เสื้อผ้าของฉือหางไม่หนามาก แต่เพราะเขาสวมเสื้อผ้าใหม่ที่หลินกู๋หยู่ทำให้จึงรู้สึกอบอุ่นเป็พิเศษอย่างอธิบายไม่ถูก
“พี่ใหญ่ มีอะไรจะพูดก็เข้ามาคุยกันด้านในเถอะ” ฉือหางพูดพลาง หลีกทางให้พี่ชายเล็กน้อย “ข้างนอกอากาศหนาวมาก”
ฉือซู่สวมเสื้อผ้าหนามาก เมื่อสายลมพัดมา ร่างกายของเขาดูเหมือนจะถูกสายลมพัดผ่านจนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
"เช่นนั้นก็ได้" จากนั้นฉือซู่ก็เดินตามฉือหางเข้าไปด้านใน
เมื่อเขาเข้าไป ก็เห็นหลินกู๋หยู่กำลังสับไส้เกี๊ยว
“พี่ชายใหญ่ เชิญนั่ง” หลินกู๋หยู่ทักทายด้วยรอยยิ้มขณะชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆ
ฉือซู่พยักหน้าตอบ จากนั้นก็นั่งลง
ภายในห้องอุ่นมากจริงๆ แตกต่างจากอากาศหนาวเหน็บภายนอกอย่างสิ้นเชิง
ฉือหางถอดเสื้อคลุมด้านนอกของเขาออกอย่างเป็ธรรมชาติ วางไว้บนชั้นวางด้านข้างเขา
ในตอนนั้นเองที่ฉือซู่สังเกตเห็นว่า พวกเขาทั้งครอบครัวสามคนไม่ได้สวมเสื้อผ้ามากนัก
ภายในห้องดูเหมือนจะอุ่นมาก ฉือซู่อดไม่ได้ที่จะถกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย "พรุ่งนี้ถึงเวลาที่คนในครอบครัวของพวกเราจะประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วใช่หรือไม่? ท่านแม่ของเราบอกว่าให้พวกเราพี่น้องจ่ายเงินสำหรับซื้อของมาประกอบพิธีเซ่นไหว้ในปีนี้”
"นี่เป็สิ่งที่สมควรอยู่แล้ว" ฉือหางพยักหน้าในขณะหั่นแครอท
เมื่อเห็นว่าไส้เกี๊ยวของพวกเขาเต็มไปด้วยเนื้อ ฉือซู่ก็กลืนน้ำลายลงคอ "แต่ท่านแม่ยังไม่ได้พูดถึงจำนวนเงินที่เฉพาะเจาะจง ข้าแค่มาบอกเ้าก่อน"
"ข้าเข้าใจแล้ว" ใบหน้าฉือหางปราศจากความรู้สึก
หลังจากส่งฉือซู่กลับไป ฉือหางไม่ทันที่จะปิดประตู ฉือเทาก็มายืนอยู่เบื้องหน้า เขามองฉือหางด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าฉือเทาจะยังคงอาศัยอยู่กับครอบครัวฉือทางนั้น แต่ปกติแล้วเขาไม่ค่อยได้มาที่นี่
“น้องชายสาม” ฉือเทายืนพิงประตู ทันทีที่เขาคลี่ยิ้ม ใบหน้าของเขาก็ปรากฏริ้วรอย เขาเอื้อมมือไปแตะที่เสื้อผ้าของฉือหางด้วยรอยยิ้ม “เสื้อผ้าไม่เลวนี่ น้องสะใภ้สามเป็คนทำหรือ?”
"พี่รองก็สามารถขอให้พี่สะใภ้รองทำให้ได้" ฉือหางพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นกำลังจะปิดประตู ฉือเทาก็เอื้อมมือไปหยุดเขา
ฉือเทาโน้มตัวไปใกล้ใบหูของฉือหาง ลดเสียงลงราวกับกำลังเป็เื่ลับ "ท่านแม่บอกว่าให้พวกเราสามคนพี่น้องออกเงินไปซื้อของมาประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษร่วมกัน"
มีปัญหาอะไรหรือไม่?
แม้ว่าฉือหางจะรู้สึกแปลกกับท่าทีเช่นนี้ของฉือเทา แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้แสดงออกมาผ่านทางสีหน้า "พี่ใหญ่บอกข้าแล้ว"
“ข้าจะบอกให้ นี่เป็เื่โกหก!” ฉือเทาขมวดคิ้ว ตบมือสุดแรงด้วยความคับแค้นใจ แล้วพูดอย่างโกรธๆ ว่า “เ้าไม่รู้ว่าท่านแม่ของเราคิดอย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะพี่รองของเ้าคิดว่าพวกเราสองคนพี่น้องแยกครอบครัวกัน เช่นนั้นข้าจะไม่บอกเ้า”
ฉือหางพยักหน้าตอบเรียบๆ แต่ไม่ได้เอ่ยวาจา
“ในวันนั้นข้าไปได้ยินโดยบังเอิญ ท่านแม่บอกว่าให้พวกเราสองคนจ่าย พี่ใหญ่และพวกเขาไม่ต้องออกเงินจ่าย” ฉือเทาเอนตัวไปใกล้ใบหูของฉือหาง พูดพึมพำเบาๆ แล้วยื่นมือออกไปตบไหล่ฉือหาง "เ้าคิดว่าจะทำอย่างไรหรือ?"
