หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว หลี่ชิงหลิงขอให้หลี่ชิงเฟิงไปเอาน้ำมาล้างเืที่ลานสนามหญ้า ส่วนนางช่วยพยุงนางจ้าวเข้าไปในห้อง
“ท่านแม่ ไม่เป็ไรใช่ไหม” ใบหน้าของนางจ้าวซีด ชวนให้นางกังวล
นางจ้าวกุมหน้าอกส่ายหน้ากล่าว "ไม่เป็ไร แค่เจ็บใจแทนเ้า" เดิมทีชื่อเสียงก็ไม่ดีอยู่แล้ว แต่หลังจากครั้งนี้จะยิ่งแย่ลงไปอีก
หลี่ชิงหลิงเข้าใจว่านางจ้าวหมายถึงอะไร นางยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ช่วยนางจ้าวนอนลงและห่มผ้า "อย่าคิดมาก นอนให้สบาย หลังวันฝนตกท้องฟ้าจะสดใส"
ชื่อเสียงที่กินไม่ได้จะเอาไปทำอะไร? นางไม่สนใจเื่ไร้สาระพวกนั้น
นางจ้าวถอนหายใจอย่างหนัก พยักหน้าเงียบๆ หลับตาลงภายใต้การเฝ้ามองของหลี่ชิงหลิง
เมื่อเห็นว่านางหลับ หลี่ชิงหลิงก็หันหลังกลับและออกจากห้องไป ไปถึงประตูก็เห็นหลี่ชิงเฟิง และหลิวจือโม่กำลังเช็ดเืบนพื้น
ทันทีที่หลี่ชิงเฟิงเห็นพี่สาว เขาก็วิ่งไปหาพร้อมดวงตาเป็ประกาย มองด้วยความเคารพ "ท่านพี่สุดยอดมากเลย ไว้ข้าโตขึ้นจะต้องเก่งเหมือนพี่” แล้วคนอื่นจะรังแกเขาไม่ได้
"พี่ไม่เก่งพอหรอก ไว้เ้าโตขึ้นต้องเก่งกว่าข้าแน่” นางก็ทำเป็แค่ใช้กำลัง นางหวังว่าน้องชายจะใช้สมอง
หลี่ชิงเฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ในอนาคตเขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าพี่ แล้วเขาจะได้ปกป้องพี่และแม่
หลิวจือโม่เก็บถังในครัวเสร็จ เดินออกมาและบอกว่าขอตัวกลับก่อน พร้อมขอให้หลี่ชิงหลิงปิดประตูและหน้าต่างก่อนจะเข้านอน
เห็นหลิวจือโม่สงบนิ่ง หลี่ชิงหลิงก็ถามเขาด้วยความสงสัย ทำไมเขาถึงไม่กลัว?
เมื่อเห็นว่าคู่หมั้นแข็งแกร่งแบบนี้ เขาไม่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเขาเลยหรือ?
หลิวจือโม่ชำเลืองมองนางโดยไม่พูดอะไร ถามนางกลับว่าทำไมถึงต้องกลัว?
"เอ่อ…"
“เ้าจะทำกับข้าแบบนี้เหรอ” หลิวจือโม่ถามอีกครั้ง
หลี่ชิงหลิงส่ายหัว หลิวจือโม่ไม่ได้ทำอะไรผิด นางจะทำแบบนั้นได้ยังไง?
