอพวกเขาอยู่ด้านล่าง
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้างุนงง นางรู้ดีว่าหวายหนานเป็เขตแดนพระราชทานของอวี๋อ๋องซึ่งอวี๋อ๋องผู้นี้ยังเป็แม่ทัพใหญ่แห่งหลงซีอีกด้วย คนกุมกำลังทหารจำนวนสองแสนนายนับว่าเป็ฟานอ๋อง [1] ที่มีอำนาจมากที่สุดผู้หนึ่งในราชวงศ์อย่างไรก็ตามเขาได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้เป็อย่างมาก เหตุผลนั้นน่ะหรือไม่มีอื่นใดเป็พิเศษนอกจากเพราะเขาเป็น้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้ ทั้งยังเคยช่วยชีวิตฮ่องเต้ไว้หลายครั้งยิ่งกว่านั้น ครั้นบรรดาองค์ชายแย่งชิงราชบัลลังก์กันก็เป็เขาที่เข้าช่วยเหลือและปกป้องฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอย่างสุดกำลัง
ดังนั้น สำหรับเสี้ยวเหวินตี้แล้ว หากไม่มีน้องชายคนนี้ก็คงไม่มีเขาในวันนี้
ทว่า พวกนางไม่ได้รู้จักอวี๋อ๋องซื่อจื่ออะไรนี่ ต่อให้จวินเหยียนและอวี๋อ๋องซื่อจื่อจะเป็ลูกพี่ลูกน้องฝั่งบิดากันแต่ก็คาดว่าคนคงไม่ได้สนิทกัน อีกทั้ง การมาในครั้งนี้ พวกเขาก็แอบเข้าเมืองมาอย่างเงียบๆดังนั้น คนของจวนอวี๋อ๋องย่อมไม่มีทางล่วงรู้ได้
ในขณะนั้นจวินเหยียนได้แต่บ่นกับตัวเองอยู่ในใจว่าน่าตายนัก หากเขารู้ก่อนว่าทุกสิ่งจะเป็เช่นนี้เมื่อคืนตัวเขาคงจะตัดสินใจปล่อยคนลงเสียั้แ่ด้านนอก จากนั้นก็ให้พวกตนรีบออกเดินทางกันต่อแต่เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดนั้น ตอนนี้เป็อย่างไร คนมาหาถึงที่แล้ว ดียิ่ง
จวินเหยียนพาอวิ๋นซีเดินลงไปชั้นล่าง ก่อนจะได้เห็นฮ่าวฟานที่กำลังนั่งเรียบร้อยอยู่บนเก้าอี้ส่วนบรรดาแเื่ที่กำลังกินอาหารกันอยู่ในโถงใหญ่ต่างก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียงพูดคุยเลยสักคนอย่างไรเสีย คนผู้นี้ที่นั่งอยู่ก็คืออวี๋อ๋องซื่อจื่อที่ว่ากันว่า ไม่ใช่คนที่พูดด้วยง่ายนักหากไปหาเื่เข้าย่อมต้องได้รับผลที่ไม่ดีตามมาแน่
อวิ๋นซีขมวดคิ้ว “เ้าคืออวี๋อ๋องซื่อจื่อ? ”
เมื่อโอวหยางฮ่าวฟานได้ยินก็ยิ้มพยักหน้า “ใช่แล้ว ใช่แล้วข้าก็คือซื่อจื่อของอวี๋อ๋อง แต่ตัวข้านี้ปรารถนาให้พี่หญิงอวิ๋นเห็นข้าเป็ดังน้องชายตนเองมากกว่าข้าอยากจะเชิญพวกท่านไปเป็แขกที่จวนอ๋องเรา เพื่อจะได้เป็การตอบแทนบุญคุณที่พี่หญิงช่วยฮ่าวฟานไว้”
จวินเหยียนพูดเรียบๆ “ไม่จำเป็หรอก”
“จำเป็สิ จำเป็” ทันทีที่พูดจบ โอวหยางฮ่าวฟานก็นำหน้าไปก้าวหนึ่งเขาเข้าไปอุ้มตัวหวานหว่านที่กำลังเดินลงมาจากบันไดจากนั้นก็เดินมุ่งหน้าออกไปด้านนอก โดยไม่แม้แต่จะให้โอกาสคนที่เหลือได้กล่าวปฏิเสธ