ก็แค่ประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากมากมายขนาดนั้น
ฉือหางคิดอยู่ครู่หนึ่ง
"หรือว่า" ฉือเทาโน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหูของฉือหาง กระซิบเสียงเบา "พวกเราปล่อยให้พี่ใหญ่ออกเงินคนเดียว พี่ใหญ่ถูกนับเป็คนในครอบครัวเดิม เดิมทีเขาควรทำสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเองอยู่แล้วนี่"
คราวนี้ฉือหางเข้าใจเหตุผลแล้ว พี่รองไม่้าออกเงิน ดังนั้นจึงมาหาเขาเพื่อหาคนร่วมมือในการกลั่นแกล้งพี่ใหญ่
เมื่อนึกถึงสิ่งที่หลินกู๋หยู่พูดในวันนั้น ฉือหางขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงไม่เต็มใจหลายส่วน "ทำเช่นนี้ไม่ดีนัก อย่างไรเสียพี่ใหญ่ก็เป็พี่น้องของพวกเรา"
เมื่อได้ฟังถ้อยคำของฉือหาง ฉือเทาก็พูดด้วยรอยยิ้ม "ยังพูดเช่นนั้นได้อีกหรือ ในตอนนั้นถ้าไม่ใช่เขากับพี่สะใภ้ใหญ่ที่ร้องไห้ฟูมฟาย ะโจะแยกครอบครัว ครอบครัวเดียวกันก็อยู่กันดีๆ และแม้แต่เื่การแยกครอบครัวของเ้า ก็เป็พี่ใหญ่ที่พูดถึงเื่นี้ขึ้นมา"
เมื่อไรที่สามารถหลอกลวงผู้คนได้ เมื่อนั้นก็คือการพูดความจริงครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งเป็ความเท็จ
ที่ฉือเทาพูดเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าเขา้าผลักทุกอย่างไปที่ฉือซู่
แต่ในมุมมองของฉือหาง คนเดียวที่สามารถทำเช่นนั้นได้ก็มีเพียงพี่รองคนนี้ของเขาเท่านั้น
ฉือหางไม่พูดมาก ส่งฉือเทากลับไปอย่างสุภาพนอบน้อมก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในห้อง
ทันทีที่ประตูเปิดออก ความหนาวเย็นจากภายนอกก็ไหลเข้ามา ฉือหางปิดประตูอย่างรวดเร็ว
“ไปนานเสียจริง ทำไมถึงเพิ่งกลับมา?” หลินกู๋หยู่ถามอย่างเป็กันเองในขณะที่กำลังสับไส้
"เมื่อครู่ข้าพบพี่รอง เขาบอกว่าเขาไม่้าให้ข้าออกเงินให้พี่ใหญ่ และยังบอกว่าพี่ใหญ่ไม่้าออกเงิน แต่ให้เขาและข้าสองคนเท่านั้นที่ออกเงิน" ฉือหางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ "ข้าคิดว่าใน่ปีใหม่นี้ ไม่แน่ว่าพี่รองอาจจะสร้างปัญหาให้พี่ใหญ่ก็เป็ไปได้”
หลินกู๋หยู่ยังคงทำงานในมือต่อไป นางเงยหน้าขึ้นมองไปที่ฉือหางด้วยรอยยิ้มว่า "ตราบใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา พวกเราก็อย่าซักไซ้ไล่เลียงนักเลย ปล่อยพวกเขาไปเถอะ"
ฉือหางก็คิดเช่นนี้เช่นเดียวกัน เขาคิดว่ามันคงจะดีถ้าได้อยู่ใกล้บ้านสกุลหลินในวันข้างหน้า เขาไม่อยากอยู่ที่นี่แม้แต่น้อย
ความคิดนี้ เขายังไม่ได้หารือกับหลินกู๋หยู่
สับไส้เกี๊ยว นึ่งหมั่นโถว หลินกู๋หยู่วางสิ่งเหล่านี้ไว้ที่ประตูเพราะกลัวว่าของพวกนี้จะบูด
ในวันที่ยี่สิบเก้าของเดือนจันทรคติที่สิบสอง ฉือซู่เรียกฉือหางและคนในครอบครัวทั้งสามคนั้แ่เช้าตรู่
พวกเขาทั้งสามสวมเสื้อกันหนาว เนื่องจากพวกเขาจะต้องประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ในวันนี้พวกเขาสามคนต่างสวมชุดสีอ่อนเพื่อแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ
ทั้งสี่คนยืนเรียงกัน แม้แต่ฉือเย่ก็กลับมาในวันนี้
โจวซื่อยืนอยู่ด้านหน้าสุด ชำเลืองมองผู้คนด้านล่างปราดหนึ่งแล้วกระแอมไอ "วันนี้พวกเรามาจัดพิธีบูชาบรรพบุรุษกัน วันนี้จะหัวเราะไม่ได้ อย่าทำให้บรรพบุรุษโกรธโดยเปล่าประโยชน์ การทำพิธีบูชาบรรพบุรุษของสกุลฉือของเราจะต้องออกเงินราวสามตำลึง”
