“เฮ้ย!”
มู่เฟิงถอยหลังออกไปครึ่งก้าวด้วยความใ ดวงตาของเขาเบิกกว้างและมองไปยังเด็กสาวตัวน้อยอย่างประหลาดใจ
เด็กสาวผู้นี้จะใช่หุ่นเชิดิญญาที่ปรมจารย์จิ่วซานกล่าวถึงหรือไม่?
ทันใดนั้นเด็กสาวก็ผุดลุกขึ้นนั่ง ดวงตาไร้ชีวิตชีวาคู่นั้นของนางยังคงจ้องมองมู่เฟิง และภาพที่เห็นนี้ก็ดูแปลกประหลาดเป็อย่างยิ่ง
หุ่นเชิดนั้นทำมาจากร่างศพของมนุษย์หรือสัตว์อสูรที่ถูกหลอมขึ้นโดยวิธีการลับ หรือว่าจิ่วซานผู้นั้นจะลงมือสังหารเด็กสาวผู้นี้เพื่อนำมาหลอมเป็หุ่นเชิดกัน?
เมื่อมู่เฟิงตั้งสติได้ เขาก็ครุ่นคิดกับตัวเอง และความคิดเช่นนี้ก็ทำให้เขามีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนักต่อปรมจารย์จิ่วซาน เพราะหากเป็เช่นนั้นจริงอีกฝ่ายก็คงไม่ใช่คนดีอะไร
แต่ในความเป็จริงเด็กหนุ่มกำลังเข้าใจผู้าุโจิ่วซานผิด เพราะเด็กสาวผู้นี้คือบุตรสาวของจิ่วซาน ในอดีตนางโชคไม่ดีต้องเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บั้แ่ยังเล็ก จิ่วซานจึงหลอมร่างของนางให้กลายเป็หุ่นเชิดที่ไม่มีวันเน่าเปื่อยเพื่อติดตามอยู่ข้างกายเขา
หากกล่าวกันตามตรงแล้ว เขาก็เป็เพียงคนน่าสงสารผู้หนึ่ง
ดวงตาไร้ชีวิตชีวาของเด็กสาวยังคงจ้องมองมู่เฟิงราวกับว่า้ามองเขาให้ทะลุปรุโปร่งอย่างไรอย่างนั้น
แต่เมื่อมู่เฟิงโบกมือตรงหน้าเด็กสาวกลับพบว่านางไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ เลย ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปใกล้โลงศพอีกนิด ก่อนจะพบว่านอกจากตัวนางแล้ว ภายในโลงศพยังมีม้วนตำราสีขาวหนึ่งม้วนและคัมภีร์สีดำอีกหนึ่งเล่ม
มู่เฟิงหยิบสิ่งของหนึ่งในสองอย่างนั้นออกมาเปิดดู
‘หุ่นเชิดิญญาตนนี้มีนามว่าซู่เหลียน เดิมทีนางเป็บุตรสาวของข้าที่เสียชีวิตจากอาการป่วยตอนที่นางอายุได้สิบปี เวลานั้นข้าไม่อาจยอมรับความเ็ปในการสูญเสียบุตรสาวอันเป็ที่รักได้ ข้าจึงใช้วิชาลับทำการหลอมศพของนางเพื่อให้นางกลายเป็หุ่มเชิดที่ไม่มีวันเน่าเปื่อยและคอยอยู่ข้างกายข้า ข้าจึงหวังเป็อย่างยิ่งว่าผู้ที่ฟ้าลิขิตจะปฏิบัติต่อซู่เหลียนของข้าอย่างมีเมตตา
จากจิ่วซาน’
หลังอ่านจบมู่เฟิงก็หันกลับไปมองดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาของเด็กสาวอีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาได้ถอนหายใจออกมาเพราะความสงสารด้วย นอกจากนี้ความเข้าใจผิดที่มีต่อจิ่วซานก็พลันหายไปด้วย
“ซู่เหลียน...ชีวิตเ้าช่างน่าสงสารนัก”
มู่เฟิงทอดถอนใจ อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปลูบหัวของหุ่นเชิดซู่เหลียน
แต่ใครจะไปคิดว่าหุ่นเชิดซู่เหลียนจะอ้าปากกว้างเตรียมจะกัดแขนของเขา มู่เฟิงใมากจึงรีบชักมือกลับทันที
จากนั้นมู่เฟิงก็หยิบคัมภีร์อีกเล่มขึ้นมา และสิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์เล่มนี้ก็คือเคล็ดวิชา《ศาสตร์การหลอมศพ》
ดูแลศพดั่งสมบัติล้ำค่า เพื่อจะหลอมศพให้เป็อาวุธโจมตีและป้องกัน
คัมภีร์ศาสตร์การหลอมศพนี้เป็เคล็ดวิชาระดับนิลกาฬขั้นสูง โดยด้านในได้มีการบันทึกวิธีการหลอมศพและวิชาการควบคุมหุ่นเชิดเกราะเหล็กไปจนถึงหุ่นเชิดิญญา นอกจากนี้ยังมีบันทึกวิธีการปราบหุ่นเชิดที่ไร้เ้าของอีกด้วย
