ต้อนหมูไม่ใช่งานสบาย ทันทีที่หมูออกจากคอก ด้วยความกลัวหรือความอยากรู้อยากเห็นที่เกิดขึ้น ทำให้พวกมันอาละวาดอยู่ตลอดเวลา และไม่เชื่อฟังคำสั่งใดๆ
แม้เมื่อก่อนหูฉางหลินจะเคยต้อนหมูมาสองสามรอบ แต่อย่างไรเสียก็ไม่ได้ชำนาญมากนัก กระทั่งสามคนต้อนหมูมาถึงบ้านเจินจู ทั้งหมดล้วนเหน็ดเหนื่อยกันเสียจนเหงื่อเต็มศีรษะ
“เ้าหมูนี่ไม่เชื่อฟังเกินไปแล้ว แรงก็เยอะ ดึงฉุดจนแขนเจ็บไปหมดเลย” หูฉางหลินสะบัดแขน ถลึงตาใส่หมูอย่างดุร้ายอยู่สองสามที
“ฮ่าๆ ท่านพ่อ หมูมิใช่คนนะขอรับ จะเชื่อฟังท่านได้ที่ไหนกัน” ผิงซุ่นตามมาตลอดทางด้วยความสนุกสนาน มองบิดาของเขาที่ดูไม่สดชื่นนัก ก็สนุกสนานเสียจนหัวเราะเอวงอ
“โห เ้าเด็กนี่ ไม่ช่วยก็แล้วไป ยังจะยินดีปรีดาบนความทุกข์ผู้อื่นอีก เ้าคันผิว [1] แล้วใช่หรือไม่!” ผิงซุ่นทำท่าทางหน้าทะเล้น หูฉางหลินมองจนสีหน้าครึ้มลง
“เปล่า เปล่านะขอรับ ไม่ใช่ว่าข้าก็ช่วยไล่ต้อนหรือ…” พอผิงซุ่นเห็นสีหน้านั้น ก็รีบหยุดยิ้มทันที แล้วโบกมืออธิบาย
“พอแล้ว อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กเลย เร่งรีบเถิด วันนี้ต้องทำการหมักเนื้อไว้ พรุ่งนี้ถึงจะกรอกกุนเชียงได้ งานนี้ไม่อาจยืดเวลาออกไปได้” หวังซื่อโบกมือ ให้ผิงซุ่นไปอยู่ห่างๆ
วิธีการเชือดหมูค่อนข้างจะโหดร้ายทารุณ หวังซื่อให้หลี่ซื่อพาเด็กๆ หลบเข้าไปในบ้าน แต่เด็กชายที่อยากรู้อยากเห็นไหนเลยจะเชื่อฟัง หลบในบ้านดีๆ ล้วนพากันยื่นศีรษะออกมาแอบมองอยู่หลังประตู
แม้แต่หลัวจิ่งที่ใจเย็นมาตลอดก็ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา ลูกตาดำมืดสนิทมีความแปลกใหม่อยู่หลายส่วน เขาก็ไม่เคยเห็นวิธีการเชือดหมูมาก่อนเช่นกัน
หวังซื่อไม่สนใจพวกเขาอีก อยากจะดูก็ดูแล้วกัน ครอบครัวชนบทล้วนเคยชินกับการเชือดหมูฉลองปีใหม่ ทุกปีเด็กที่ล้อมชมก็ไม่น้อย
หูฉางหลินกำลังลับมีดเชือดหมูของชายชราหู หลายปีแล้วที่ไม่ได้ติดตามไปเชือดหมู ในใจเขาตึงเครียดอยู่หลายส่วน อาศัย่เวลาตอนลับมีดพยายามย้อนนึกถึงรายละเอียดการเชือดหมู