จวินเหยียนมองบุตรสาวตนที่ถูกคนอุ้มออกไปแล้ว คิ้วของเขาขมวดมุ่นเข้าหากันน้อยๆจากนั้นจึงคิดอยากจะตามไปนำตัวบุตรสาวกลับมา แต่ใครเล่าจะรู้ว่า กว่าเขากับอวิ๋นซีจะเดินออกมาถึงนอกประตูโรงเตี๊ยมโอวหยางฮ่าวฟานก็ได้ควบม้าพาหวานหว่านจากไปแล้ว
จี้หยวนที่เห็นเหตุการณ์เป็เช่นนี้ได้แต่พูดเสียงขรึม “ดูท่า พวกเราคงต้องไปเยือนจวนอวี๋อ๋องสักรอบแล้วล่ะ”
อวิ๋นซีเองก็หมดคำจะพูด ใครจะไปคาดคิดว่า เ้าคนสารเลวตัวน้อยอย่างโอวหยางฮ่าวฟานนั่นจะฉกชิงตัวหวานหว่านไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ส่วนบุตรสาวนางก็กลายเป็เ้าหนูโง่เง่าตัวน้อยที่เห็นคนอื่นดีกว่าบิดามารดาตน เพราะในความเป็จริงหวานหว่านนั้นมักจะพกยาพิษติดตัวเสมอ หากว่าเด็กน้อยไม่อยากไป คนผู้นั้นก็ย่อมไม่มีทางพาตัวนางออกไปพ้นประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมนี้ได้อย่างแน่นอน
“ไปเถอะ ในเมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ไม่ไปก็คงไม่ได้แล้ว” เมื่อก่อนอวิ๋นซีเองก็เคยได้ยินมาว่าอวี๋อ๋องผู้นี้คาดหวังในตัวจวินเหยียนมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่ายามนี้หลายปีผ่านไป ความผูกพันอาหลานในตอนนั้นจะยังคงอยู่หรือไม่
หากว่าสามารถโน้มน้าวให้อวี๋อ๋องมายืนฝั่งจวินเหยียนได้ ชีวิตของเขาในวันหน้าย่อมมีข้อดีแน่นอนไม่มีทางมีข้อเสียอันใด
“อืม” เขาโอบบ่าภรรยาแล้วขึ้นรถม้าไป เพียงแต่ตลอดระยะทางที่ไปจวนอ๋อง จวินเหยียนไม่พูดไม่จาเลยสักคำอวิ๋นซีเองก็ไม่ได้คิดถามเขา และปล่อยให้เขาได้ทำใจให้เย็นอยู่เพียงลำพัง
ยามนี้เวลาห่างมาเป็สิบปี การจะได้พบญาติอีกครั้งอาจทำให้จิตใจเขาเป็กังวลนางจับมือเขาเบาๆ และเฝ้ามองเขาอยู่เงียบๆ ในสายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปโอบกายภรรยาไว้ในอ้อมแขนตน “การถูกขับไล่ไปยังหานโจวถือเป็ความโชคดีอย่างที่สุดในชีวิตของข้าเพราะทำให้ข้าได้เจอเ้า ทำให้ข้าได้รู้จักกับความรู้สึกที่เป็อันหนึ่งอันเดียวและได้เป็ที่ยอมรับในหานโจว”
เมืองหลวงถือเป็สถานที่ที่หรูหราที่สุดในหนานเย่าและเป็สถานที่ที่ไร้ใจที่สุดในหนานเย่าเช่นกัน ที่นั่น ไม่มีใครมานั่งสงสารหรือเห็นใจใครหน้าไหนดังนั้น คนที่้าความสงสารและเห็นใจนั้นก็ล้วนไม่มีทางได้มีชีวิตอยู่ยืนยาว
ที่นั่นไม่สนใจกระทั่งหยาดน้ำตาคน และสนใจเพียงความสามารถที่แท้จริงของคนเท่านั้น
“ข้าเองก็เช่นกัน” ความสุขที่สุดในชีวิตนี้คือการได้มาเกิดใหม่อีกครั้งในร่างของอวิ๋นซีจากนั้นก็ได้พบกับจวินเหยียน และได้อยู่ด้วยกันกับบุตรสาวของตน
