“รออีกสองวัน กระทั่งร่างกายของท่านดีขึ้น มิสู้ไปเรียนในสำนักศึกษาเถิด?” อวี๋เจียววางแท่นทับกระดาษลงบนกระดาษพลางผินหน้าไปเอ่ยถาม
อวี๋ฉี่เจ๋อปรายตาขึ้นมองนาง ยกยิ้มบางเอ่ยว่า “เื่การศึกษา ข้ารู้ประมาณตนเองอยู่แก่ใจ เ้าไม่ต้องเป็กังวล”
อวี๋เจียวเห็นว่าวันทั้งวันมือของเขาไม่ห่างตำรา อีกทั้งยังขยันหมั่นเพียรยิ่งนัก ไม่จำเป็ต้องให้ผู้ใดคอยควบคุมยามศึกษาเล่าเรียน นางจึงพยักหน้ารับ
อวี๋ฉี่เจ๋อเลิกชายแขนเสื้อขึ้น จรดพู่กันเขียนอักษรสี่คำด้วยลายมือเมฆเหินลำน้ำไหล--- ความตั้งใจชนะ์
ลายเส้นทรงพลังต่างจากรูปแบบในแบบคัดอักษรของอวี๋เจียวอยู่บ้าง ลายเส้นตรงหน้าไร้ซึ่งความประณีตเรียบร้อย ทั้งยังแฝงไปด้วยความคล่องแคล่วดุดัน อาจเป็เพราะสภาพจิตใจต่างออกไปจากเมื่อก่อน มีความดื้อรั้นและบ้าบิ่นเช่นเด็กหนุ่มเสริมเข้ามา
อวี๋เจียวชำเลืองมองคำว่าความตั้งใจชนะ์อย่างเหม่อลอย นางกลับรู้สึกว่าท่ามกลางความไม่แน่นอนล้วนแต่ถูกโชคชะตาลิขิตไว้ มนุษย์พยายามสุดความสามารถ จะสำเร็จหรือไม่ ล้วนเป็ไปตามลิขิต์
หางตาชำเลืองไปเห็นชายแขนเสื้อที่ชำรุดจนหลุดลุ่ยของอวี๋ฉี่เจ๋อ อวี๋เจียวกวาดมองอาภรณ์สีฟ้าอมเขียวตัวเก่าที่ถูกซักจนเริ่มซีดขาว นางลอบคิดว่าควรให้ท่านอาซ่งไปซื้อผ้าจำนวนหนึ่งมาตัดชุดใหม่ให้อวี๋ฉี่เจ๋อได้แล้ว
อวี๋หรูไห่ไม่อาจเอาเงินไปจากมือของอวี๋เจียว แต่ก็ไม่อาจหักใจทำให้อวี๋จิ่นเหยียนกับอวี๋จิ่นซูต้องลำบากเช่นกัน จึงสั่งให้สตรีแซ่อวี๋โจวนำผ้าแพรที่สกุลมู่ส่งมาก่อนหน้านี้ออกมาตัดชุดใหม่ให้พวกเขาสองคน ยามเข้าสอบขุนนางระดับเซียงซื่อ [1] จะได้สวมใส่อย่างมีหน้ามีตาสักหน่อย
แต่อวี๋จือโจวที่เข้าไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอเช่นกัน อวี๋หรูไห่กลับไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
สตรีแซ่อวี๋โจวหมายปองผ้าทั้งสองผืนนี้ั้แ่ต้น ครั้นเห็นอวี๋หรูไห่ปริปาก นางจึงรีบนำผ้าทั้งสองผืนส่งไปให้สตรีแซ่จ้าวของครอบครัวสาม บอกให้ตัดชุดใหม่สองชุดให้ทันก่อนการสอบขุนนางระดับเซียงซื่อในเดือนแปดจะมาถึง
