การซุ่มโจมตีครั้งนี้ย่อมไม่รวบรัดเรียบง่ายเฉกเช่นการลงมือของสองเ้าสำนัก ในเมื่อเป็ผู้ที่อยู่เื้ัเหตุการณ์เลวร้ายทั้งหลาย ย่อมเป็คนมีหัวคิด จัดเจนการวางแผน
ไท้หยูยังไม่แน่ใจว่าบุรุษชุดแพรไหมเป็ผู้ใด แต่หลังจากปะทะฝีมือกันหลายกระบวนท่าก็สามารถมั่นใจได้ว่าคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ฝีมือยังเด่นล้ำกว่าเขาขั้นหนึ่ง
แน่นอนว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าสองเ้าสำนัก พิรุณพายุและเมฆัรวมกัน เป็ผู้ฝึกพยุหะแน่นอนว่ามีความเกี่ยวโยงกับราชวงศ์ มิทราบว่าเขาเป็ผู้ใดกันแน่
ประกายสามสายหวังปลิดชีพโบ๋เวินให้สำเร็จในคราเดียว การโจมตีทั้งสามล้วนลงมือเป็มั่นเหมาะ มาตรว่าโดนโบ๋เวินสังหารให้ตายยังยินดียกชีวิตให้การลงมือครั้งนี้ เพื่อให้มีคนประสบโอกาสสามารถสังหารผู้เหยียบเมฆผู้นี้ให้ได้
โบ๋เวินมีระดับฝีมือใกล้เคียงกับรุ่ยซวน สำหรับยอดฝีมือระดับเดียวกันห้ำหั่นปะาชีวิต โอกาสเพียงเสี้ยววิชั่วอึดใจเดียวนับว่าสามารถตัดสินผลแพ้ชนะ
อย่างเช่นในตอนนี้ โบ๋เวินสู้กับรุ่ยซวน มีความได้เปรียบอยู่ส่วนหนึ่ง ทว่าเมื่อมีคนสอดมือเข้ามาใน่คับขัน ตาชั่งก็เปลี่ยนทิศไปอีกด้านแล้ว
อีกทั้งยามนี้โบ๋เวินยังพลาดท่า ถูกลมปราณพิสดารนั้นจู่โจมใส่จนชีพจรในร่างปั่นป่วน ยังไม่มีเวลาโคจรพลังจำกัดพิษก็มีคนหันกระบี่จู่โจมเข้ามา
ในห้วงคับขันโบ๋เวินที่หน้าเขียวคล้ำจนเปลี่ยนเป็ม่วงแค่นเสียงเ็า กวาดมองผู้ที่จู่โจมสังหารเข้ามา ล้วนเป็ผู้ฝึกตนระดับรวมกาย
“คิดว่าข้าโบ๋เวินมีเพียงวิชาบังคับเมฆเท่านั้นหรือ”
เมฆดำที่เขาทิ้งไว้ก่อนหน้านี้พลันสั่นะเื บังเกิดเสียงครืนครั่น จากนั้นบังเกิดประกายแลบในชั่วพริบตา สายฟ้ามากมายพลันแตกกระจาย ในโรงเตี้ยมบังเกิดเมฆฝนบ้าคลั่ง สายวิชชุแลบลั่น ผ่าเปรี้ยงลงมาราวกับอสรพิษเงินมากมาย
สายฟ้านี้โจมตีโดยไม่สนใจสิ่งใด บดทำลายทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมี แม้แต่ไท้หยูก็ถูกสายฟ้าผ่าใส่จนอาภรณ์ไหม้ไปบางส่วน เหล่าผู้เข้าร่วมการต่อสู้หวังจะชิงโอกาสให้รุ่ยซวนสังหารคนกลับประสบผลล้มเหลว
ผลลัพธ์คือกลายเป็นกย่างไหม้เกรียมไปในพริบตา โบ๋เวินเสื้อคลุมฟ้าเปลี่ยนเป็ดำ ทั้งร่างส่งกลิ่นไหม้รุนแรงออกมา วิชานี้หากมิใช่คับขันจวนเจียนเขาจะไม่ใช้ออกเด็ดขาด เพราะการโจมตีวงกว้างนี้ทำร้ายแม้กระทั่งผู้ใช้
วิชาเอกของสำนักเมฆัคือหยิบยื่นเลียนแบบวิชาของฟ้า เมฆไม่เพียงสามารถเหยียบขี่ ทว่ามีความสามารถดั่งเมฆที่จริงแท้ เมฆจริงมีฝน เมฆัก็มีฝน เมฆดำมีสายฟ้า เมฆัก็สามารถปล่อยสายฟ้า น่าเสียดายที่การต่อสู้ครั้งนี้จำกัดอยู่ในโรงเตี้ยม มิใช่บนยอดเขา หากต่อสู้กันปลายฤดู ที่มักมีฝนตกจะยิ่งทำให้เขาได้เปรียบแล้ว