นั่นคือการใช้แก่นโลหิตของตัวเองมาเขียนเป็เส้นยันต์ในตำแหน่งหัวใจของหุ่นเชิด เพื่อทำพันธสัญญา ในขณะเดียวกันก็ส่งพลังปราณและพลังชีวิตของตัวเองไปยังจุดตันเถียนของหุ่นเชิด จากนั้นก็ควบแน่นมันให้กลายเป็พลังงานมวลหนึ่ง เพื่อให้มันกลายเป็ตัวเชื่อมกับพลังปราณของตัวเอง เมื่อทำเช่นนี้ก็จะสามารถส่งพลังปราณเข้าไปในร่างของหุ่นเชิดได้ ทำให้พลังที่หุ่นเชิดแสดงออกมาอยู่ในระดับเดียวกันกับผู้ใช้ และนี่จึงเป็เหตุผลว่าทำไมคนของตระกูลอินถึงต้องส่งพลังปราณของตนเข้าไปในหุ่นเชิดเวลาที่พวกเขา้าจะควบคุมมัน
ภายในคัมภีร์เล่มนี้มีการบันทึกวิธีลับของการเขียนเส้นยันต์ไปจนถึงการควบแน่นมวลพลังขึ้นในร่างของหุ่นเชิดด้วย ดังนั้นมู่เฟิงจึงเริ่มอ่านวิธีการเหล่าในห้องสุสานอย่างเงียบๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ในที่สุดมู่เฟิงก็อ่านบันทึกทั้งหมดจบ ก่อนที่ร่องรอยของความประหลาดใจจะปรากฏขึ้นในแววตาของเขา
ศาสตร์วิชาการหลอมศพนี้เป็เคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมวิชาหนึ่ง เป็การเปลี่ยนร่างศพให้กลายเป็อาวุธ แม้ว่าจะฟังดูชั่วร้ายไปบ้าง แต่พลังในการโจมตีของมันนั้นถือว่าทรงพลังอยู่ไม่น้อย
“วิชาการหลอมศพวิชานี้ยังไม่ถือเป็วิชาที่มีระดับสูงมากนัก เหล่าผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญการหลอมศพที่ข้ารู้จัก พวกเขาสามารถหลอมศพที่มีพลังถึงขั้นสามารถทำลายล้างโลกออกมาได้เลยทีเดียว และนอกจากหุ่นเชิดิญญาแล้วยังมีหุ่นเชิดกายสิทธิ์กับหุ่นเชิดเทวะอีกด้วย แน่นอนว่าเส้นทางสายนี้ทั้งยาวไกลและล้ำลึกเป็อย่างยิ่ง”
เสียงของซีเยว่ดังขึ้นในห้วงความคิดของมู่เฟิง
มู่เฟิงปิดคัมภีร์เล่มนั้นลง จากนั้นเขาก็เดินไปตรงหน้าเด็กสาว พร้อมกับนำแผ่นยันต์แปะไว้บนหัวของนาง ทำให้นางไม่สามารถขยับตัวได้
แม้ว่าหุ่นเชิดิญญาตัวนี้จะไม่มีสติปัญญา แต่ยังคงมีร่องรอยของจิตสำนึกอยู่ ดังนั้นหากว่าเขาแตะต้องตัวนาง นางจะต่อต้านทันที
มู่เฟิงกรีดนิ้วของตัวเอง ก่อนจะบีบให้แก่นโลหิตจากหัวใจไหลผ่านเส้นลมปราณมายังนิ้วมือของเขา
มู่เฟิงหลับตาลง และเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าท่อนบนของซู่เหลียนออกจนเผยให้เห็นเพียงผิวกายเปลือยเปล่าของนาง
เนื่องจากร่างของนางเป็เพียงเด็กสาววัยสิบขวบ หน้าอกของนางจึงยังแบนราบไม่มีพัฒนาการ เมื่อมู่เฟิงบีบแก่นโลหิตออกมาแล้ว เขาก็ใช้นิ้วแทนปากกาขีดเขียนลายเส้นลงบนตำแหน่งหัวใจของนาง
การวาดยันต์พันธสัญญานั้นง่ายกว่าการสลักลายเส้นมาก หลังจากมู่เฟิงศึกษาก็สามารถวาดมันออกมาได้ทันที เพียงไม่นานลายเส้นยันต์รูปดาวหกแฉกก็ปรากฏขึ้นในตำแหน่งหัวใจของเด็กสาว
หลังจากเขียนเส้นยันต์เสร็จมันก็พลันส่องประกายเป็แสงสีโลหิตออกมาก่อนที่ลายเส้นนั้นจะไหลซึมเข้าสู่หัวใจของหุ่นเชิดซู่เหลียน
ในชั่วพริบตามู่เฟิงก็พลันรู้สึกผูกพันและเอ็นดูซู่เหลียนมากขึ้นทันที เขาสวมเสื้อผ้าให้นางใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็แกะแผ่นยันต์บนศีรษะของนางออก