นางฟังเสียงหัวใจที่เต้นหนักแน่นเป็จังหวะของเขา จากนั้นจึงยิ้มแล้วถามว่า“ท่านไม่อยากไปจวนอวี๋อ๋อง เพราะไม่อยากเจอท่านอาผู้นั้นของท่านหรือ? ”
“ไม่ใช่” เขาลูบไล้ใบหน้านาง ตอบเสียงเบา “ก็แค่ไม่อยากไป ไม่ใช่ไม่อยากเจอตอนนี้เวลาผ่านไปเป็สิบปีแล้ว สำหรับข้า มีเพียงเ้าและหวานหว่านเท่านั้นที่สำคัญ”
ญาติ เขาไม่มี
ความผูกพันของครอบครัว เขาไม่้า
ดังนั้น สำหรับเขาแล้ว คนตระกูลโอวหยางจะมีหรือไม่ก็ย่อมมีค่าไม่ต่างกัน
“เช่นนั้น น้องสี่เล่า? ” อวิ๋นซีขมวดคิ้วถามนางรับรู้ได้มาโดยตลอดว่า สถานะขององค์ชายสี่ในใจเขาย่อมพิเศษกว่าญาติคนใด หรือว่าแท้จริงแล้วนางจะคิดผิดไปเอง? แท้จริงแล้วเื่ราวไม่ใช่เช่นนั้น?
“เ้าสี่และพระสนมอวี้เฟย พวกเขาล้วนเป็คนพิเศษสำหรับข้าเช่นกัน ตอนนั้นที่คนพวกนั้นใส่ร้ายข้าเสด็จแม่ไม่เคยช่วยขอร้องแทนข้า แต่เ้าสี่กับอวี้เฟยกลับคุกเข่าอยู่เบื้องพระพักตร์พระบิดาขอร้องให้พระองค์สืบหาข้อเท็จจริงของเื่ที่เกิดขึ้นให้แน่ชัด อย่าให้ใครต้องถูกใส่ร้าย”ด้วยเหตุนี้ สำหรับเ้าสี่และอวี้เฟยนั้น ในใจเขามีความซาบซึ้งอยู่ เพราะในยามที่เขา้าใครสักคนมากที่สุดพ่อแท้ๆ กลับไม่เชื่อใจ ส่วนแม่แท้ๆ ที่ให้กำเนิดตนมาก็เอาแต่วางท่าทางเด็ดเดี่ยวและเที่ยงธรรมราวกับว่าเขาเป็คนที่สมควรตายก็ไม่ปาน
ทว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่โชคร้ายนั้นก็ยังมีน้องชายต่างมารดา และอนุของบิดาที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าบิดาขอร้องอ้อนวอนให้เขาอย่างยากลำบาก อีกทั้ง หลายปีมานี้ เหตุที่ขุมกำลังของเขาสามารถยืนอยู่อย่างมั่นคงได้ในเมืองหลวงภายในระยะเวลาอันรวดเร็วเพียงนั้นก็คงเป็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากเ้าสี่และอวี้เฟยไม่น้อย
เื่เล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลายเหล่านี้ เขาล้วนจดจำใส่ใจทั้งสิ้น
“คนที่เคยช่วยเหลือท่าน ก็คือผู้มีพระคุณของข้าอวิ๋นซี ส่วนคนที่ทำร้ายท่านคนที่ซ้ำเติมท่าน ก็นับเป็ศัตรูของข้าอวิ๋นซีเฉกเดียวกัน” นางกุมมือเขาพลางเล่นนิ้วเรียวยาวของเขา
นิ้วของเขายาวมากจริงๆ ทั้งยังงดงามมากๆ อีกด้วยหากเขาเกิดและเติบโตอยู่ในยุคปัจจุบัน มือคู่นี้จักต้องเป็มือของนักเปียโนอย่างแน่นอน
เมื่อจวินเหยียนได้ยินคำปลอบนั้น มือที่สวมกอดนางไว้ก็ยิ่งกระชับขึ้น นางคือภรรยาของเขาสตรีผู้หนึ่งที่ใช้ทั้งชีวิตเพื่อปกป้องเขา