แม้เจินจูจะไม่เคยเห็นเหตุการณ์นองเืของการเชือดหมูด้วยตาตัวเองมาก่อน แต่เคยเห็นในโทรทัศน์อยู่สองสามครั้ง นางจึงไม่สนใจมากนัก จึงพาเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวหวงเข้าไปในห้องด้านหลังแล้วปิดประตู อีกเดี๋ยวจะได้ไม่ถูกเสียงร้องแหลมของหมูทำให้ใ
หลังจากนั้นนางยกหนึ่งกะละมังเล็กที่เตรียมไว้มาเริ่มขูดลอกทำความสะอาดไส้เล็ก อีกสักครู่หลังเชือดหมูเสร็จต้องใช้ เพราะเืหมูสดๆ เหมาะกับการทำไส้อั่วเืที่สุด
เสี่ยวหวงที่อยู่ด้านข้างวนรอบนางและเอาแต่กระดิกหาง แม้เสี่ยวหวงจะเป็สมาชิกใหม่ของครอบครัวหู กลับไม่กลัวคนแปลกหน้าเลยสักนิด โดยเฉพาะหลังจากทำความคุ้นเคยกับเสี่ยวเฮยแล้ว หนึ่งสีเหลืองหนึ่งสีดำล้วนเล่นด้วยกันได้ เจินจูเติมน้ำแร่จิติญญาลงไปในอาหารให้มันเป็บางครั้ง รูปร่างของเสี่ยวหวงดูเหมือนจะยิ่งกลมกลิ้งดั่งลูกทรงกลมขึ้นเรื่อยๆ ก่อให้เกิดเป็ความน่ารักน่าชัง ทำให้คนเห็นแล้วอดคิดจะหยอกเล่นสักรอบไม่ได้
ในลานบ้าน หูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยกำลังเตรียมการเชือดหมู หวังซื่อใส่น้ำต้มเล็กน้อย เกลือ และแป้งหมี่ลงในกะละมังที่รองรับเืหมู เืหมูที่ได้มาเช่นนี้จะสะอาดและแข็งตัวได้เร็ว นำไปทำไส้อั่วเืจะมีรสชาติที่ค่อนข้างอร่อยมากนัก ชุ่ยจูที่รีบเร่งตามมาทีหลังก็เข้าไปต้มน้ำอยู่ในครัว เตรียมใช้ลวกขนหมู
เสียงกรีดร้องแทบขาดใจดังขึ้นอยู่พักหนึ่ง เหล่าเด็กชายที่ยื่นศีรษะออกมาดูหน้าประตูล้วนตื่นเต้นจนเดินเข้าไปข้างหน้าใกล้ขึ้น หลัวจิ่งพยายามไม่ยกมือขึ้นปิดหู เสียงร้องแหลมทำให้เครื่องหน้าอันหล่อเหลาของเขาล้วนย่นจนกลิ้งมากองรวมกัน
แม้ในใจเจินจูที่อยู่ในห้องจะเตรียมตัวไว้แล้วแต่ก็ยังใ เสี่ยวหวงวิ่งพุ่งไปเห่าใส่เสียงที่อยู่ข้างนอก “บ๊อก บ๊อก”
โชคดีนัก ที่ไม่นานเสียงร้องโหยหวนก็หยุดลง...
