“ท่านพ่อ บ่ายนี้ข้าจะไปเชิญหัวหน้าตระกูลและผู้ใหญ่บ้านไปที่บ้านหลังเก่าเองขอรับ” อวิ๋นโส่วจงกล่าวเสริม เื่นี้ไม่มีทางให้เจรจากันอีกแล้ว
ภายใต้สายตาที่เ็าของคนในครอบครัวนี้ที่จ้องมองมา ผู้เฒ่าอวิ๋นรู้สึกสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง เขาเดินออกไปด้วยสีหน้าหม่นหมอง แผ่นหลังดูโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างยิ่ง
ฟางซื่อมองอวิ๋นฉี่เยว่ที่รีบร้อนกลับมาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยความสงสาร “ไปล้างหน้าล้างตาแล้วไปนอนพักที่ห้องของแม่เถิด”
เนื่องจากต้องดูแลอวิ๋นฉี่ซานที่กำลังาเ็ ห้องของพี่น้องสองคนจึงมีคนเดินเข้าออกเป็ประจำ ฟางซื่อกลัวว่าจะทำให้อวิ๋นฉี่เยว่นอนหลับไม่สนิทจึงให้เขาไปนอนที่ห้องของตน
อวิ๋นฉี่เยว่รับคำอย่างว่าง่าย “ขอรับ ข้าจะไปนอนที่ห้องท่านพ่อท่านแม่”
เขามีธุระต้องจัดการระหว่างทาง มิเช่นนั้นคงกลับมาเร็วกว่าอวิ๋นโส่วจงและคนอื่นๆ
ตอนเที่ยงขณะกินข้าว สองพี่น้องอวิ๋นเจียวกับอวิ๋นฉี่เยว่ยังไม่ตื่น ฟางซื่อสงสารลูกทั้งสองคนจึงไม่ได้ให้ใครไปปลุกพวกเขา เพียงแต่สั่งให้ชุนเหมยอุ่นอาหารไว้ให้เด็กทั้งสองคน
ตกบ่ายฉู่อี้ก็ส่งคนนำของบำรุงร่างกายมากองโต คนที่นำของขวัญมายังถามฟางซื่อถึงอาการของอวิ๋นฉี่ซานอย่างละเอียดก่อนจะจากไป
อวิ๋นเจียวเหนื่อยมากแต่นางยังคงเป็ห่วงอาการาเ็ของอวิ๋นฉี่ซาน นางหลับไปประมาณสามชั่วยามก็พลิกตัวลุกขึ้นจากเตียง
“คุณหนูตื่นแล้วหรือเ้าคะ?” โม่ซ่านที่เฝ้าอยู่ข้างๆ รีบลุกขึ้นปรนนิบัติ อวิ๋นเจียวโบกมือปฏิเสธ “ไปตักน้ำมาให้ข้าล้างหน้าบ้วนปากเถิด ข้าแต่งตัวเองได้ อ้อ ตอนนี้ยามใดแล้ว”
โม่ซ่านตอบ “ยามเว่ย [1] หกเค่อแล้วเ้าค่ะ”
ยังทันเวลา อวิ๋นเจียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก เดิมทีนางตั้งใจจะให้โม่ซ่านมาปลุกในยามเว่ย แต่ไม่นึกเลยว่านางจะเผลอหลับไปในอ่างอาบน้ำ ร่างกายของเด็กตัวเล็กๆ ทนความเหนื่อยไม่ไหวจริงๆ
อวิ๋นเจียวเลือกสวมใส่ชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน หวีผมอย่างลวกๆ แล้วมัดเป็มวยหลวมๆ ที่ท้ายทอย โม่ซ่านตักน้ำกลับมา อวิ๋นเจียวรีบล้างหน้าบ้วนปาก โดยไม่สนใจจะกินข้าวก่อนแล้วรีบตรงไปที่ห้องของอวิ๋นฉี่ซานทันที
ฟางซื่อเห็นนางเข้ามาจึงรีบลุกขึ้น “เจียวเอ๋อร์ เ้าตื่นแล้วรีบไปกินข้าวเถิด”
อวิ๋นเจียวโบกมือปฏิเสธ “ท่านแม่ ท่านออกไปเฝ้าประตูให้ข้าก่อนเถิดเ้าค่ะ ข้าจะสวดมนต์ภาวนาให้พี่รอง หากเลยเวลาแล้วจะไม่เป็ผล”
อามิตาพุทธ! ขอบคุณความงมงายในยุคต้าเยี่ยนี้จริงๆ มิเช่นนั้นนางคงหาทางอธิบายการกระทำของตนเองได้ยาก
ได้ยินดังนั้นฟางซื่อก็ไม่กล้าเสียเวลา แต่พอคิดว่าเมื่อคืนอวิ๋นเจียวนั่งสวดมนต์ภาวนาทั้งคืนจนไม่ได้นอนก็หยุดฝีเท้าลง “เจียวเอ๋อร์ เ้ากินข้าวก่อนจะดีกว่า”