"ก็นั่นไงล่ะ"
หลี่ชิงหลิงหัวเราะเสียงแห้ง คิดมากไปเองจริงด้วย นางยืนพิงแผงประตูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามเขาอีกครั้ง “ท่านพี่คิดอย่างไรกับวิธีจัดการของข้า"
หลิวจือโม่พยักหน้าอย่างชื่นชม "จัดการได้ไม่เลว ที่ควรใช้ไม้แข็งก็ใช้ ที่ควรอ่อนก็อ่อนได้ดี” หยุดชะงักและกล่าวต่อ “คิดดีแล้วที่ให้หัวหน้าหมู่บ้านจัดการ ถ้ายืนยันจะส่งไปศาลาว่าการ ชาวบ้านจะคิดว่าเ้าโหดร้ายเกินไป ทุกคนจะห่างจากครอบครัวเ้า เป็ผลเสียมากกว่าได้"
นอกจากนี้เขายังคิดว่าหากหลี่ชิงหลิงยืนยันที่จะส่งไล่จื่อหลี่ไปศาลาว่าการ เขาจะช่วยเกลี้ยกล่อมให้นางละทิ้งความคิดนั้น
ไม่คิดเลยว่านางจะมองได้รอบด้านมาก เขาจึงไม่ได้เคลื่อนไหว
พวกเขาคิดเหมือนกัน หลี่ชิงหลิงหัวเราะ "ข้าก็คิดเื่นี้เหมือนกัน ข้าก็เลยปล่อยไล่จื่อหลี่ไปง่ายๆ” นางทำถึงเช่นนี้แล้ว หากไล่จื่อหลี่อยากแก้แค้นครอบครัวของนางอีกก็จะดูเหมือนว่าเขากำลังทรยศต่อน้ำใจนาง
เมื่อถึงตอนนั้น แม้นางจะไม่ส่งเสียง ชาวบ้านก็ไม่ยกโทษให้แน่
"งั้นข้าไปก่อน จือเยี่ยน จือโหรวยังอยู่ที่บ้าน" หลิวจือโม่ยกเท้าขึ้นและเดินไปที่ประตู "ลงกลอนประตูและหน้าต่างให้ดีๆ" เขาเดินออกไป หันกลับมากำชับอีกครั้ง
"อืม..." หลี่ชิงหลิงเดินไปที่ประตูลานบ้าน เห็นหลิวจือโม่เข้าไปในบ้านของเขา จึงจะปิดประตูและจูงหลี่ชิงเฟิงเข้าไปในบ้าน
วันรุ่งขึ้นหลี่ชิงหลิงก็ได้รู้เกี่ยวกับการลงโทษของไล่จื่อหลี่ หัวหน้าหมู่บ้านบอกให้เขารักษาาแให้หายดี จากนั้นไปคุกเข่าที่ศาลบรรพบุรุษเป็เวลาสามวัน ต้องครบวันจึงจะออกมาได้ หากจับได้ว่าลักเล็กขโมยน้อยอีก เขาจะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านตลอดไป
การลงโทษแบบนี้หนักพอ นางได้แต่หวังว่าเขาจะได้เรียนรู้จากบทเรียนนี้และเริ่มต้นชีวิตใหม่
แม้ว่านางหวงจะรู้สึกเสียใจกับลูกชาย แต่นางก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงร้องไห้และทายาให้เขา
นอกจากนี้นางยังต้องเชื่อฟังหัวหน้าหมู่บ้านและส่งลูกธนูมาที่บ้านของหลี่ชิงหลิงด้วยตนเอง พร้อมกับตะกร้าไข่ นับว่าเป็การขอโทษ
หลี่ชิงหลิงไม่ได้ทำให้นางหวงลำบาก ยอมรับคำขอโทษของนางอย่างใจเย็น เสียแต่เมื่อมองดูกำแพงลานบ้านที่ไม่สูงนักแถมยังทรุดโทรมก็รู้สึกว่าอันตรายขึ้นมา
น่าเสียดายที่ตอนนี้เด็กสาวไม่มีเงิน และไม่สามารถสร้างบ้านใหม่ได้ ดังนั้นนางจึงต้องทำลูกศรไม้ไผ่ที่แหลมคมจำนวนมากมาเสียบติดบนผนัง
ลูกธนูไม้ไผ่เหล่านี้ล่าเหยื่อได้ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคน ใครก็ตามที่ไม่กลัวความตายสามารถะโเข้ามาได้เลย
อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยของครอบครัว นางได้ขนย้ายหินจำนวนมากกลับมาจากด้านนอก ใช้หินสร้างวงกลมเพื่อป้องกันลูกธนูไม้ไผ่ที่แหลมคม