รุ่ยซวนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง แขนทั้งสองข้างห้อยลง ทั้งร่างส่งกลิ่นไหม้รุนแรง ใบหน้าเปลี่ยนเป็ซีดเผือดราวกระดาษ แขนเขาาเ็สาหัส เป็าแเหวอะหวะราวกับถูกราชสีห์ขย้ำ เศษผ้าสีดำขยับเขยื้อนกำลังม้วนพันแขนทั้งสองข้างห้ามเืไม่ให้ไหลมากเกินไป
โบ๋เวินโคจรพลังจำกัดพิษ ยามนี้ทั้งสองอยู่ใน่คับขัน ไม่มีผู้ใดกล้าขยับเขยื้อน เปลี่ยนเป็คุมเชิงซึ่งกันและกัน
โรงเตี้ยมพังไปครึ่งแถบ ด้านนอกเริ่มมีชาวบ้านมามุงดู แต่เพราะรู้สึกถึงอันตราย จึงยืนชมอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้มากนัก
ไท้หยูพอเห็นบุรุษชุดแพรไหมเปลี่ยนพัดเป็สีขาวพลันรู้สึกถึงอันตรายมากมายถาโถม เมื่อหิมะหายไปเขารู้สึกว่าอากาศในโรงเตี้ยมเปลี่ยนเป็หนืดข้น ทุกสิ่งรอบด้านคล้ายอยู่ในบึงโคลน แม้แต่ตนเองก็ขยับเขยื้อนช้าลงส่วนหนึ่ง
บุรุษชุดแพรไหมยิ้ม สองตาเ็าั์ตาดำลุ่มลึกราวมหรรณพปรากฏอักขระไหลหลั่งออกมา
ผู้ฝึกพยุหะเชี่ยวชาญการใช้สิ่งแวดล้อมสังหารคน ในระดับแรกรับแสงปราณ ไม่มีความสามารถใด เพียงสามารถรับรู้เสียงของสรรพสิ่งที่อยู่รอบด้าน ได้ยินและสื่อสารกับสิ่งแวดล้อม
เมื่อเลื่อนสู่ระดับหลอมจิต จะสามารถดึงพลังหนึ่งส่วนจากสิ่งแวดล้อม อย่างเช่นต้นไม้ พวกเขาสามารถดึงพลังจากต้นไม้ใช้สอดส่องสิ่งรอบด้าน คล้ายส่งจิตเข้าไปในต้นไม้มองสังเกตสิ่งรอบด้าน ผู้ฝึกพยุหะสามารถดึงพลังจากสิ่งต่าง ๆ ได้ ยกเว้นสิ่งมีชีวิต
เมื่อถึงระดับรวมกาย จะสามารถเปลี่ยนสรรพสิ่งเป็อักขระ อักขระหนึ่งตัวมีพลังแฝงของสิ่งที่เลียนแบบมาจากสิ่งนั้น อย่างเช่นเมื่อครู่ มีหิมะตก นั้นเป็อักขระที่เลียนแบบจากหิมะ
เมื่อหิมะตกใส่ยังบาดิั เป็อักขระสองชั้นที่เลียนแบบความแหลมคมกับหิมะเข้าด้วยกัน แต่ในระดับรวมกายยังไม่สามารถปลดปล่อยอักขระตามใจชอบเช่นนี้ ที่ทำได้มากสุดคือการวางอักขระด้วยตนเอง เป็เสมือนการวางกับดัก ขีดพยุหะเอาไว้
ความสามารถระดับที่บุรุษชุดแพรไหมใช้ออกเป็ความสามารถของระดับจิตไร้ขอบ สามารถปลดปล่อยอักขระโดยไม่ต้องวางไว้ สามารถเลียนแบบพลัง จนใช้สร้างจากสิ่งที่ไม่มี ปลดปล่อยหิมะให้ตก แน่นอนว่าความสามารถที่เหนือชั้นของบุรุษชุดแพรไหม มีส่วนช่วยสำคัญมาจากพัดัในมือของเขา
พัดัเล่มนี้เป็พัดที่บรรจุอักขระเลียนแบบไว้มากมาย แน่นอนว่าด้วยระดับของบุรุษชุดแพรไหม ย่อมไม่มีทางจดจำและเลียนแบบอักขระมากมายระดับนี้ ทั้งยังใช้ออกโดยไม่กลัวเปลืองพลังปราณ ทั้งหมดส่วนใหญ่เป็พลังจากพัดัที่ไม่ทราบที่มาเล่มนี้
