“อ๊าก…!”
จากกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์จำนวนหลายสิบคน เวลานี้เกรงว่าคงจะเหลือเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น และทั้งสิบกว่าคนนั้นกำลังยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางหวาดกลัว พวกเขาตื่นใจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับ รอบกายของพวกเขารายล้อมไปด้วยร่างไร้ิญญาของคนที่เดินเข้ามาพร้อมกันกับพวกเขา แน่นอนว่าคงไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะมีใบมีดโผล่ออกมาจากพื้นแบบนี้
ด้านมู่เฟิง นอกจากตัวเขาแล้วยังมีกลุ่มคนอีกราวยี่สิบคนที่ยังอยู่ในตำแหน่งเดิมมาั้แ่ต้น ไม่ได้เดิมตามคนกลุ่มแรกไป และเมื่อเห็นภาพนี้พวกเขาก็รู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะ ตื่นใจนก้าวขาไม่ออก
“ให้ตายเถอะ นี่มันสถานที่บ้าอะไรกัน!”
ชายผู้มีหนวดเคราผู้หนึ่งตวาดออกมาเสียงดัง
“น่ากลัวเกินไปแล้ว วังโบราณจิ่วซานแห่งนี้ข้าไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาอีกแล้ว อ๊า...”
เมื่อเห็นภาพนี้ชายขวัญอ่อนผู้หนึ่งก็รู้สึกตื่นตระหนกจนแทบจะประคองสติเอาไว้ไม่ได้ ร่างของเขาทรุดลงบนพื้นด้วยความหวาดกลัว จากนั้นเขาก็หันหลังวิ่งกลับไปทางเดิม
“ทุกคนอย่าเพิ่งผลีผลาม นี่คือค่ายกลใบมีดสังหาร เป็ค่ายกลขั้นสอง!”
มู่เฟิงะโบอกกลุ่มคนจำนวนสิบคนที่ยังติดอยู่ในค่ายกลด้วยท่าทางเคร่งเครียด เพื่อไม่ให้มีคนถูกสังหารเพิ่ม
“สะ สหายน้อย เ้ารู้จักค่ายกลนี่หรือ ช่วยพวกเราด้วยนะ ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย”
ภายในอาณาเขตของค่ายกล ชายร่างใหญ่ในชุดคลุมสีดำกลืนน้ำลายลงคอและกล่าวขอร้องมู่เฟิง เขาเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระกับหนิงกังคนหนึ่ง เมื่อครู่สหายระดับหนิงกังของเขาถูกใบมีดแทงจนตายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเกราะพลังกังหยวนของพวกเขาไม่อาจต้านทานใบมีดของค่ายกลนี้ได้
“ช่วยพวกเราด้วย! ช่วยเราด้วย”
คนอื่นๆ ต่างรีบร้องขอความช่วยเหลือเช่นกัน
“น้องชาย เ้ารู้จักโครงสร้างของค่ายกลนี้หรือไม่ สามารถทำลายมันได้หรือไม่?”
