ในตอนที่ลงมา เฉินเซียงก็พูดว่า “นายหญิง ท่านสติเลอะเลือนไปแล้วหรือเพคะ!”
“ทำไมล่ะ?” หานอวิ๋นซีถามอย่างเกียจคร้าน
“นายหญิง ท่านคือฉินหวังเฟย ท่าน...ท่าน...” เสี่ยวเฉินเซียงคิดเสมอว่าเ้านายคนนี้ฉลาดมาก แต่ตอนนี้คงต้องกังวลเกี่ยวกับความคิดของนางแล้วล่ะ
นางจับมือเ้านายของนางและกระซิบข้างๆ หูว่า “ท่านออกเรือนแล้ว ทั้งยังเป็ชายาของฉินอ๋องนะเพคะ! ถ้าเื่นี้ถึงหูฉินอ๋อง ท่านได้จบเห่แน่ๆ เพคะ!”
เสี่ยวเฉินเซียงที่เป็คนโง่ แต่ก็ยังอ่อนไหวกับเื่เหล่านี้อย่างมาก
หานอวิ๋นซีกลอกตาอย่างช่วยไม่ได้ แน่นอนว่านางเข้าใจเื่เหล่านี้ แต่นางก็ไม่ได้มาพบชู้เสียหน่อย คิดแค่ว่ากู้เป่ยเยวี่ยเป็เพื่อนที่นางสามารถมาหาและชวนคุยได้ ยิ่งกว่านั้น นางไม่ได้คุยเพื่อความสนุกหรือเกี้ยวพาราสีกันเสียหน่อย นางแค่มีเื่ให้เขาช่วยเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ นางและหลงเฟยเยี่ยเป็สามีภรรยาแค่ในนามเท่านั้น หลงเฟยเยี่ยยังเคยกอดหญิงอื่นต่อหน้านาง ทั้งยังช่วยสตรีนางอื่นแล้วก็ทิ้งนางอีก!
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ของตวนมู่เหยาแล้ว หานอวิ๋นซียังรู้สึกไม่สามารถลบออกไปจากใจได้เล็กน้อย
“นายหญิง ท่านฟังอยู่หรือไม่?” เสี่ยวเฉินเซียงจริงจังมาก
“ข้าไม่ได้ก่อเื่อะไรเสียหน่อย เ้าไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้ มันฟังดูเหมือนข้ากำลังคบชู้อย่างไรอย่างนั้น” หานอวิ๋นซีทนไม่ได้อีกต่อไป นางปฏิบัติต่อกู้เป่ยเยวี่ยเป็เพียงเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ใครจะรู้ว่าในขณะที่กำลังพูด ฝีเท้าของนางก็หยุดชะงักจนเกือบจะล้มลง
ด้วยเพราะเห็นร่างสูงร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากประตู มันช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน...หลงเฟยเยี่ย!
แม้ว่าเขาจะแต่งตัวเรียบๆ แต่หานอวิ๋นซีมองแวบแรกก็จำเขาได้ในทันที
ก่อนหน้านี้หานอวิ๋นซียังใจกล้าอยู่ ทว่าเพียงพริบตานางก็หันหลังกลับและวิ่งขึ้นไปชั้นบนโดยไม่รู้ตัว เสี่ยวเฉินเซียงเองก็วิ่งตามไป เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบน นางก็แอบมองลงมา เมื่อเห็นว่าหลงเฟยเยี่ยไม่ได้ขึ้นมาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
เสี่ยวเฉินเซียงมองนางด้วยความประหลาดใจอย่างมาก “นายหญิง ท่านร้อนตัวไปทำไมเพคะ?”
เอ่อ…
“ขะ...ขะ...ข้าว่าเ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ระวังตัวไว้ก่อนเท่านั้นเอง” หานอวิ๋นซีพูดแก้ตัว อันที่จริงแล้ว ปฏิกิริยาเมื่อครู่คือร่างกายไปเร็วกว่าสมอง นางเองก็เพิ่งจะรู้ตัวในภายหลังเหมือนกัน วิ่งทำไมกันนะ?