ประเด็นสำคัญมาแล้ว
หลินกู๋หยู่ทำตัวเองให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า นางตั้งใจฟังสิ่งที่โจวซื่อพูด
“เงินสามตำลึงนี้มีไว้เพื่อส่งเงินและสิ่งของให้บรรพบุรุษใต้ดิน ในปีก่อนๆ ก็ใช้เงินจำนวนสามตำลึงเช่นเดียวกัน” โจวซื่อพูดพลาง สายตาของนางจับจ้องไปที่ฉือซู่ “ตอนนี้เ้าไปรวบรวมเงินทั้งหมดมาที่นี่”
เมื่อได้ยินคำพูดของโจวซื่อ ฉือซู่ก็พยักหน้าและเดินไปด้านหน้าของฉือหาง
ฉือหางให้ความร่วมมือกับฉือซู่เป็อย่างดี โดยมอบเงินจำนวนหนึ่งตำลึงให้เขา
เมื่อฉือซู่เดินไปด้านหน้าของฉือเทา เขาก็เห็นฉือเทายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน
“ท่านแม่ ข้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรม” ฉือเทาพูดอย่างไม่พอใจ “พี่ชายใหญ่มีเงินมากมายอยู่ในมือ ทำไมข้าต้องจ่ายด้วย ข้ากับภรรยาของข้าใช้เงินเ่าั้ในการใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์”
“บ้านไหนบ้างที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่ด้วยการใช้เงินอย่างประหยัด เงินที่ควรจ่ายก็ต้องจ่าย เ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ฉือซู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดอย่างหมดความอดทน “หรือเ้าคิดว่าพวกเราเอาเงินของเ้ามากเกินไป?”
"ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น" ฉือเทาพูด มองไปที่ฉือซู่ด้วยรอยยิ้ม "พี่ใหญ่ พวกเราไม่มีเงินจริงๆ ดังนั้นข้าจะรบกวนพี่ใหญ่ออกเงินในส่วนของข้า"
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉือเทาพูด ฉือซู่ก็ขมวดคิ้วแน่น
ฉือซู่ไม่ชอบฉือเทามากๆ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาเป็ครอบครัวเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะแยกครอบครัวกันแล้ว แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังต้องพูดคุยหารือเกี่ยวกับเื่ต่างๆ ที่สำคัญด้วยกัน ใครใช้ให้พวกเขาเป็พี่น้องกันละ
ในขณะที่โจวซื่อ้าลงมาคุยกับฉือเทา ก็เห็นฟางซื่อพยุงเอวลากร่างกายอันเหนื่อยล้า "ท่านแม่ ข้าคิดว่าข้าไปไหว้บรรพบุรุษไม่ได้แล้วแม้ว่าข้าจะอยากไปมากก็ตาม"
“เ้าเป็อะไรหรือไม่?” โจวซื่อพูดอย่างโกรธๆ พลางชี้ไปที่ปลายจมูกของฟางซื่อ “เ้าคิดว่าเ้าเป็บุตรีจากตระกูลใหญ่ร่ำรวยหรือไร ถึงได้ทำตัวอ่อนแอเช่นนี้!”
"ข้าท้องแล้ว" ฟางซื่อเงยหน้าขึ้นมองโจวซื่อด้วยท่าทางน่ารักระคนน่าสงสาร "ท่านแม่ ถ้าข้าไปไหว้บรรพบุรุษเช่นนี้จะดีหรือ?"
ขณะนั้นฟางซื่อก็ยื่นมือออกไปจับมือของฉือเทา มืออีกข้างปิดริมฝีปากแน่นแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า "ข้าอยากจะอาเจียน วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดตาลาย ข้าและสามีของข้าไปหาหมอในเมืองแล้ว หมอบอกว่าถ้าเป็เช่นนี้ให้นอนพักผ่อนจะดีที่สุด เช่นนั้นก็จะได้ไม่ทรมานขนาดนี้”
“และเคียงข้างก็ต้องหาคนที่ไว้ใจได้มาดูแลข้าด้วย ไม่เช่นนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร” ฟางซื่อเดินไปที่ด้านข้างของโจวซื่อด้วยรอยยิ้ม แตะแขนของโจวซื่อด้วยรอยยิ้ม พูดเบาๆ "ท่านแม่ ข้ากับสามีไม่ไปได้หรือไม่ นี่เป็ลูกคนแรกของพวกเราสองคนด้วย!"