ในบรรดากลุ่มคนเ่าั้มีบางคนกำลังจ้องมองมาทางมู่เฟิงอย่างมีความหวัง
“อย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าขอลองตรวจสอบค่ายกลนี้ดูก่อน”
มู่เฟิงพยักหน้า จากนั้นเขาก็พิจารณามองค่ายกลนั้นด้วยความระมัดระวัง
สำหรับค่ายกลขั้นสองเช่นนี้ หากว่าพึ่งพาซีเยว่ เขาย่อมสามารถทำลายมันได้ไม่ยาก เพียงแต่เขาไม่้ารบกวนซีเยว่ไปเสียทุกเื่
ถึงอย่างไรเส้นทางนี้เขาก็ต้องก้าวเดินมันด้วยตัวเอง คนอื่นสามารถช่วยเหลือได้เป็ครั้งคราวเท่านั้น ไม่สามารถคอยช่วยเหลือเขาไปได้ตลอด
เสี้ยววินาทีนั้นโถงทางเดินพลันเงียบสงัด ทุกคนต่างก็มุ่งความสนใจไปที่มู่เฟิง
มู่เฟิงสังเกตลายเส้นค่ายกลนั้นอย่างระมัดระวัง เพียงไม่นานเขาก็ค้นพบว่าค่ายกลนี้จะเริ่มทำงานก็ต่อเมื่อมีสิ่งใดไปกระตุ้นมัน ดังนั้นทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปเหยียบลายเส้นของค่ายกล มันก็จะทำงานในทันที
ซึ่งขอบเขตของค่ายกลนี้ก็ครอบคลุมไปถึงระยะไกล ดังนั้นต่อให้มีความสามารถในการเคลื่อนไหวที่ว่องไวมากเพียงใดก็ไม่อาจหนีรอดไปได้
หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง กลุ่มคนที่อยู่ภายในค่ายกลก็เริ่มหน้าซีด หยาดเหงื่อเริ่มไหลย้อยเต็มใบหน้า
มู่เฟิงพลันเงยหน้าขึ้นในที่สุด ก่อนจะกล่าวกับทุกคนว่า “ข้าค้นพบทางออกของค่ายกลนี้แล้ว เพียงแต่ข้ายังไม่แน่ใจมากนัก หากจะให้กล่าวแบบไม่น่าฟังเลยก็คือ ถ้าเกิดอะไรขึ้นข้าจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น”
กลุ่มคนภายในค่ายกลต่างหันไปมองหน้ากัน ทันใดนั้นชายร่างใหญ่ในชุดคลุมสีดำก็กล่าวขึ้นว่า “น้องชาย เ้ามีสิ่งใดมาพิสูจน์คำพูดของเ้า?”
“ข้าเป็นักสลักลายเส้นขั้นสอง”
ประกายแสงส่องสว่างขึ้นบนฝ่ามือของมู่เฟิงอย่างฉับพลัน ทันใดนั้นสัญลักษณ์ของนักสลักลายก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
“นักสลักลายเส้นขั้นสอง!”
เมื่อเห็นสัญลักษณ์ในมือของเด็กหนุ่ม ทุกคนต่างก็อุทานออกมาอย่างคาดไม่ถึง สายตาที่พวกเขาใช้มองมู่เฟิงดูมีความเคารพขึ้นมาทันที
“ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าสิ่งที่ข้าจะกล่าวต่อไปนี้จะถูกต้องทั้งหมดหรือไม่ แต่หากพวกท่านไม่ฟังคำข้า พวกท่านจะถูกกักขังอยู่ในค่ายกลนั่น หรือไม่ก็อาจจะเป็เหมือนกับพวกเขา”
มู่เฟิงเอ่ยอย่างราบเรียบ
เขาไม่ได้มีหน้าที่ต้องคอยช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ แต่ในเมื่อมันเป็สิ่งที่เขาพอจะช่วยเหลือได้ เขาย่อมไม่มีทางปฏิเสธในทันที แน่นอนว่าเขาก็จะไม่รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น ฉะนั้นเขาจึงต้องอธิบายกับคนเหล่านี้ใช้ชัดเจนเสียก่อน
“เอาละ ข้าเชื่อใจเ้า ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หากว่าเ้าสามารถช่วยพวกเราออกไปได้ ข้าหูเถี่ยหนิ่วย่อมต้องขอบใจสหายน้อยอย่างเ้า”
ชายร่างใหญ่ในชุดคลุมสีดำพยักหน้า
“เอาละ ทุกท่านอย่าเพิ่งขยับตัว จากนี้ฟังคำของข้าให้ดี เบื้องหน้าของพี่หูห่างออกมาสี่เมตรเป็ลายเส้นที่ไม่กระตุ้นการทำงานของค่ายกล ส่วนภายในรัศมีสามเมตรล้วนเป็ลายเส้นที่กระตุ้นการทำลายของค่ายกลทั้งสิ้น พวกท่านต้องะโข้ามมันมา ห้ามเหยียบเป็อันขาด”
มู่เฟิงกล่าว
คนเ่าั้รีบก้มมองไปรอบๆ แต่ยังไม่มีใครกล้าขยับ ดังนั้นหูเถี่ยหนิ่วจึงกัดฟันและดีดฝ่าเท้าทะยานตัวออกไปยังตำแหน่งที่มู่เฟิงชี้นำเป็คนแรก
เมื่อเขาร่อนตัวลงในตำแหน่งนั้นตามคำบอกของมู่เฟิงก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ค่ายกลยังคงนิ่งสงบ
คนอื่นๆ ที่เห็นภาพนี้ก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง พวกเขาจึงรีบะโข้ามมาทีละคนทันที
“น้องชาย แล้วตำแหน่งต่อไปเล่า?”