อวิ๋นเจียวกล่าว “ท่านแม่ ครั้งนี้ใช้เวลาไม่นานเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ท่านออกไปเฝ้าประตูให้ข้าก่อน เดี๋ยวข้าตามไปเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินอวิ๋นเจียวบอกว่าใช้เวลาไม่นาน ฟางซื่อจึงไม่ขัดขืนอีก เดินออกไปเฝ้าประตูให้
“เจียวเอ๋อร์... ลำบากเ้าแล้ว!” อวิ๋นฉี่ซานรู้ดีว่าอวิ๋นเจียวอดหลับอดนอนทั้งคืนเพื่อดูแลอาการาเ็ของเขา เมื่อเห็นรอยคล้ำใต้ตาของอวิ๋นเจียว อวิ๋นฉี่ซานก็รู้สึกเ็ปใจยิ่งนัก
ั้แ่ฟื้นขึ้นมาเขาก็ไม่ได้หลับอีก เพียงแต่ตอนนี้เขายังคงอ่อนแอ พูดจาแ่เบาแทบไม่มีแรง
อวิ๋นเจียวรีบยื่นมือไปแตะหน้าผากของเขา โชคดีที่อุณหภูมิร่างกายเป็ปกติดี ไม่มีไข้ขึ้นอีก “พี่รอง กินข้าวเที่ยงหรือยังเ้าคะ”
มุมปากของอวิ๋นฉี่ซานยกขึ้นเล็กน้อยเผยรอยยิ้มอ่อนล้า “กินแล้ว ท่านแม่ต้มโจ๊กใส่เนื้อไก่ที่เลาะหนังออกแล้วให้ข้ากิน”
กินข้าวแล้วก็ดี
“พี่รองหลับตาลงก่อน อย่าแอบดูนะเ้าคะ หากแอบดูจะไม่เป็ผล”
อวิ๋นฉี่ซานหลับตาลงอย่างว่าง่าย อวิ๋นเจียวจึงเอ่ยต่อ “พี่รองระวังหน่อยเ้าค่ะ พลิกตัวตะแคงข้าง”
อวิ๋นเจียวหยิบผ้าปิดตาที่ซื้อจากเถาเป่ามาให้อวิ๋นฉี่ซานสวมไว้ ไม่ใช่นางไม่ไว้ใจอวิ๋นฉี่ซาน เพียงแต่เดี๋ยวนางต้องถอดกางเกงของเขาออก เกรงว่าอวิ๋นฉี่ซานจะใจนเผลอลืมตาขึ้นมา
หลังจากให้อวิ๋นฉี่ซานสวมผ้าปิดตาแล้ว นางก็หยิบอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับฉีดยาออกมาอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ถอดกางเกงของอวิ๋นฉี่ซานลงเล็กน้อย เผยให้เห็นสะโพกขาวเนียน
อวิ๋นฉี่ซานสะดุ้งใตามคาด ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย ถูกน้องสาวถอดกางเกงเช่นนี้ช่างน่าใยิ่งนัก “เจียวเอ๋อร์ เ้าทำอะไร?”
อวิ๋นเจียวตอบอย่างใจเย็น “วาดยันต์เ้าค่ะ!”
โอ้ย คำโกหกนี้นางยังไม่กล้าเชื่อตัวเองเลย
ทว่าเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองกำลังวาดยันต์จริงๆ ตอนที่อวิ๋นเจียวทาแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อให้อวิ๋นฉี่ซาน นางจึงใช้แหนบหนีบสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดถูไปมาบนบั้นท้ายของเขาอย่างไม่เป็ระเบียบ สุดท้ายก็เปลี่ยนสำลีก้อนใหม่มาเช็ดบริเวณที่ต้องฉีดยาซ้ำอีกครั้ง
“พี่รอง ตอนลงหมึกปิดท้ายจะเจ็บนิดหน่อย ต้องใช้เข็มเงินแทงเข้าไป ท่านอดทนหน่อยนะเ้าคะ”
“อืม… อ๊า!” อวิ๋นฉี่ซานเพิ่งจะเอ่ยรับคำ ทันใดนั้นก็รู้สึกเจ็บแปลบที่บั้นท้ายจนเผลอร้องออกมา ก่อนจะรีบกัดริมฝีปากแน่น
หลังจากฉีดยาเสร็จ อวิ๋นเจียวก็ทิ้งขยะทางการแพทย์ลงในถังรีไซเคิลขยะของเถาเป่า จากนั้นก็นำสิ่งของอื่นๆ เก็บเข้าไปในพื้นที่เก็บของของเถาเป่า แล้วจึงถอดผ้าปิดตาออกให้อวิ๋นฉี่ซาน
ใบหน้าของอวิ๋นฉี่ซานแดงก่ำไปจนถึงใบหู ไม่รู้ว่าเป็เพราะทนความเจ็บไม่ไหวจนเผลอร้องออกมา หรือเพราะถูกน้องสาวถอดกางเกงกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็เพราะสาเหตุใดก็ช่างน่าอับอายยิ่งนัก