สายตาของโจวซื่อมองไปที่หน้าท้องของฟางซื่อ จากนั้นนางก็พูดว่า "เอาละ กลับไปพักผ่อนเถอะ พวกเ้าสองคนไม่ต้องไปแล้ว"
ทันทีที่โจวซื่อพูดจบ ฉือเทาก็ประคองฟางซื่อจากไป
"ท่านแม่ พวกเขายังไม่ได้..." ฉือซู่มองดูโจวซื่ออย่างใจจดใจจ่อ ไหนตกลงกันแล้วว่าแต่ละคนจะต้องออกเงินจำนวนหนึ่งตำลึง ตอนนี้ฉือเทาจากไปแล้ว ใครจะเป็คนจ่ายเงินอีกหนึ่งตำลึง?
"ในปีนี้ครอบครัวของเ้ารองมีข่าวดี ดังนั้นเงินนี้ครอบครัวของพวกเขาไม่ต้องออกแล้ว พวกเ้าสองคนเพิ่มเงินคนละครึ่งตำลึง" โจวซื่อพูดลอยๆ สายตาของนางจับจ้องไปที่ฉือหางและฉือซู่
ฉือหางก็นึกถึงสิ่งที่ฉือเทาพูดในวันนั้นอย่างอธิบายไม่ได้ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่มีเงิน” ฉือหางพูดอย่างใจเย็นขณะอุ้มโต้ซาแน่นในอ้อมแขน
โจวซื่อกำลังจะอารมณ์เสีย แต่เมื่อนางนึกถึงการทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษในวันนี้ นางหยุดชะงักก่อนจะขมวดคิ้ว
ฉือซู่หันไปมองโจวซื่อ ลดศีรษะลงเงียบๆ
ขั้นตอนการเซ่นไหว้บรรพบุรุษนั้นง่ายมาก นั่นคือจะต้องให้เงินแก่บรรพบุรุษเป็จำนวนมาก
หลังจาก่เช้าผ่านไป เมื่อฉือหาง หลินกู๋หยู่และโต้ซาสามคนกลับถึงบ้าน หลินกู๋หยู่รีบต้มน้ำให้ทุกคนล้างมือ
ทันทีที่ต้มน้ำแล้ว หลินกู๋หยู่ก็ได้ยินเสียงทะเลาะโวยวายดังมาจากบ้านใหญ่
เมื่อได้ยินเสียงจากทางฝั่งนั้น ฉือหางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างสงสัย "เกิดอะไรขึ้นหรือ?"
“ข้าไม่รู้” หลินกู๋หยู่พูดอย่างลังเล “เป็ไปได้หรือไม่ที่จะเป็เพราะเงินหนึ่งตำลึงนั่น ความจริงแล้วท่านแม่มีเงินมากมายอยู่ในมือ”
“เตรียมตัวทานข้าวกันเถอะ” หลินกู๋หยู่พูดพลางล้างมือและไปเตรียมอาหาร
อาหารพร้อมแล้ว หลินกู๋หยู่กล่าวกับฉือหางว่า "ไปเรียกน้องสี่มาทานอาหารเถอะ"
ใน่สองสามวันที่ผ่านมา ฉือเย่ทานข้าวกับพวกเขาเสมอ
ฉือหางรับคำแล้วเดินออกไปข้างนอก
เดิมทีพวกเขาสองคนอยากให้ฉือเย่มาทบทวนหนังสือในบ้านของพวกเขา เพราะห้องของฉือเย่นั้นหนาวเกินไป แต่ไม่ว่าอย่างไรฉือเย่ก็ไม่ยอมมา
ทันทีที่ออกไป สายลมหนาวพัดโชยมา ฉือหางกระชับเสื้อผ้าของเขาให้แน่น
ทันทีที่เขาเดินไปที่ประตูบ้านสกุลฉือ ฉือหางก็ได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองก่นด่าไปมา แต่ไร้วี่แววของโจวซื่อ
ฉือหางพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้ตนเองกลายเป็คนล่องหน เดินไปที่ลานบ้านของฉือเย่ หลังจากเรียกฉือเย่แล้ว เขาก็จากไป
"เ้ายังเป็มนุษย์อยู่หรือไม่ คืนเงินให้พวกเราเถอะ! ข้าจะบอกเ้าให้..." ซ่งซื่อชี้ไปที่ปลายจมูกของฟางซื่อ สาปแช่งด้วยความโกรธ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้