หูเถี่ยหนิ่วเอ่ยถามอย่างดีใจ
“พวกท่านรอข้าก่อน”
มู่เฟิงกระโจนร่างไปยังตำแหน่งของลายเส้นที่ไม่มีผลกระตุ้นต่อค่ายกล จากนั้นเขาะโไปมาเพียงไม่กี่ครั้งก็มาถึงเบื้องหน้าของหูเถี่ยหนิ่วและคนอื่นๆ
เมื่อทุกคนเห็นว่ามู่เฟิงผ่านไปได้อย่างปลอดภัย พวกเขาก็มีท่าทีดีใจเป็อย่างยิ่ง พร้อมทั้งเชื่ออย่างหมดใจว่ามู่เฟิงสามารถทะลวงผ่านค่ายกลได้จริง
“พวกท่านจำตำแหน่งที่ข้าะโมาเมื่อครู่ให้ดี พวกท่านไม่สามารถออกนอกตำแหน่งเ่าั้ได้”
มู่เฟิงหันไปกล่าวกับกลุ่มคนที่ยังไม่ข้ามมา ทุกคนล้วนเชื่อฟังเขาเป็อย่างดี และะโไปตามตำแหน่งที่มู่เฟิงใช้อย่างเคร่งครัด ทำให้สามารถติดตามเด็กหนุ่มมาได้อย่างปลอดภัย
กลุ่มคนทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็สามกลุ่มเล็ก โดยมู่เฟิงจะให้ผู้นำกลุ่มแต่ละกลุ่มะโไปตามตำแหน่งที่เขาชี้นำ จากนั้นคนที่เหลือในกลุ่มก็จะค่อยๆ ตามกันมาเป็ขบวน
หลังจากใช้วิธีนี้เดินทางต่อไปเรื่อยๆ อีกหลายร้อยเมตร พื้นที่ที่มีค่ายกลก็สิ้นสุดลง
ในที่สุดทุกคนก็สามารถหลุดพ้นจากค่ายกลสังหารได้สำเร็จ พวกเขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนพื้น จากนั้นก็หันไปมองทางมู่เฟิงด้วยสายตาขอบคุณและชื่นชม หากไม่มีมู่เฟิงคอยช่วยให้หลุดพ้นจากค่ายกลนี้ เกรงว่าคงมีคนเหลือรอดเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“น้องชาย ขอบคุณเ้ามากที่ช่วยชีวิต”
“ขอบคุณมาก ครั้งนี้ถือว่าติดหนี้บุญคุณเ้าแล้ว”
หูเถี่ยหนิ่วและคนอีกหลายสิบคนล้วนรู้สึกขอบคุณมู่เฟิงด้วยความซาบซึ้ง
“ฮ่าๆ ไม่ถือว่าเป็เื่ใหญ่อะไรหรอกขอรับ ทุกท่านอย่าได้เกรงใจไป”
มู่เฟิงยิ้มกว้าง
“ไม่ทราบว่าข้าควรเรียกขานเ้าว่าอย่างไรดี ข้าคิดว่าอายุของเ้าน่าจะยังไม่มากนัก แต่เ้ากลับเป็ถึงนักสลักลายเส้นขั้นสองเสียแล้ว ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก”
หูเถี่ยหนิ่วถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้ามีนามว่าเฟิงเย่ ทุกท่านเกรงใจเกินไปแล้ว”
มู่เฟิงตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน พลังิญญาของเขาสามารถััได้ว่าชายร่างใหญ่ตรงหน้าเป็ยอดฝีมือระดับหนิงกังขั้นเก้า
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณน้องเฟิงเย่มากจริงๆ จากนี้เ้าก็ร่วมเดินทางไปด้วยกันกับข้าเถอะ แม้ว่าข้าจะไม่มีความรู้เื่ค่ายกล แต่หากพบเจออสูรร้ายหรือสิ่งมีชีวิตอื่น ข้าย่อมปกป้องเ้าได้อย่างแน่นอน”