ถึงแม้สตรีแซ่จ้าวจะมีนิสัยเกียจคร้าน แต่เมื่อเป็เื่ของบุตรชายทั้งสอง นางกลับไม่เคยเกียจคร้านมาก่อน อีกทั้งยังเห็นว่าสตรีแซ่อวี๋โจวเอาผ้าแพรมาให้ นางพลันยกยิ้มกว้างจนมองไม่เห็นดวงตา เอ่ยกับสตรีแซ่อวี๋โจวพลางลูบไล้ผ้าแพรว่า “ท่านแม่ พู่กันของจิ่นเหยียนจิ่นซูชำรุดหมดแล้วเ้าค่ะ เ้าเด็กทั้งสองคนรู้ความจึงไม่กล้ามาบอกต่อหน้าท่าน แต่อีกไม่นานก็จะถึงวันสอบขุนนางระดับเซียงซื่อแล้ว พู่กันดีจึงจะเขียนอักษรได้งดงาม ท่านยังพอมีเงินอีกหรือไม่ จะได้ให้พวกเขาสองคนเปลี่ยนพู่กันสักหน่อยเ้าค่ะ”
ตลอดทั้งปีนี้สตรีแซ่อวี๋โจวคอยเก็บสะสมเงินส่วนตัวมาโดยตลอด นางช่วยเหลือครอบครัวสามอยู่ไม่น้อย ถึงแม้จะไม่มีผู้ใดมาให้อวี๋หรูไห่รักษาโรคอีกต่อไป ทว่าเมื่ออวี๋เจียวรักษาโรคก็ยังได้เงินค่ารักษาจากนางห้าส่วน ครั้งก่อนเหอตงเซิงใจคอกว้างขวาง มอบเงินค่ารักษาเป็จำนวนหนึ่งร้อยตำลึง ทำให้อวี๋หรูไห่ได้ส่วนแบ่งมาถึงห้าสิบตำลึง ยามนี้นับได้ว่าในมือของสตรีแซ่อวี๋โจวพอจะมีเงินทองอยู่บ้าง เพียงแต่การส่งอวี๋จือโจวไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอจำเป็ต้องใช้เงิน อีกไม่กี่วันหลังจากนี้ยังต้องเชิญปัญญาชนเลื่องชื่อมาเขียนจดหมายแนะนำเพื่อเข้าสอบขุนนางระดับเซียงซื่อให้พวกจิ่นเหยียนทั้งสามคน ทำให้ยังจำเป็ต้องใช้เงินอีกจำนวนหนึ่ง
ดังนั้นทั้งนางและอวี๋หรูไห่ต่างเพ่งเล็งไปที่เงินในมือของอวี๋เจียว
ครั้นเห็นสีหน้าของสตรีแซ่อวี๋โจวไม่สู้ดีนัก สตรีแซ่จ้าวเอ่ยอย่างกระดากว่า “หากในมือของท่านแม่มีเงินไม่มากนัก เช่นนั้นก็ไม่เปลี่ยนพู่กันแล้วเ้าค่ะ”
สตรีแซ่อวี๋โจวสามารถหักใจจ่ายเงินเพื่อการเรียนของอวี๋จิ่นเหยียนกับอวี๋จิ่นซูโดยไม่นึกเสียดายมาแต่ไหนแต่ไร นางหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องฝั่งตะวันออกเพื่อเอาเงินส่วนตัวออกมา จากนั้นแอบยัดเศษเงินหนึ่งตำลึงใส่มือของสตรีแซ่จ้าว “เ้าเอาเงินจำนวนนี้ไปให้จิ่นเหยียนจิ่นซู ให้พวกเขาเปลี่ยนไปใช้พู่กันดีๆ ส่วนที่เหลือค่อยซื้อกระดาษกับหมึก”
สตรีแซ่จ้าวรีบรับเศษเงินก้อนนั้นมาแล้วยัดใส่ถุงเงินดอกบัวของตน เอ่ยอย่างเริงร่าพลางนวดแขนให้สตรีแซ่อวี๋โจว “ท่านแม่เอ็นดูเ้ารองกับเ้าสี่ หากวันหน้าเขาสอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉ ข้าจะให้พวกเขามาแสดงความกตัญญูต่อท่านเป็อย่างดีเ้าค่ะ”