ระหว่างขนย้ายหินกลับบ้าน ผู้คนในหมู่บ้านถามไถ่ด้วยความสงสัย นางใช้โอกาสนี้บอกชาวบ้านว่านางได้ตั้งลูกศรไม้ไผ่จำนวนมากไว้ที่ลานบ้าน ขอให้ทุกคนบอกลูกๆ ว่าอย่าปีนกำแพงบ้านของนาง หากได้รับาเ็อย่ามากล่าวโทษนาง
เมื่อชาวบ้านได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็อ้าปากค้างและรีบกลับบ้านทันที ทุกคนกำชับลูกๆ ซ้ำๆ ว่าอย่าซนไปปีนป่ายลานบ้านครอบครัวหลี่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะตายได้
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่น่าสังเวชของไล่จื่อหลี่ บวกกับถูกพ่อแม่ขู่เช่นนี้ เด็กๆ ในหมู่บ้านจึงเชื่อฟัง และไม่กล้าไปท้าทายบ้านตระกูลหลี่
ด้วยเช่นนี้ ผู้คนในหมู่บ้านจึงได้เห็นนิสัยของหลี่ชิงหลิง แม้แต่ผู้หญิงในหมู่บ้านที่ปากไม่ดีนักก็ไม่ค่อยกล้าซุบซิบถึงนางจ้าวแล้ว
มีแค่แอบนินทาว่าหลี่ชิงหลิงดุร้ายแค่ไหนเป็ครั้งคราว
การซุบซิบนินทาเหล่านี้ไม่ได้สร้างความเ็ปหรือสร้างความรำคาญใจให้กับหลี่ชิงหลิง นางไม่สนใจเลย
ตอนนี้นางว่างแล้ว นางจะช่วยนางจ้าวถักตาข่าย หรือไปบ้านตระกูลโม่เพื่อเรียนรู้ตัวอักษรจากเขา
ในยุคปัจจุบัน นางเป็นักเรียนที่มีความสามารถ แต่น่าเสียดายที่อยู่ที่นี่แล้ว นางเป็คนที่ไม่รู้หนังสือ นางไม่รู้จักตัวอักษรแบบดั้งเดิมเ่าั้มากนัก ต้องเรียนใหม่ทั้งหมด
แต่นางเป็ผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นนางจึงเรียนรู้ได้ค่อนข้างเร็ว เรียนแค่ครั้งเดียวก็จำได้ ซึ่งนั่นกระตุ้นหลี่ชิงเฟิงและหลิวจือเยี่ยน ทำให้ทั้งสองตั้งใจเรียน กลัวว่าจะทิ้งห่างจากหลี่ชิงหลิงมากเกินไป ชวนให้ขายหน้า
หลิวจือโม่มักถอนหายใจ หากหลี่ชิงหลิงเป็ผู้ชาย อนาคตของนางคงมีค่าระดับวัดไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่ชิงหลิงทำได้เพียงแตะจมูกด้วยความรู้สึกผิดและหัวเราะแห้งๆ ไม่กล้าบอกว่าเพราะิญญาของนางเป็ผู้ใหญ่ เพราะหากทำเช่นนั้น นางจะถูกเผาเหมือนสัตว์ประหลาดอย่างแน่นอน
"พี่จือโม่ อีกสองวันไปูเาซงกัน!" หลี่ชิงหลิงสะบัดมือ มองตัวอักษรตัวใหญ่ที่นางเขียนแล้วขมวดคิ้ว หันไปมองของหลิวจือโม่แล้วรู้สึกของตัวเองเหมือนสุนัขกำลังคลาน น่าเกลียดมาก
พู่กันนี้อ่อนมาก เขียนยากจริงๆ นางคิดถึงปากกาสมัยใหม่ เขียนได้ดีกว่าเยอะ!
หลิวจือโม่วางพู่กันและตอบอืม เขาคืนเงินที่ครอบครัวติดค้างแล้ว ตอนนี้ยากจนไม่มีเงินแม้แต่นิด ดังนั้นไม่ออกไปล่าสัตว์คงเป็ไปไม่ได้! นอกจากนี้เขายัง้าหาเงินเพื่อส่งจือเยี่ยนไปเรียนด้วย และเขาเห็นว่าหลี่ชิงหลิงก็มีความตั้งใจอยากส่งหลี่ชิงเฟิงไปเรียน ถึงตอนนั้น จือเยี่ยนก็จะได้มีชิงเฟิงเป็เพื่อน
“บอกท่านป้าหรือยัง” เขาเองจำได้ว่าป้าต่อต้าน และถ้าพ่อแม่ของเขายังอยู่ พวกท่านก็คงไม่ตกลงให้เขาไปล่าสัตว์ เพราะการล่าสัตว์นั้นอันตรายมาก คนเป็พ่อแม่จะต้องเป็กังวลแน่