ตอนที่ไปถึงยังจวนอวี๋อ๋อง พ่อบ้านของจวนก็ได้ออกมายืนรอรับอยู่ด้านนอกแล้วทันทีที่ผู้ชราเห็นคนลงจากรถม้ามา เขาก็ถึงกับตะลึงค้างไป มุมปากขยับน้อยๆ ในสายตาปรากฏความไม่อยากเชื่ออันเข้มข้น
“องค์ชายรอง...” เขาคุกเข่าลงบนพื้น โขกศีรษะทันที
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็ขมวดคิ้ว “ที่นี่ไม่มีองค์ชายรองอันใดทั้งนั้นข้าเพียงมารับบุตรสาวของข้า”
คำกล่าวอันหนักแน่นชี้ชวนให้พ่อบ้านไม่เข้าใจ ถึงแม้ใบหน้าของบุรุษผู้นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงทว่าตัวเขาสามารถรับประกันได้ว่า นี่ก็คือองค์ชายรอง เด็กชายที่ในตอนนั้นมักจะตามติดอยู่ข้างกายนายท่านเรียนขี่ม้ายิงธนู
อวิ๋นซีก้าวไปด้านหน้า อมยิ้มพูดว่า “ผู้าุโ เื่เป็เช่นนี้ซื่อจื่อของอวี๋อ๋องพาบุตรสาวเรามาที่จวนอ๋องนี้ เหตุที่พวกเรามาที่นี่ก็เพียงเพราะอยากจะพาบุตรสาวตนกลับไปก็เท่านั้นดังนั้น รบกวนผู้าุโแล้ว ช่วยตามซื่อจื่อมาหาพวกข้าที่นี่จะได้หรือไม่”
จวินเหยียนไม่อยากเข้าไป นางก็จะไม่บังคับเขา และหากผู้ชราไม่อาจช่วยนางได้จริงๆละก็ นางก็จะเข้าไปพาตัวลูกออกมาเอง
พ่อบ้านลำบากใจเล็กน้อย “เมื่อครู่นี้ซื่อจื่อสั่งให้บ่าวชรามารอรับพวกท่านผู้เป็แขกคนสำคัญอยู่ที่นี่ยามนี้ซื่อจื่อพาคุณหนูไปขี่ม้าแล้ว ทั้งยังบอกอีกว่าจะกลับมาในอีกครึ่งชั่วยาม ขอให้พวกท่านรออยู่ในจวนสักครู่”
ในใจของพ่อบ้านร้อนใจเป็อย่างยิ่ง ยามนี้องค์ชายรองอยู่ที่นี่แล้ว เขาแทบอยากจะรีบเข้าไปทูลเื่นี้ต่อท่านอ๋องเสียเดี๋ยวนี้
สิ่งที่ต้องรู้ก่อน ในใจของท่านอ๋องของเขา องค์ชายรองผู้นี้ไม่ต่างจากบุตรแท้ๆของตน หลายปีมานี้แม้คนจะถูกลงโทษให้ไปอยู่ยังแดนไกล ทว่าท่านอ๋องก็ยังคงระลึกถึงอยู่เสมอเพียงแต่ทรงรับปากกับฝ่าาไว้ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่ใดใดที่เกี่ยวข้องกับองค์ชายรองอย่างเด็ดขาด
มิเช่นนั้น ตามนิสัยของท่านอ๋อง ป่านนี้พระองค์คงได้ไปเยือนหานโจวตั้งนานแล้ว
“ไปเถอะ” ถึงแม้จวินเหยียนจะอยากจับตัวโอวหยางฮ่าวฟานมามัดไว้แล้วซ้อมให้น่วมเสียสักรอบทว่าตอนนี้บุตรสาวตนก็เรียกได้ว่าอยู่ในกำมือของผู้อื่น อีกประการ เขายังรู้ดีว่ามีเื่บางเื่ที่จะอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้า
เมื่อพ่อบ้านได้ยินเช่นนั้นก็รีบเดินนำทางอยู่เบื้องหน้าด้วยความดีอกดีใจ
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ฟานอ๋อง(藩王)หมายถึงอ๋อง จวิ้นอ๋องที่ได้รับเขตแดนพระราชทานและส่วนมากจะมีกำลังทหารอยู่ในมือ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้