ครั้นเอ่ยถึงอวี๋จิ่นเหยียนกับอวี๋จิ่นซู บนใบหน้าของสตรีแซ่อวี๋โจวเผยรอยยิ้มรักใคร่เอ็นดู “หวังเพียงว่าพวกเขาจะมีอนาคต ภายหน้าโดดเด่นกว่าผู้อื่น ได้ถอดอาภรณ์ทำจากผ้าป่าน มีตำแหน่งการงานเป็ขุนนาง สร้างชื่อเสียงเกียรติยศแก่บรรพบุรุษ”
“จิ่นซูเด็กคนนั้นข้าก็ไม่ค่อยมั่นใจนักเ้าค่ะ เพียงแต่จิ่นเหยียนเ้าเด็กคนนั้นระยะนี้ได้รับคำชมจากท่านอาจารย์กู้ในสำนักศึกษาระดับอำเภออยู่บ้าง บอกว่าบทความของเขาเขียนออกมาได้โดดเด่นทีเดียว อาจจะสอบติดเ้าค่ะ เพียงแต่จิ่นเหยียนยังเด็ก หากสอบติดก็ดียิ่งนัก แต่หากสอบไม่ติด สามปีให้หลังสอบอีกครั้งก็ยังมีสิทธิ์เ้าค่ะ” สตรีแซ่จ้าวเอ่ยพลางอมยิ้ม
สตรีแซ่อวี๋โจวถูกนางบีบนวดแขนจนรู้สึกผ่อนคลาย สีหน้าบนใบหน้าดูดีขึ้นหลายส่วน “จิ่นเหยียนเ้าเด็กคนนั้นฉลาดหลักแหลม ไม่จำเป็ต้องกำชับอะไรให้มาก กลับเป็จิ่นซูที่เ้าต้องใส่ใจให้มากสักหน่อย ฉวยโอกาสที่ระหว่างการสอบขุนนางระดับเซียงซื่อยังมาไม่ถึงไปหาท่านยายหวัง ดูสิว่ามีสกุลใดเหมาะสมหรือไม่ จะได้ตกลงเื่หมั้นหมายของเขา”
ภายในใจของสตรีแซ่จ้าวคิดวางแผนนี้เช่นกัน หากครั้งนี้อวี๋จิ่นซูสอบไม่ติด อายุเขาก็ไม่น้อยแล้ว อีกทั้งยังถูกถอนหมั้น ถึงแม้จะไม่ใช่ความผิดสกุลอวี๋ของพวกนาง แต่หากหารือเื่หมั้นหมายอีกครั้ง ผู้อื่นย่อมต้องใส่ใจเื่นี้อยู่บ้าง
“พรุ่งนี้ข้าจะเชิญท่านยายหวังมาดื่มน้ำชาที่จวนเ้าค่ะ” สตรีแซ่จ้าวกล่าว
สตรีแซ่อวี๋โจวพยักหน้า เอ่ยพลางขมวดคิ้วว่า “ข้าลองคำนวณโดยคร่าวแล้ว ในมือเมิ่งอวี๋เจียวน่าจะมีเงินอยู่หนึ่งร้อยแปดสิบตำลึง น่าเจ็บใจที่นางกำเอาไว้ในมือ ท่านพ่อของเ้าจะไปเอามาก็ทำไม่ได้”
ภายในใจของสตรีแซ่จ้าวนึกละโมบเงินของอวี๋เจียวไม่ต่างกัน นางลอบใคร่ครวญเพื่อคิดหาหนทางไม่น้อยครั้ง ครั้นได้ยินสตรีแซ่อวี๋โจวเอ่ยเช่นนี้ ดวงตาพลันกลอกกลิ้งไปมา แล้วออกความคิดเห็นว่า “ท่านแม่ ข้าหาข้ออ้างได้อย่างหนึ่งเ้าค่ะ”
สตรีแซ่อวี๋โจวมองไปทางนาง สตรีแซ่จ้าวเอ่ยเสียงเบาว่า “ปีนี้น้ำฝนมาก ผลผลิตในท้องนาจะต้องไม่ดีแน่นอน ข้ากับพี่สามคิดอยากจะเปิดร้านขายเนื้อ ทำการค้าจะได้หาเงินเพิ่มมากขึ้น หากจิ่นเหยียนสอบติด ภายหน้ายังต้องไปร่ำเรียนและใช้เงินกับการสอบอีกมากมายเ้าค่ะ ในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงของพวกเราล้วนแต่ไปซื้อเนื้อในตำบล ฮั่นซานลองคำนวณดูแล้ว กิจการนี้จะต้องสำเร็จแน่นอน อีกทั้งยังหาเงินได้ไม่น้อยทีเดียวเ้าค่ะ”