เจินจูยกกะละมังออกจากห้อง เห็นทุกคนในลานบ้านกำลังยุ่งกับการจัดการหมูทั้งตัวอย่างหนัก หวังซื่อยกเืหมูที่เต็มกะละมังมาคนอยู่ด้านข้าง พี่น้องหูฉางหลินและหูฉางกุ้ยก็ยุ่งกับการลวกขนหมูด้วยน้ำเดือด
คนหนึ่งกลุ่มยุ่งกันมากกว่าครึ่งค่อนชั่วยามจึงชำแหละหมูทั้งตัวเสร็จ
“เฮอ” หูฉางหลินถอนหายใจ “ฝีมือตกเกินไปแล้ว เมื่อก่อนท่านพ่อใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็สามารถทำทุกขั้นตอนเสร็จหมดได้”
“แหะๆ ท่านลุง ฝึกมากสองสามครั้งเข้า ท่านก็ตามท่านปู่ทันแล้วเ้าค่ะ” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว ในมือเริ่มขนย้ายเนื้อหมูไปห้องโถงโดยไม่หยุดพัก เตรียมหั่นเนื้อทำการหมัก
“เป็เช่นนั้น อีกเดี๋ยวเชือดหมูอีกหนึ่งตัว ต้องเร็วกว่าตัวนี้แน่นอน” ร่างกายหูฉางหลินยืดตรง กล่าวอย่างอาจหาญ
“ท่านพ่อขอรับ กระเพาะปัสสาวะหมูอันนั้นให้ข้าเล่นได้หรือไม่?” เด็กสองคนผิงซุ่นกับผิงอัน จ้องมองไปที่กระเพาะปัสสาวะหมูที่หูฉางหลินทิ้งไว้ฝั่งหนึ่งอยู่ด้านข้างนานแล้ว เหล่าเด็กๆ ในชนบทมีของเล่นฟุ่มเฟือยน้อยนัก ใช้ขี้เถ้าฟางชำระล้างกระเพาะปัสสาวะหมูให้สะอาด แล้วเป่าจนกลมกลายเป็ลูกหนังขนาดพอดี ทั้งเอามาใช้เตะได้ ใช้ตีได้ พวกเด็กๆ หนึ่งกลุ่มล้วนเล่นกันอย่างสนุกสนานดีใจมากนัก
“ไม่ได้ พวกเ้าไปชำระล้างไส้เล็กให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงมาช่วยหั่นเนื้อให้เสร็จอีก วันนี้ครอบครัวเราต้องหมักเนื้อทั้งหมดสองตัว กระเพาะปัสสาวะหมูนี่ข้าจะเก็บไว้ให้พวกเ้า รอให้ทำงานเสร็จแล้วค่อยมาเอาไป” หูฉางหลินสกัดแววตาเฝ้ารอของผิงซุ่นกับผิงอัน “พวกเ้าสองคนอย่ารีบเล่นก่อนเลย สองสามวันนี้ยังต้องเชือดหมูอีกหลายตัว รอให้ทำงานเสร็จก่อน สิ่งเหล่านี้ล้วนให้พวกเ้า”
“ทราบแล้วขอรับ ท่านลุง พวกข้าจะไปทำงานตอนนี้เลย” ผิงอันหัวเราะแล้วกล่าว ดึงผิงซุ่นที่ยังคงอาลัยอาวรณ์อยู่เล็กน้อยมา “พี่ชาย ไป พวกเราทำงานให้เสร็จก่อน”
“โอ้ ก็ได้” แม้ผิงซุ่นจะบ่นเล็กน้อย แต่ก็ยังไปช่วยทำงานอย่างเชื่อฟัง
รอจนเชือดและทำความสะอาดหมูทั้งสองตัวหมดแล้ว จึงตัดส่วนเนื้อสามชั้นเก็บไว้ทำการหมักเนื้อตากแห้ง ส่วนเนื้อล้วนไม่ติดมันที่เหลืออยู่ก็หั่นเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั้งหมด คนทั้งครอบครัวนั่งอยู่รอบโต๊ะอาหารในห้องโถงเริ่มทำการหั่นเนื้อ ภายในเวลาสั้นๆ เสียงมีดในห้องขึ้นลงก็ดัง “ฉึกๆ”