กู้เป่ยเยวี่ยที่ยังไม่ได้ออกไป เมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าอีก มีเพียงรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก พร้อมกับเผยความสิ้นหวังออกมาเล็กน้อย
หลังจากที่หานอวิ๋นซีสงบลง นางจึงจะนึกขึ้นได้ว่ากู้เป่ยเยวี่ยยังอยู่ชั้นบน ทว่าเมื่อนางหันไปมอง กลับไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้ว
“เขาไปไหนแล้วล่ะ?” หานอวิ๋นซีสงสัย
เสี่ยวเฉินเซียงช่วยมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เจอ “นายหญิง มันแปลกๆ นะเพคะ เห็นๆ กันอยู่ว่าเราเดินมาก่อน”
บันไดก็มีเพียงบันไดเดียว พวกนางเองก็เฝ้าอยู่ที่บันไดั้แ่ออกมา กู้เป่ยเยวี่ยจะลงไปก่อนได้อย่างไร?
หานอวิ๋นซีเต็มไปด้วยความสงสัย สุดท้ายนางก็เห็นบันไดที่ขึ้นไปชั้นสาม จึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย และคิดว่ากู้เป่ยเยวี่ยคงขึ้นไปชั้นบน
อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้ว่าในเวลานี้กู้เป่ยเยวี่ยอยู่ที่ประตู เขามองกลับไปที่ชั้นสอง พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ และหันหลังกลับ ร่างของเขาเดินหายไปราวกับภาพลวงตา
แม้ว่าจะกลับกันหมดแล้ว แต่หานอวิ๋นซีก็รอจนกว่าหลงเฟยเยี่ยจะออกไป นางจึงค่อยลงไปข้างล่าง
ตลอดทางในรถม้า เสี่ยวเฉินเซียงที่อยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า หานอวิ๋นซีมุ่ยปากและมองออกไปนอกหน้าต่าง บรรยากาศระหว่างเ้านายและสาวใช้แปลกเป็พิเศษ
เมื่อมาถึงลานดอกบัว ก็เห็นว่าไฟในห้องนอนของหลงเฟยเยี่ยเปิดอยู่ เมื่อเห็นเ้านายมองไป สุดท้ายเสี่ยวเฉินเซียงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ใครจะรู้ว่าจะหยุดเสียงหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า” ไม่ได้
หานอวิ๋นซีที่อับอายจนโกรธเกรี้ยวขึ้นมา หยิกนางไปหนึ่งครั้ง “เ้าบ้า หัวเราะอะไร! ยังไม่ออกไปอีกหรือไร!”
พูดจบ เสี่ยวเฉินเซียงก็ยังไม่ได้ออกไปแต่อย่างใด เช่นนั้นนางเลยเดินออกไปก่อน
ในคืนนั้น ไม่รู้ว่าทำไมหานอวิ๋นซีถึงนอนไม่หลับ นางห่อด้วยผ้านวมและเอนกายลงบนเตียง จ้องมองแสงไฟในห้องนอนของหลงเฟยเยี่ยอย่างเหม่อลอย
ความจริงแล้ว คำเตือนของเสี่ยวเฉินเซียงวันนี้ นางรับฟังทั้งหมด
แม้ว่านางจะอภิเษกเข้าจวนฉินอ๋องได้สักพักแล้ว แต่วันนี้จู่ๆ นางก็เพิ่งจะรู้สึกว่าตนเองเป็สตรีที่อภิเษกแล้วจริงๆ แม้ว่าจะเป็เพียงในนาม ทว่าตำแหน่งนี้ก็จะผูกมัดนางไปชั่วชีวิต
หลงเฟยเยี่ยสามารถอภิเษกใหม่ได้ แต่นางไม่สามารถอภิเษกใหม่ได้อีกต่อไป
คิดไปคิดมา หานอวิ๋นซีก็ส่ายหัวอย่างรุนแรง คิดอะไรกัน? มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขก็ดีแล้ว จะไปคิดมากทำไม?