ผู้ฝึกพยุหะไม่มีความจำเป็ต้องใช้อาวุธ เอ่ยถึงด้านพลังรบโดยตรงพวกเขาอาจอ่อนด้อย ทว่าสิ่งที่พวกเขาเชี่ยวชาญคือการวางกับดักหรือการแปลงเลียนแบบ ในการต่อสู้ ผู้ที่สู้ด้วยยากที่สุดคือผู้ฝึกพยุหะ เพราะการต่อสู้ของพวกเขาพิสดารและพลิกแพลงได้มากยิ่ง
อักขระไหลออก เศษซากไม้ที่แตกกระจายพลันถูกอักขระห้อมล้อมจากนั้นลอยขึ้น อักขระเปล่งแสงเจิดจ้า เศษไม้ทั้งหมดลอยขึ้นกลายเป็กระบี่ั์เล่มหนึ่งยาวสามจั้ง ไท้หยูอยู่ห่างจากบุรุษชุดแพรไหมไม่มาก เมื่อกระบี่เศษไม้ปรากฏขึ้นก็แทบจะจ่ออยู่ตรงหน้าเขา ปลายกระบี่ห่างเพียงไม่หนึ่งจั้ง
ด้านกำลังรบ บุรุษชุดแพรไหมผู้นี้หนึ่งคนยังแข็งแกร่งกว่าสองเ้าสำนักพิรุณพายุและเมฆัรวมกันเสียอีก
ดาบของไท้หยูใช้ไม่ได้ มีเพียงโล่ที่สามารถป้องกันได้ ทว่าภายใต้กระบี่ั์ที่แฝงพลังมหาศาล แม้นว่ารวมโล่และร่างเหล็กดาราเขายังไม่มั่นใจว่าสามารถป้องกันได้ กระบี่นี้อาจไม่ทำให้เขาตายทว่าสามารถทำให้เขาาเ็สาหัสได้อย่างแน่นอน
เมื่อเขาาเ็สาหัส บุรุษชุดแพรไหมที่สร้างการโจมตีได้ไม่จำกัดผู้นี้ คงสามารถปลิดชีพเขาได้ในไม่กี่กระบวนท่า ห้วงคับขันไท้หยูกำลังครุ่นคิด เวลาคล้ายเชื่องช้าลง สมองแล่นอย่างรวดเร็ว คำนวณหาวิธีร้อยพันเพื่อเอาชนะ
ยามนั้นกระถางทองเหลืองพลันลอยออกมา สิ่งที่แย่งชิงจากเ้าสำนักเมฆั
บุรุษชุดแพรไหมขมวดคิ้วคล้ายเอะใจ แน่นอนว่าเขาย่อมคุ้นเคยกับกระถางทองเหลืองนี้ ทว่ายังเขามองไม่ออกว่าไท้หยูนำของสิ่งนี้ออกมาทำไม ระหว่างกระบี่ั์กำลังก่อตัว บุรุษชุดแพรไหมจึงเอ่ยขึ้นว่า
“วิธีนี้ของเ้าใช้ไม่ได้ผล แม้นว่ากลืนัจะมีความสามารถดึงิญญาได้ทุกสิ่ง แต่ความสามารถนี้ของกลืนัมาจากสายพยุหะ แน่นอนว่าข้าย่อมมีวิธีป้องกันไม่ให้ิญญาของตนเองหลุดออกจากร่าง”
แม้นปากกล่าวเช่นนี้ทว่าในใจกลับคาดหวัง เขากำลังคาดหวังให้ไท้หยูสร้างปรากฏการณ์แปลกประหลาดออกมา เขายังคิดชมดูว่าจะเกิดเหตุเช่นตอนสองเ้าสำนักหรือไม่
หลังจากเห็นเหตุการณ์นั้นเขาอกสั่นขวัญแขวนอยู่ไม่น้อย หลังจากกลับไปรายงานให้เ้านายฟังแล้ว เหล่าระดับสูงต่างลงความเห็นว่านั้นไม่ใช่พลังของเขา คาดว่าเป็พลังจากของวิเศษหรือวิธีการบางอย่าง ยิ่งไม่สามารถใช้ได้ตามใจนึก เพราะเป็ไปไม่ได้ที่จะมีพลังเช่นนั้นอยู่ในโลก
เขายังได้รับคำสั่งมา หากเป็ไปได้ต้อนให้เขาจนมุมและใช้ของวิเศษชิ้นนั้น เมื่อใดที่เขาใช้ของวิเศษจะมีคนจัดการกับเขา แย่งชิงของชิ้นนั้นมา การที่กล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ พวกเขาย่อมมั่นใจว่ามีคนที่มีความสามารถจะสังหารเขาได้