หั่นเนื้อให้เป็ชิ้นเล็กๆ ไม่ใช่งานฝีมืออะไร แต่หลัวจิ่งกลับหั่นได้ลำบากนิดหน่อย มือข้างหนึ่งหยิบเนื้อมันเกลี้ยงเกลา อีกข้างถือมีดทำกับข้าว หั่นได้ช้าและขนาดไม่สม่ำเสมอ
“นั่นน่ะ ยู่เซิง หรือว่าเ้าไปขูดลอกไส้เล็กดีกว่า หากไม่ระวังหั่นมือเข้าจะแย่เอาได้” หูฉางหลินมองหลัวจิ่งด้วยใบหน้าเป็กังวล กลัวว่าพอเขาไม่ระวังให้ดีจะหั่นเข้าที่มือตัวเอง นั่นเป็มือของปัญญาชนที่จับพู่กันเขียนตัวอักษรเชียวนะ
“ไม่หรอก ท่านอาฉางหลิน ข้าจะระวัง” หลัวจิ่งส่ายหน้า หยุดการกระทำในมือลง สังเกตท่าทางหั่นเนื้อของเจินจูอย่างละเอียด ผ่านไปสักพักมีดบนมือจึงขยับขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ความเร็วการหั่นเนื้อยังคงช้าอยู่ แต่ขนาดของชิ้นเนื้อค่อยๆ เท่ากันแล้ว การกระทำในมือก็ค่อยๆ เร็วขึ้นด้วย
เจินจูอมยิ้มในแววตา มองดูการเปลี่ยนแปลงของหลัวจิ่ง เด็กชายผู้นี้ดูแล้วเป็คนหัวแข็ง ยังดีที่สามารถศึกษาพลิกแพลงได้ ไม่ใช่นิสัยดื้อรั้นหัวแข็งจนถึงที่สุดเช่นนั้น อย่างน้อยยังรู้จักปล่อยวางท่วงท่าคล้อยตามการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมโดยรอบ ความสามารถในการปรับตัวจึงค่อนข้างยอดเยี่ยม
หวังซื่อกับชุ่ยจูอยู่ข้างห้องครัว จัดการกระดูกกับเครื่องในที่เหลืออยู่ ่ฤดูหนาวพอดี กระดูกกับไขมันหมูสามารถวางแช่แข็งไว้ในอุโมงค์ห้องใต้ดินก่อนได้ ส่วนเครื่องในหมูกับเืหมูกลับไม่เหมาะที่จะเก็บไว้นาน เลยนำเืหมูมาทำเป็ไส้อั่วเืเพราะเป็ความเคยชินของคนในท้องถิ่นที่เชือดหมูฉลองปีใหม่ แม้ตอนนี้จะยังห่างจากปีใหม่อีกมาก แต่ในเมื่อครอบครัวตนเองเชือดหมูแล้ว จึงเป็ธรรมดาที่จะทำไส้อั่วเืที่เรียบเนียนอ่อนนุ่มขึ้นมาได้ก่อน ตอนเย็นใช้ตุ๋นเข้ากับผักดอง ทั้งอร่อยทั้งชุ่มคอ
การพร้อมใจร่วมกันทำงานของคนทั้งครอบครัว ในที่สุดก็รีบเร่งหั่นเนื้อจนเสร็จแล้วทำการหมักขึ้นมาก่อนอาหารมื้อเย็น เนื้อที่หั่นแล้วกองอยู่ด้วยกันสองสามกะละมังใหญ่ มีอยู่บนโต๊ะอาหารด้านข้างที่ทำการหมักเรียบร้อยแล้ว หัวหมูสองหัวใหญ่ ขาหมูขาวอ้วนแปดข้าง เนื้อสามชั้นหั่นอย่างประณีตยี่สิบกว่าเส้น
มองดูผลงานที่ยุ่งอยู่ครึ่งค่อนวัน แม้ทุกคนล้วนเหนื่อยอย่างมาก แต่ก็มีความสุขและพึงพอใจนัก