จนถึงรุ่งสาง หานอวิ๋นซีเพิ่งจะได้นอนหลับ และนอนไปจนถึงเที่ยงวัน
หลายวันผ่านไป แม้ว่าเื่ของตระกูลหานจะยังคงถูกพูดคุยกันตามถนนและตรอกซอกซอย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรรุนแรงมากมาย หานอวิ๋นซีลูบกุญแจห้องเก็บของที่แขนเสื้อ ในใจพลางคิดว่าตนเองควรจะไปที่ตระกูลหานได้แล้ว
โดยไม่คาดคิด ในขณะที่กำลังจะออกจากจวน แม่ทัพใหญ่มู่ชิงอู่ก็มาหา
ทันทีที่เห็นมู่ชิงอู่ หานอวิ๋นซีก็พูดติดตลกว่า “แม่ทัพใหญ่ ข้าได้ยินมาว่า่นี้องค์หญิงฉางผิงยุ่งมากไม่ใช่หรือ?”
หลังจากอาการาเ็บนใบหน้าขององค์หญิงฉางผิงหายดีแล้ว ด้วยกังวลว่าจะถูกหัวเราะเยาะ จึงแก้ตัวว่าจะไปเที่ยวเล่นทางใต้เพื่อหนีความหนาวเย็น มิฉะนั้น นางอาจจะเข้ามาพัวพันกับการที่มู่ชิงอู่ที่มาที่นี่
มู่ชิงอู่ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เขายิ้มและเลี่ยงที่จะตอบ และพูดอย่างจริงจังว่า “ฉินหวังเฟย ก่อนหน้านี้...”
การพูดติดๆ ขัดๆ เช่นนี้ดูไม่ใช่นิสัยของแม่ทัพใหญ่ท่านนี้เอาเสียเลย มันคือคำพูดแบบไหนกันถึงได้ติดอยู่ที่ปลายลิ้น ไม่ได้พูดออกมาเสียที?
“แม่ทัพใหญ่ พูดออกมาตรงๆ เถิด” หานอวิ๋นซีสงสัยอยู่ในใจว่าหากชายผู้นี้มาหานางถึงจวนฉินอ๋อง ต้องมีเื่สำคัญอย่างแน่นอน
“จริงๆ มันก็มีเื่หนึ่ง เกี่ยวกับพิษงูหมื่นตัวในตัวข้า หวังเฟยบอกว่าเป็พิษเรื้อรังสะสมมาหลายปี แต่ท่านพ่อกับข้าสืบหาแล้วก็ยังหาตัวคนวางพิษไม่ได้ ดังนั้น...วันนี้ข้าอยากจะเชิญหวังเฟยไปดูที่จวนและค่ายทหาร”
แม้ว่ามู่ชิงอู่จะเป็แม่ทัพที่ใจกว้าง แต่เมื่อเขาขอความช่วยเหลือ กลับทำตัวเหมือนเป็เด็กขี้อายในทันที
เขาขาดความมั่นใจอย่างไรล่ะ!
ประการแรก หากไม่มีเื่ก็คงไม่มาหา และประการที่สอง เขาพูดไว้ว่าไม่ว่ามีเื่อะไรหานอวิ๋นซีสามารถเอ่ยปากขอร้องได้เสมอ แต่ตอนนี้นอกจากจะไม่ได้มาช่วยหานอวิ๋นซี แต่กลับมารบกวนนางอีก
ที่แท้ก็เป็เพราะเื่นี้ หานอวิ๋นซีไม่ได้คิดอะไรมากมาย อันที่จริง ก่อนหน้านี้นางเคยคิดเื่นี้มาก่อน สุดท้ายแล้วพิษงูหมื่นตัวไม่ใช่พิษที่ดีนัก เพียงแต่่นี้นางยุ่งเกินไปจนลืมเื่นี้ไป
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หานอวิ๋นซีก็ถามว่า “พวกท่านไปสืบอย่างไร?”
“ถามสาวใช้ในห้องครัวและคนรับใช้ข้างกาย” มู่ชิงอู่ตอบตามจริง ชีวิตของมู่ชิงอู่นั้นเรียบง่ายมาก ไม่ว่าจะที่จวนหรือในค่ายทหาร มีเพียงคนเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้เขาและวางยาพิษเขาได้
แม้ว่าการซักถามอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ก็เป็รูปแบบหนึ่งของการสืบเช่นกัน
“ในจวนและค่ายทหาร มีการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลากรบ้างหรือไม่?” หานอวิ๋นซีถามอีกครั้ง เื่ที่นางล้างพิษมู่ชิงอู่ได้แพร่กระจายไปแล้ว และยังสอบปากคำคนรับใช้ในจวนแม่ทัพ คนที่วางพิษคงกลัวและทำตามแผนที่วางไว้
“ไม่มี เช่นนั้นก็...”