หูเถี่ยหนิ่วยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ๆ ถูกต้องแล้ว พวกเราเองก็เช่นกัน”
คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็พูดตาม
เวลานี้มู่เฟิงเป็ดั่งสมบัติล้ำค่าสำหรับพวกเขา หากว่ายังต้องพบเจอกับค่ายกลอีก พวกเขาก็ยังต้องพึ่งพาเด็กหนุ่ม
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอขอบคุณพี่ใหญ่เถี่ยหนิ่วและทุกท่านแล้ว เอาละ ด้านหน้าไม่มีค่ายกลแล้ว พวกเราไปต่อกันเถอะ"
มู่เฟิงประสานหมัดพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในบรรดาคนทั้งสามสิบกว่าคนนี้ คนที่มีวรยุทธ์ต่ำที่สุดนั้นอยู่ในระดับจื่อฝู่ ส่วนคนที่เหลือมีวรยุทธ์อยู่ในระดับหนิงกัง ดังนั้นกลุ่มของพวกเขาจึงค่อนข้างแข็งแกร่ง
พวกเขามุ่งหน้าเดินต่อไป โดยที่มู่เฟิงได้รับการปกป้องให้เดินอยู่ตรงกลางของกลุ่ม ทันใดนั้นหูเถี่ยหนิ่วซึ่งอยู่ด้านข้างก็เอ่ยถามเด็กหนุ่มว่า “น้องชาย เ้ายังเด็กนัก การที่สามารถเป็นักสลักลายเส้นขั้นสองได้ด้วยวัยเพียงเท่านี้ คาดว่าพื้นฐานครอบครัวของเ้าคงจะไม่ธรรมดา แล้วเหตุใดเ้าถึงต้องมาเสี่ยงในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ด้วย?”
“เฮ้อ พูดแล้วเื่มันยาว สหายของข้าถูกวางยาพิษ ได้ยินมาว่าภายในวังโบราณจิ่วซานมีสมุนไพรที่สามารถแก้พิษชนิดนั้นได้ ข้าจึงมาที่นี่เพื่อตามหาสมุนไพรนั่นขอรับ”
มู่เฟิงถอนหายใจ
“เื่เป็เช่นนี้นี่เอง น้องชายเ้าช่างมีไมตรีต่อพวกพ้องยิ่งนัก ว่าแต่สมุนไพรนั่นชื่ออะไร? หากพวกข้าพบเห็นก็จะเก็บมันมามอบให้เ้า”
หูเถี่ยหนิ่วกล่าวชื่นชมอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“มันคือหญ้าโลหิตมรกต จริงสิ นี่คือภาพร่างของมัน”
มู่เฟิงนำม้วนกระดาษออกมา เมื่อเขาคลี่ม้วนกระดาษออก ภาพร่างของใบหญ้าสามแฉกสีแดงเืก็ปรากฏให้เห็น หูเถี่ยหนิ่วและคนอื่นๆ ต่างก็เข้ามามุงดูภาพนั้น จากนั้นทุกคนก็รับปากมู่เฟิงว่าหากพวกเขาพบมันจะเก็บมามอบให้เขา
เมื่อมีคนออกตัวช่วยค้นหาหญ้าโลหิตมรกตมากขนาดนี้ ความมั่นใจในการค้นหาของมู่เฟิงก็เพิ่มมากขึ้น
ปลายทางเบื้องหน้ามีแสงสว่างปรากฏให้เห็นคล้ายกับว่านั่นคือทางออก ทุกคนจึงรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้พวกเขาต้องตกตะลึง