สตรีแซ่อวี๋โจวฟังความคิดเห็นเหล่านี้ของนาง คิดว่าหากเปิดร้านขายเนื้อยังสามารถรับจ้างฆ่าหมูให้ผู้อื่น ไม่ต้องเอาเงินไปใส่หีบเงินของพ่อค้า “เกรงว่านางคงจะไม่ยอมเอาเงินนี้ออกมา หากรู้แต่แรกว่านางมีความสามารถ ข้าคงทำดีกับนางั้แ่ต้น ฮั่นซานทุบตีนางอย่างหนักก่อนหน้านี้ นางจะไม่นึกแค้นได้อย่างไร? ยามนี้มีเพียงครอบครัวรองที่ได้รับผลประโยชน์จากนาง”
ดวงตาของสตรีแซ่จ้าวเป็ประกาย เอ่ยว่า “ข้าจะให้ฮั่นซานไปหาพี่รองเ้าค่ะ ให้โน้มน้าวพี่รองมาร่วมทำด้วยกัน เมื่อพี่รองเข้าร่วมด้วย นังเด็กคนนั้นจะต้องยอมเอาเงินออกมาแน่นอนเ้าค่ะ รอกระทั่งเงินถึงมือ พวกเราค่อยถีบหัวส่งพี่รองเ้าค่ะ”
ครั้นถึงคราวใช้แผนการกับครอบครัวรอง สตรีแซ่จ้าวไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย สตรีแซ่อวี๋โจวดูไม่ออกถึงความผิดปกติ กลับเอ่ยออกมาว่า “ความคิดนี้ไม่เลว ให้ฮั่นซานไปหลอกล่อเ้ารองสักหน่อย”
“ฝีปากของฮั่นซานใช้ได้ หากจะชักจูงพี่รองให้เข้าร่วมย่อมไม่เป็ปัญหาเ้าค่ะ” สตรีแซ่จ้าวยกยิ้มยินดี ค่อนข้างลำพองใจกับความคิดนี้ของตน
หลังจากสตรีแซ่อวี๋โจวกลับเข้าห้อง อวี๋ฮั่นซานฮัมเพลงพลางเดินซวนเซเข้ามาในจวน เมื่อสตรีแซ่จ้าวได้กลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่วร่างของเขาจึงเอ่ยพลางขมวดคิ้วว่า “เหตุใดจึงออกไปกินเหล้ากับผู้อื่นอีกแล้ว? ประเดี๋ยวจิ่นซูจิ่นเหยียนก็จะลงสอบขุนนางระดับเซียงซื่อแล้ว เ้าช่างไม่ใส่ใจสักนิด!”
อวี๋ฮั่นซานอารมณ์ดี ไม่คิดถือสาที่สตรีแซ่จ้าวโหวกเหวกโวยวาย พลันทิ้งกายลงนอนบนเตียงอย่างมีความสุข
เมื่อครู่หลังแยกย้ายจากวงเหล้า เขาฉวยโอกาสขณะสุราออกฤทธิ์เดินซวนเซไปยังท้ายหมู่บ้าน บังเอิญพบกับหลี่ซิ่วเอ๋อที่เดินมาตักน้ำเข้าพอดี
ขณะฟ้ามืดไร้ผู้คน เขาเดินเข้าไปช่วยหลี่ซิ่วเอ๋อยกน้ำสองถังไปส่งที่จวน มิหนำซ้ำยังฉวยโอกาสลูบมือของนาง ช่างอ่อนนุ่มเสียยิ่งกว่าอะไรดี หลี่ซิ่วเอ๋อใจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ท่าทางกระเง้ากระงอดด้วยความขัดเขินของนาง จนถึงยามนี้ก็ยังเวียนวนอยู่ในหัวของอวี๋ฮั่นซานเสียด้วยซ้ำ!