มู่ชิงอู่อยากจะบอกหานอวิ๋นซีจริงๆ ว่า ฉินอ๋องเองก็ได้ถามเกี่ยวกับเื่นี้เช่นกัน เพียงแต่ฉินอ๋องบอกให้เก็บเป็ความลับ ดังนั้นเขาจึงคิดเกี่ยวกับเื่นี้อยู่พักหนึ่งและตัดสินใจที่จะไม่พูด “เช่นนั้นแล้วข้าจึงมาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ”
“ข้าไม่ใช่สายสืบ” หานอวิ๋นซียิ้มอย่างช่วยไม่ได้
การมาถึงหน้าประตูเพื่อขอความช่วยเหลือก็น่าอายพอแล้ว เมื่อหานอวิ๋นซีพูดเช่นนี้ มู่ชิงอู่เองก็ไม่รู้จะพูดอะไร เกาหัว พร้อมกับอารมณ์ที่แสดงอยู่บนใบหน้า
เมื่อเห็นท่าทางของเด็กชายร่างใหญ่ผู้นี้แล้ว หานอวิ๋นซีก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงรูปลักษณ์ที่กล้าหาญของเขาในสนามรบ และรู้สึกว่ามันช่างมีความแตกต่างกันมากเหลือเกิน
หานอวิ๋นซีทำได้เพียงพูดเพื่อขจัดความลำบากใจของเขา โดยถามว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านจะเชิญข้าไปทำไมกัน?”
นางไม่ใช่สายสืบ
ยาพิษก็ถูกล้างแล้ว ตอนนี้มันก็หายไปแล้ว ดังนั้นนางไปก็ไม่มีประโยชน์
“พิษงูหมื่นตัวนั้นเป็พิษที่หายาก ท่านคุ้นเคยกับมันมากกว่าพวกเรา บางทีอาจจะพบเบาะแสบางอย่าง” มู่ชิงอู่ตอบอย่างจริงจัง ความจริงแล้ว การมาหาหานอวิ๋นซีถือเป็ความพยายามครั้งสุดท้ายในการสืบหา
อย่างไรก็ตาม คำพูดเหล่านี้ดูเหมือนจะเตือนให้หานอวิ๋นซีนึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็ฉายแววซับซ้อน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หานอวิ๋นซีก็ไม่ถามคำถามใดๆ เพิ่มเติม และตอบตกลงทันที พร้อมพูดอย่างจริงจังว่า “เช่นนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าจะไปที่จวนั้แ่เช้าตรู่เพื่อตรวจดู พวกท่านก็ถือว่าข้ามาตรวจอาการก็แล้วกัน อยู่เงียบๆ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”
หานอวิ๋นซีรู้สึกเสมอว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะวางยาพิษในสถานที่อย่างค่ายทหาร เพื่อหาเบาะแสแล้ว นางต้องไปที่จวนแม่ทัพ อย่างไรก็ตาม คนในจวนนั้นซับซ้อนกว่าทหารในค่ายทหารอย่างมาก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่ชิงอู่ก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง รีบลุกขึ้นและทำความเคารพอย่างจริงจัง “ขอบคุณหวังเฟย หากท่าน้าอะไรในภายภาคหน้า โปรดหวังเฟย...”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ หานอวิ๋นซีก็พูดขัดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านแม่ทัพ ถ้าท่านพูดเช่นนี้อีกครั้ง เป็ไปได้หรือไม่ว่านี่เป็การทำข้อตกลงกับข้า?”
คำพูดนี้ ครั้งก่อนเขาเคยพูดมันไปแล้ว
ทั้งชีวิตนี้มู่ชิงอู่ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใครมาก่อน เขาจึงรู้สึกอับอายและรีบโค้งคำนับ “ฉินหวังเฟย ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น เพียงแต่...เฮ้อ...รบกวนฉินหวังเฟยด้วย!”