อวิ๋นเจียวช่วยพลิกตัวเขากลับมาจัดท่านอนให้เรียบร้อยก็ได้ยินเสียงอ่อนแรงของอวิ๋นฉี่ซานเอ่ยห้าม “เจียวเอ๋อร์ ข้าไม่เป็ไรแล้ว ต่อไป... เ้าเป็เด็กผู้หญิง... อย่ามาถอดกางเกงของพี่รองแบบนี้อีก”
เฮ้อ... อวิ๋นฉี่ซานแทบอยากจะมุดดินหนี พูดประโยคนี้ไปเล่นเอาเขาหมดแรงไปทั้งตัว ฮือๆ โจ๊กที่กินเข้าไปเมื่อเที่ยงนั้นเหมือนจะเสียเปล่า ต้องกินเพิ่มอีกสองชามถึงจะพอ
“ไม่ได้หรอกเ้าค่ะ ยันต์นี้ต้องวาดติดต่อกันสามวัน วันละสองครั้ง รวมเป็หกครั้ง มิเช่นนั้นจะไม่เป็ผล”
าแของอวิ๋นฉี่ซานค่อนข้างใหญ่ ก่อนหน้านี้ก็ติดเชื้อรุนแรง หากหยุดฉีดยาลดการอักเสบตอนนี้ อวิ๋นเจียวกลัวว่าแผลจะอักเสบซ้ำอีก แล้วส่งผลเสียต่อการสมานแผล
อวิ๋นฉี่ซานทำหน้าขมขื่น พอเห็นเช่นนั้นอวิ๋นเจียวจึงยิ้มออกมา “ไม่ต้องกังวลไปเ้าค่ะพี่รอง ข้าจะไม่บอกเื่นี้กับใครเด็ดขาด เพียงแต่ท่านต้องให้ความร่วมมือกับข้าด้วยนะเ้าคะ มิเช่นนั้น หากหยุดกลางคันแม้แต่ครั้งเดียว ความพยายามก่อนหน้านี้ของข้าก็จะสูญเปล่า ต้องเริ่มต้นใหม่ั้แ่ต้น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอวิ๋นฉี่ซานก็ไม่กล้าปฏิเสธอีกต่อไป หากต้องเริ่มต้นใหม่ คงน่ากลัวพิลึก ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่อยากให้น้องสาวต้องเหนื่อยมากเช่นกัน
่จังหวะนั้น อวิ๋นเจียวก็เดินไปเปิดประตู “ท่านแม่ ข้าทำเสร็จแล้วเ้าค่ะ เห็นไหมว่าข้าไม่ได้หลอกท่าน”
ฟางซื่อที่เฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมา “อืม เ้าไม่ได้หลอกแม่ ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปกินข้าวเถิด”
ขณะนั้นอวิ๋นฉี่เยว่ก็ล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว “เจียวเอ๋อร์!”
“พี่ใหญ่!” อวิ๋นเจียวเห็นอวิ๋นฉี่เยว่ ดวงตาก็เป็ประกาย รีบพุ่งเข้าไปหาเขาราวกับนกน้อยโผเข้าสู่รัง นางคิดถึงอวิ๋นฉี่เยว่มาก คิดถึงมากจริงๆ
อวิ๋นฉี่เยว่ย่อตัวลงเล็กน้อย กางแขนออกรับนางไว้ จากนั้นก็อุ้มนางเดินไปที่ห้องโถง “พี่ใหญ่ก็คิดถึงเ้าเช่นกัน ซื้อของเล่นเล็กๆ น้อยๆ กลับมาฝากเ้าด้วย เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วค่อยเอามาให้เ้า”
อวิ๋นเจียวรีบพยักหน้า “เ้าค่ะ”
ฟางซื่อเดินเข้าไปดูอวิ๋นฉี่ซานในห้อง สั่งให้ชุนเหมยเฝ้าไว้ จากนั้นก็เดินไปที่ห้องโถง กินข้าวเป็เพื่อนลูกๆ พร้อมกับสอบถามเื่ราวในเมืองหลวงจากอวิ๋นฉี่เยว่
“...เสนาบดีโหลวถูกปะาชีวิต คนตระกูลโหลวถูกขายเป็ทาส ไม่อาจไถ่ตัวได้ ท่านอาจารย์ไปร่วมอำลาเสนาบดีโหลวก็ล้มป่วย จึงทำให้การเดินทางล่าช้าไปขอรับ”
อวิ๋นฉี่เยว่เล่าเื่คร่าวๆ โดยไม่ได้เอ่ยถึงเื่ที่เขาซื้อตัวญาติห่างๆ ของตระกูลโหลวไว้ เื่นี้เขาได้ปรึกษากับอาจารย์หม่าแล้ว ว่าจะไม่บอกให้บิดามารดาทราบ เกรงว่าพวกท่านจะเป็ห่วง
เชิงอรรถ
[1] ยามเว่ย (未时) เป็่เวลาประมาณ 13.00 - 14.59 น. ยามเว่ยหกเค่อ หมายถึงเวลาประมาณ บ่ายสองโมงครึ่ง