เวลาอาหารมื้อเย็น บนโต๊ะอาหารสองฝั่งของครอบครัวสกุลหู ล้วนเป็เครื่องในหมูมื้อใหญ่ อันได้แก่ กระเพาะหมูน้ำแดง ลิ้นหมูเผ็ดหอม หัวใจหมูผัดพริกหยวก ไส้หมูผัดพริก เซี่ยงจี๊ผัด ไส้อั่วเืผักดอง ตับหมูทอดและน้ำแกงหัวไชเท้าปอดหมู ล้วนเป็ปริมาณเต็มจานใหญ่เลยทีเดียว ทุกคนต่างหิวกันจนทานคำใหญ่เต็มที่ตามใจชอบ สุดท้ายยังเหลืออยู่มากกว่าครึ่ง เก็บไว้ทานต่อวันพรุ่งนี้ได้
ไม่กี่วันต่อมา เพื่อใบสั่งสินค้าหนึ่งพันแปดร้อยชั่ง ครอบครัวสกุลหูหนึ่งกลุ่มทั้งหมดล้วนเร่งทำงานอย่างสุดกำลัง
ทุกวัน่บ่ายจะเชือดหมูสองตัว หลังจากนั้นก็หั่นเนื้อทำการหมักให้เรียบร้อย พอรุ่งเช้าอีกวันจึงทำการกรอกกุนเชียงขึ้นผึ่งแดด แล้วก็หมุนเวียนเชือดหมูหั่นเนื้ออีกครั้งเป็เช่นนี้มาตลอด หลังจากยุ่งอยู่เกือบสิบวัน จึงเชือดหมูไปสิบกว่าตัว อาหารหมักทั้งหมดจึงทำการตากแห้งเสร็จสิ้น แน่นอนว่าในระหว่างนี้มีชิ้นส่วนที่เหลือเกินมาไม่น้อย เช่น หัวหมูตากแห้งสิบกว่าหัว ขาหมูตากแห้งห้าสิบหกสิบกว่าขาและยังมีกระดูกหมู หนังหมู และไขมันหมูอยู่อีกหนึ่งกอง
สำหรับเครื่องในหมูเหล่านี้ หลังจากครอบครัวสกุลหูทานติดต่อกันอยู่สามวัน ทุกคนล้วนดูเอียนรสอาหารเล็กน้อย แม้แต่ผิงซุ่นที่ชอบทานเนื้อมาโดยตลอด พอเห็นว่าเครื่องในหมูมีอยู่เต็มโต๊ะก็ไม่เบิกบานลิงโลดอีก ยิ่งไม่ต้องบรรยายถึงตัวเจินจูเลย...
เพื่อจัดการเครื่องในเหล่านี้ให้ดี เจินจูเริ่มคิดค้นวิธีสุดกำลังสมอง ไม่ง่ายเลยที่จะคิดเอาเครื่องปรุงวัตถุดิบในการทำพะโล้ออกมาได้ วิธีนี้สามารถเก็บรักษาไว้ด้วยอุณหภูมิต่ำเป็ระยะเวลานาน่หนึ่งได้เลย เช่นนี้หลังเชือดหมูทุกวันก็ไม่ต้องรีบทานเครื่องในให้หมดในวันสองวันแล้ว
แต่น้ำพะโล้ทำอย่างไรเล่า เจินจูไม่มีความทรงจำเลย เมื่อก่อนมารดาคนเก่าของนางเคยทำพะโล้เป็อาหารว่างจำพวกเท้าไก่เท้าเป็ด แต่น้ำพะโล้ล้วนเป็การซื้อแบบสำเร็จรูป นางรู้คร่าวๆ ว่าใช้กระดูกทำการเคี่ยวน้ำแกง แล้วค่อยเติมห่อเครื่องเทศลงไปเคี่ยวช้าๆ ส่วนขั้นตอนและเวลาในการทำอย่างละเอียด นางไม่รู้แจ่มชัดมากนัก
แน่นอนว่าจริงๆ วัตถุดิบพวกเครื่องเทศพื้นฐานเหมือนกันกับการทำช่วนช่วนเซียงนี้ แต่ปริมาณเครื่องเทศแต่ละอย่างควรจะต้องมากกว่าเล็กน้อย ไม่มีวิธีอื่นแล้ว... มองที่เครื่องในหมูที่อยู่เต็มกะละมัง เททิ้งทั้งหมดก็คงไม่ได้ เจินจูทำได้เพียงกัดฟันยอมทำขึ้นมา