ยิ่งหานอวิ๋นซีมองเขามากเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกขบขันมากขึ้นเท่านั้น นางไม่มีความตั้งใจที่จะเป็เพื่อนกับมู่ชิงอู่เลย แต่ในเมื่อเขามาหาถึงประตู หากจะเป็มิตรก็ย่อมได้ สุดท้ายแล้วจวนแม่ทัพก็ค่อนข้างมีอำนาจในราชสำนัก
ในยุคนี้ที่ฐานะทางสังคมสำคัญกว่าฟ้าดิน และฐานะเป็ตัวกำหนดชะตา ครอบครัวแม่ของนางก็เป็เช่นนั้น นางจึงต้องหาเพื่อนและคนหนุนหลังให้ตัวเอง
หลังจากมู่ชิงอู่ออกไป หานอวิ๋นซีก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอีกครั้งเมื่อนึกถึงคำพูดที่จริงจังของเขาว่า “หากท่าน้าอะไรในภายภาคหน้า โปรดพูดออกมาได้เลย”
นางไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดนี้ แต่มู่ชิงอู่กลับใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อทำตามสัญญานี้ แน่นอน นั่นเป็เื่ในอนาคต
ในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น นางก็พาเสี่ยวเฉินเซียงไปที่จวนแม่ทัพใหญ่ นางตรงไปที่ลานบ้านของมู่ชิงอู่ มู่ชิงอู่เองก็รออยู่ที่ประตูเช่นกัน
“ฉินหวังเฟย ผู้วางยาพิษต้องเป็ไส้ศึกแน่นอน!” อารมณ์ของแม่ทัพมู่รุนแรงมาก
“ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ทัพใหญ่ถูกพิษงูหมื่นตัว เดาว่าคงต้องใช้เวลาหลายปีกว่าพิษจะปรากฏออกมา” หานอวิ๋นซีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
การสืบหาผู้ที่วางยาพิษต้องพิจารณาสองด้าน ด้านหนึ่งคือวิธีการวางยา และอีกด้านคือแหล่งที่มาของพิษ
ก่อนอื่นต้องพูดถึงด้านแรกก่อน คือ วิธีการวางยาพิษ
แม้ว่าพิษงูหมื่นตัวจะมีพิษร้ายแรง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็พิษเรื้อรังเช่นกัน เหตุที่บอกว่ามันมีพิษร้ายแรง เป็เพราะว่าเมื่อพิษปรากฏขึ้นมาแล้ว ภายในหนึ่งชั่วยามต้องคร่าชีวิตผู้คนไปอย่างแน่นอน และเหตุที่บอกว่าเป็พิษเรื้อรัง ก็เพราะพิษของงูหมื่นตัวจะค่อยๆ ซึมลึกเข้าไปในร่างกายของมนุษย์ เมื่อถึง่เวลาหนึ่งก็จะปะทุออกมา
ดังนั้นผู้ที่สามารถวางยาได้ทีละเล็กละน้อยตลอดทั้งปี ต้องเป็คนที่ติดต่อกับมู่ชิงอู่ได้บ่อยครั้ง
มู่ชิงอู่หยิบรายชื่อออกมา “ฉินหวังเฟย ท่านดูนี่ นี่คือรายชื่อคนรับใช้ทั้งหมดในจวนที่สามารถเข้าใกล้ข้าได้ ทุกคนถูกสอบปากคำหมดแล้ว”
แม่ทัพมู่และภรรยาผู้ล่วงลับมีความรักใคร่กันดีและไม่มีนางสนมคนอื่นๆ ดังนั้น หากไม่รวมแม่ทัพมู่และมู่หลิวเยวี่ยแล้ว คนที่สามารถเข้าใกล้มู่ชิงอู่ได้ก็คือคนรับใช้
หานอวิ๋นซีไล่อ่านรายชื่อคร่าวๆ และพบว่ามีคนไม่มากนัก รวมคนในห้องครัวแล้ว มีแค่เจ็ดหรือแปดคนเท่านั้น