กระถางกลืนัตอนนี้ไร้ซึ่งิญญาอาวุธ กลายเป็กระถางเปล่าที่มีความสามารถดึงิญญาที่ด้อยลง ทว่าจุดประสงค์ของเขามิใช่ดึงิญญาของบุรุษชุดแพรไหม ทว่าเป็ิญญาของอักขระ
อักขระเลียนแบบสิ่งของ ย่อมมีพลังิญญา เมื่อปากกระถางจ่อใส่กระบี่ั์ อักขระพลันหม่นแสงลง บุรุษชุดแพรไหมรับรู้ถึงความผิดปกติ ทราบแผนการของไท้หยู จึงไม่รอรวบรวมพลัง ปลดปล่อยกระบี่ั์ออก
กระบี่ั์แทงใส่ ไท้หยูถือโล่ต้านทาน กระบี่ั์ยาวสามจั้ง ตัวเขากลายเป็กระจ้อยร่อยกว่ายิ่ง เมื่อกระบี่ปะทะกับโล่สีดำ ตัวกระบี่สั่นะเืจากนั้นแตกออกกลายเป็กระบี่เล็กนับร้อยนับพัน พุ่งฉวัดเฉวียนแทงใส่สี่ด้านของไท้หยู คิดจะแทงเขาให้พรุนในคราเดียว
ไท้หยูกรอกลมปราณมหาศาลใส่ โล่ดำะเิพลังออกเป็วงอากาศบังเกิดกระดองเต่าที่สมบูรณ์ครอบใส่ไท้หยู ผุยผงจากไม้มากมายปลิวเวียนว่อน รอบด้านไท้หยูบังเกิดเปลวไฟลุกโชน
กระบี่มากมายถี่ยิบยิ่งกว่าห่าฝน โล่สีดำต้านรับ ถูกกระบี่มากมายแทงใส่จนร้อนลวก สองแขนของไท้หยูสั่นสะท้าน กระดูกแขนแหลกเป็หลายชิ้น ฝ่ามือง่ามมือฉีกขาดโลหิตไหลริน
ขณะต้านทาน บุรุษชุดแพรไหมพลันหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา กระดาษสีเหลืองเขียนอักษรชาด แฝงกลิ่นอายฆ่าฟันเข้มข้นมหาศาล กระดาษเขียนคำว่า “ดับสูญ”
ยันต์ใบนี้จึงเป็อาวุธสังหารที่แท้จริงของบุรุษชุดแพรไหม
ยันต์ที่เขียนโดยผู้ใช้ยันต์ระดับเทพปรากฏ เป็หนึ่งในยันต์สายโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว ยันต์สีดำถูกเผาไหม้ อากาศพลันหยุดนิ่ง ปกคลุมด้วยกลิ่นอายของความตาย
โต๊ะ เก้าอี้ที่ยังสมบูรณ์ดีพลันสลายเป็ผุยผง จากผุยผงสลายกลายเป็ไม่มี เสา ขื่อคาน ผนัง หลังคาสลาย ทุกสิ่งทุกอย่างสลายเป็ผุยผงจากผุยผงหดหายเป็ความไร้ กระบี่มากมายแตกะเิออก สภาวะทำลายะเิใส่ร่างของไท้หยูจนอาภรณ์ฉีกขาด ทั้งร่างชุ่มโชกด้วยเื โรงเตี้ยมสองชั้นพังทลายกลายเป็ที่โล่งว่าง
ยามนั้นการสูญสลายมาถึงเบื้องหน้า วงอากาศที่ก่อตัวเป็กระดองเต่าสูญสลาย โล่สีดำของไท้หยูเปลี่ยนเป็ซีดเซียว ไท้หยูรับรู้ถึงอันตรายพลันพุ่งถอยไปด้านหลัง
บุรุษชุดแพรไหมโบกพัดที่กลับเป็สีเหลือง ที่ด้านหลังไท้หยูบังเกิดอักขระมากมายก่อเป็กำแพงกั้น ไม่ให้เขาพุ่งถอยกลับไป
ยามนี้เขารู้ขีดจำกัดของตนเองแล้ว เขาสู้ผู้อื่นไม่ได้
คราก่อนเพราะได้ชมการต่อสู้สุดระทึกของสองเฒ่าทำให้เขากระหยิ่มย่องใจ ทั้งเพราะอยู่ในเทือกเขาหยกที่มีมหาพยุหะค่อยช่วยเหลือ ทำให้เขาเผลอไป
ความสามารถของเขามิได้เก่งกาจดั่งที่คาดคิดไว้ เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าระดับจิตไร้ขอบซึ่งตนเองเคยไปถึง เขากลับสู้อีกฝ่ายไม่ได้