หลี่ชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ และส่ายหัว "ข้ายังไม่ได้บอกเลย หลังจากคราวก่อน ท่านแม่น่าจะไม่คัดค้านแล้ว” ที่จริงนางเองก็ไม่มั่นใจนัก กลัวนางจ้าวจะห้ามไม่ให้ไปขึ้นมาอีก
ถ้านางต้องเกลี้ยกล่อมนางจ้าวทุกครั้งที่ไป นางคงเหนื่อยใจจนหมดแรง
เห็นหลี่ชิงหลิงดูไม่แน่ใจ หลิวจือโม่เม้มปากและยิ้ม เอื้อมมือไปลูบหัว บอกนางว่าไม่ต้องกังวล ถ้าป้าไม่เห็นด้วย เขาจะช่วยเกลี้ยกล่อมเอง
เสียแต่ครั้งนี้เขาจะต้องเตรียมพร้อมไม่ล้มป่วยอีก พอนึกถึงตอนที่เขาเป็ไข้ครั้งที่แล้วหน้าก็แดงขึ้นมา
โชคดีที่หลี่ชิงหลิงกำลังดูงานเขียนของเขา ไม่ทันได้สังเกต มิฉะนั้นคงต้องโดนแกล้งอีกแน่
นิสัยที่แท้จริงของนางถูกเปิดเผยต่อหน้าเขา แท้จริงแล้วนางเป็เด็กที่ซุกซนมาก
"งั้นขอบคุณนะ!" หลี่ชิงหลิงรู้สึกสบายใจขึ้น หากมีความช่วยเหลือจากหลิวจือโม่ แม่ของนางก็คงไม่คัดค้าน
ในใจแม่ของนาง หลิวจือโม่คือตัวแทนของความสุขุมรอบคอบ หนึ่งประโยคจากเขามีผลมากกว่าสิบประโยคจากนาง
หลิวจือโม่กระแอมในลำคอและพูดว่าไม่ต้องเกรงใจ เมื่อความร้อนบนใบหน้าของเขาหายไป เขาก็เอนตัวไปเพื่อดูงานเขียนของหลี่ชิงหลิง
นางฉลาด แต่ตัวอักษรนี้ เขา...
หลี่ชิงเฟิงและหลิวจือเยี่ยนซึ่งกำลังเขียนอย่างจริงจังที่ด้านข้าง มองหน้ากันและขยิบตา พวกเขามีความสุขที่ได้เห็นพี่ชายและพี่สาวมารวมตัวกัน
ตอนเย็นหลังจากหลี่ชิงหลิงทานอาหารเสร็จ นางบอกกับนางจ้าวว่าอีกสองวันนางจะไปูเาซงอีกครั้ง
นางจ้าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากผ่านมาหลายครั้ง นางได้เรียนรู้ถึงนิสัยของลูกสาวแล้ว ไม่ว่าจะพูดมากแค่ไหนก็ไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้ ดังนั้นคงได้แต่ปล่อยไป!
หากจะโกรธลูกสาวทุกครั้งเพราะเื่นี้ ก็รังแต่จะทำให้ลูกสาวเสียใจเปล่าๆ อย่าห้ามเลยจะดีกว่า
เมื่อเห็นนางจ้าวพยักหน้า ในที่สุดหลี่ชิงหลิงก็คลายความกังวลใจ นางคิดว่าจะต้องเกลี้ยกล่อม แต่โชคดีที่ไม่จำเป็ต้องทำถึงขนาดนั้น
"เ้านี่นะ!" นางจ้าวจิ้มหน้าผากลูกสาวอย่างช่วยไม่ได้ "แม่จะไม่ห้ามเ้าแล้ว แต่ต้องจำไว้ว่าแม่กำลังรออยู่ที่บ้าน ต้องกลับมาอย่างปลอดภัย เข้าใจไหม" นางกลัวว่าลูกสาวจะโลภ ออกล่าเหยื่อตัวใหญ่โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย จึงต้องเตือนทุกครั้งจึงจะสบายใจ
หลี่ชิงหลิงที่ตาแดงเล็กน้อยกอดแขนนางจ้าว พิงศีรษะบนไหล่นางและพยักหน้า "ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน"
นางจะไม่เกิดอุบัติเหตุเพื่อครอบครัวนี้! หากมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง ครอบครัวนี้ก็จะไม่เป็ครอบครัวอีก นางจำสิ่งนี้ได้เสมอ ไม่กล้าลืมเลย
นางจ้าวถอนหายใจพลางลูบหัวหลี่ชิงหลิง ลูกสาวของนางเติบโตขึ้น และสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ในชั่วพริบตา
ถ้าไม่ใช่เพราะนางไร้ประโยชน์ในฐานะแม่ ลูกสาวก็คงไม่ต้องแบกรับภาระมากมายั้แ่อายุยังน้อย เป็นางเองที่ดูแลลูกไม่ดีพอ