โชคดีนักที่มีประสบการณ์การเตรียมวัตถุดิบเครื่องเทศพื้นฐานของช่วนช่วนเซียงก่อนหน้านี้ รวมกับประสบการณ์บนเตาที่มากมายของหวังซื่อ ทดลองคลำทางทำเครื่องในพะโล้ออกมา นึกไม่ถึงเลยว่ารสชาติจะไม่เลว ทั้งหอมทั้งเข้ารส พะโล้นี่พอทำออกมาก็ทำให้ทุกคนล้วนเบิกบานกันอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรทุกคนก็ทานเครื่องในมื้อใหญ่ติดต่อกันได้ไม่กี่วัน หลังจากนั้นล้วนเกิดหวาดกลัวเล็กน้อย
เครื่องในหมูไม่กี่ชุดที่เหลือ หวังซื่อล้วนลวกพวกมันผ่านน้ำหลังจากนั้นใช้น้ำพะโล้ที่ยังเหลืออยู่ตุ๋นให้เรียบร้อยแล้วจึงวางเก็บไว้ ทุกวันหยิบเพียงอย่างหรือสองอย่างมานึ่งหรือผัด เครื่องในที่ผ่านการพะโล้จะมีเอกลักษณ์พิเศษบางอย่าง และได้รับความชื่นชอบจากทุกคนมาก
โดยเฉพาะหูฉางหลินกับหูฉางกุ้ย หลังทานรสพะโล้บ้านตนเองไป เอาแต่ชมไม่ขาดปาก กล่าวออกมาตรงๆ ว่า ครั้งก่อนตอนไปทำงานรับจ้างชั่วคราวที่เมืองชิงเฉวียนบ้านสกุลเหอ เมื่อถึงเวลาเติมกับข้าว บางครั้งพวกเขาก็เคยชิมเนื้อพะโล้ของบ้านสกุลเหอมาสองสามครั้ง สองอย่างนี้เปรียบเทียบกันแล้ว รสชาติพะโล้ของบ้านตนเองอร่อยกว่าเล็กน้อย
และเพื่อให้น้ำพะโล้สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานขึ้นและอร่อยมากขึ้น เจินจูจึงเติมน้ำแร่จิติญญาลงไปจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นให้หวังซื่อเอาหางหมูและหูหมูทั้งหมดมาพะโล้แล้วเก็บไว้
หาทางออกปัญหาของเครื่องในหมูแล้ว เนื้อตากแห้งและกุนเชียงก็ทำการหมักทั้งหมดเรียบร้อย ความรู้สึกของคนหนึ่งครอบครัวได้ผ่อนคลายลง เชือดหมูหั่นเนื้อทั้งวัน ทั่วทั้งลานบ้านล้วนมีแต่กลิ่นคาวเืจางๆ ลอยอยู่หนึ่งสาย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงกลิ่นเนื้อหมูที่เต็มมือหลังจากหั่นเนื้อแล้วเลย เฮ้อ การค้าขายดีเกินไป ก็ทำให้คนกลุ้มใจนัก!
แน่นอนนี่เป็เพียงความคิดเห็นของเจินจูคนเดียว ทุกคนในครอบครัวสกุลหูล้วนร่าเริงเบิกบาน อย่างไรเสียหนึ่งรายการที่ทำนี้ หาเงินได้ไม่ใช่จำนวนน้อยเลย
เชิงอรรถ
[1] คันผิว มักจะถูกใช้ว่ากล่าวเด็กๆ หรืออาจใช้หยอกล้อกัน ความหมายของผิวคันคือ ผิวตึง ต้องยืด (ผิว) สักทีหนึ่งถึงจะผ่อนคลาย เช่น การดึงแก้ม เป็การแสดงถึงว่าเด็กคนนั้นดื้อจนหมดความอดทนอดกลั้น เลยเตรียมลงมือจะตีหรือฟาดเด็กคนนั้น