“เ้ายังมีเงินอยู่หรือไม่?” อวี๋ฮั่นซานใช้มือรองท้ายทอยแล้วเอ่ยถามสตรีแซ่จ้าว
สตรีแซ่จ้าวไม่คิดระแวงอวี๋ฮั่นซานแม้แต่น้อย อีกทั้งยังรู้ว่าเขาชอบออกไปดื่มสุรากับผู้อื่น บุรุษย่อมไม่อาจขาดแคลนเงินทอง นางปลดถุงเงินดอกบัวบนกายลงมาแล้วเทเศษก้อนเงินหนึ่งสลึงออกมา “เมื่อครู่ข้าเพิ่งขอมาจากท่านแม่ พู่กันของจิ่นเหยียนจิ่นซูจะต้องเปลี่ยนแล้ว เงินส่วนที่เหลือยังต้องซื้อกระดาษกับหมึก เ้าผู้เป็พ่อกลับไม่ร้อนใจสักนิด”
ครั้นได้ยินว่าเงินเหล่านี้เก็บไว้ให้อวี๋จิ่นซูกับอวี๋จิ่นเหยียนร่ำเรียน อวี๋ฮั่นซานจึงนึกวางใจ เขาคิดว่าทางฝั่งสตรีแซ่อวี๋โจวยังมีเงินเก็บส่วนตัว นึกอยากจะขอเงินจากนางอีกจำนวนหนึ่ง จะได้ซื้อปิ่นสักเล่มไปเกี้ยวพาหลี่ซิ่วเอ๋อ
“ท่านแม่บอกวันพรุ่งนี้ให้เชิญท่านยายหวังมาที่จวนเพื่อหารือเื่การหมั้นหมายให้จิ่นซู เ้าอย่าได้ออกไปกินเหล้ากับผู้อื่นอีก ตอนนี้ยังมีเื่ให้เ้าต้องทำ หากสำเร็จ ภายหน้าครอบครัวสามของพวกเราก็จะมีเงินส่วนตัวเช่นกัน ในมือจะมั่งคั่งไม่น้อย” สตรีแซ่จ้าวเก็บเศษก้อนเงินเข้าไปในถุงเงินดอกบัวอีกครั้ง จากนั้นเอ่ยเสียงเบากับอวี๋ฮั่นซาน
........
เชิงอรรถ
[1] การสอบขุนนางสมัยราชวงศ์ิและราชวงศ์ชิงจะแบ่งออกเป็ห้าระดับ ได้แก่
1. การสอบขุนนางขั้นต้นหรือระดับถงซื่อ (童试) จัดสอบเป็ประจำทุกปี รับสมัครผู้เข้าสอบั้แ่วัยรุ่นตอนต้น โดยเป็การสอบในระดับท้องถิ่น ผ่านการเข้าสอบ 县试、府试、院试 (เซี่ยนซื่อ ฝู่ซื่อและย่วนซื่อ) สามขั้นตอน
2. ระดับหย่วนซื่อ (院试) จัดสอบขึ้นในโรงเรียนตามจังหวัดและมลรัฐ เป็การสอบขุนนางระดับอำเภอ โดยแบ่งออกอีกสองระดับ คือ สุ้ยซื่อและเคอซื่อ โดยสุ้ยซื่อเป็การสอบเข้าของปัญญาชนซึ่งจัดขึ้นทุกปี ส่วนเคอซื่อเป็การสอบที่จัดขึ้นสำหรับปัญญาชนในโรงเรียน ผู้ที่มีผลสอบโดดเด่นจะเข้าสอบคัดเลือกระดับเซียงซื่อได้ทันที ผู้สอบผ่านเรียกว่า秀才ซิ่วไฉ
3. ระดับเซียงซื่อ (乡试) เป็การสอบขุนนางระดับภูมิภาค ณ เมืองหลวงของแต่ละมณฑล ทุกสามปีจะมีการจัดสอบหนึ่งครั้ง ผู้สอบผ่านเรียกว่า 举人 จวี่เหริน
4. ระดับฮุ่ยซื่อ (会试) จัดขึ้นในปีถัดมาหลังจากการสอบระดับเซียงซื่อ จะคัดเลือกปัญญาชนให้เหลือประมาณสองถึงสามร้อยคน เป็การสอบขุนนางระดับประเทศ ผู้สอบผ่านเรียกว่า 贡士 ก้งซื่อ
5. ระดับเตี้ยนซื่อ (殿试) เป็การสอบหน้าพระที่นั่ง โดยจัดการสอบในวังหลวง ส่วนใหญ่จะมีจักรพรรดิเป็ผู้คุมสอบ มีชื่อเรียกผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด อันดับสอง และอันดับสาม ได้แก่ จ้วงหยวน หรือ จอหงวน (状元) ,ปั๋งเหยี่ยน (榜眼) ,ทั่นฮวา (探花) ตามลำดับ ผู้สอบผ่านเรียกว่า 进士 จิ้นซื่อ