เมื่อเด็กสาวหันมามองมู่เฟิง เด็กหนุ่มก็พบว่าดวงตาของนางเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย
มู่เฟิงยกมือขึ้นลูบหัวเด็กสาวอีกครั้ง และครั้งนี้นางไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับที่รุนแรงอีกแล้ว เขารู้สึกทอดถอนใจจนต้องถอนหายใจออกมาที่จิ่วซานเลือกใช้วิธีการเช่นนี้ในการบรรเทาความเ็ปจากการสูญเสียบุตรสาวของตนเอง
จากนั้นมู่เฟิงก็ถ่ายทอดพลังปราณของเขาไปยังจุดตันเถียนของซู่เหลียนต่อทันที
พลังปราณของมู่เฟิงหลั่งไหลเข้าไปรวมตัวกันที่จุดตันเถียนของซู่เหลียน ไม่นานมันก็เริ่มไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณที่อยู่รอบๆ จุดตันเถียน ผ่านไปพักใหญ่พลังปราณก็ไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณทั่วทั้งร่าง ก่อนจะไหลกลับไปรวมกันที่จุดตันเถียนอีกครั้ง
พลังปราณเ่าั้เริ่มหลอมรวมกันจนกลายเป็กลุ่มก้อนพลังสีขาว และเมื่อกลุ่มก้อนพลังเ่าั้หลอมรวมกันได้สำเร็จ หัวใจของมู่เฟิงก็พลันสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้น จากนั้นเขาก็ควบคุมหุ่นเชิดิญญาทันที
พรึ่บ!
หุ่นเชิดซู่เหลียนะโออกมาจากโลงศพ พร้อมกับกรงเล็บอันแหลมคมที่งอกออกมาจากนิ้วมือของนาง ก่อนที่มู่เฟิงจะควบคุมให้นางตวัดกรงเล็บออกมา
ฉัวะ!
ฉับพลันนั้นกรงเล็บสีขาวก็กวาดออกมาอย่างรวดเร็ว มันทะลวงผ่านอากาศพุ่งออกไปไกลกว่าสิบเมตร
จากนั้นหุ่นเชิดิญญาก็ปล่อยหมัดโจมตีไปทางกำแพงหินต่อทันที
เปรี้ยง…!
พลังปราณปะทุออกมาอย่างรุนแรงจนผนังกำแพงปรากฏรอยยุบขนาดใหญ่
“ฮ่าๆ ยอดเยี่ยมมาก!”
มู่เฟิงหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อพบว่าเด็กสาวตัวเล็กผู้นี้สามารถะเิพลังระดับจื่อฝู่ขั้นเก้าซึ่งเป็ระดับวรยุทธ์จากการควบคุมของเขาออกมาได้
แน่นอนว่าหุ่นเชิดิญญาตนนี้สามารถะเิพลังความแข็งแกร่งออกมาได้จนถึงระดับหลิงไห่ เพียงแต่ระดับวรยุทธ์ของมู่เฟิงในตอนนี้ยังมีไม่มากพอ ดังนั้นความสามารถของหุ่นเชิดิญญาจึงถูกจำกัดลงด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พลังในการต่อสู้ที่แท้จริงของหุ่นเชิดิญญาตนนี้สูงกว่าระดับวรยุทธ์ที่มู่เฟิงมอบให้นาง
แต่ความคล่องตัวกับพลังป้องกันของหุ่นเชิดิญญาตนนี้ยังเทียบไม่ได้กับหุ่นเชิดเกราะเหล็กและหุ่นเชิดเกราะเงิน ซึ่งนี่นับเป็ข้อเสียของนาง
มู่เฟิงควบคุมหุ่นเชิดซู่เหลียนให้หันหน้ามาทางเขา ดวงตากลมโตคู่สวยของนางจึงจ้องมองมาทางมู่เฟิงอย่างมึนงง
เมื่อจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของนาง มู่เฟิงก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มคุกเข่าลงและยกมือขึ้นลูบหัวของนาง พร้อมกล่าวขึ้นว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่า บิดาของเ้านั้นรักเ้ามาก เขาขอให้ข้าช่วยดูแลเ้าให้ดี ฉะนั้นเ้าสามารถวางใจได้ ข้าจะไม่ปฏิบัติต่อเ้าเหมือนเป็อาวุธชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน”
“เ้าไม่มีบิดามารดาแล้ว ข้าเองก็เช่นกัน เช่นนั้นจากนี้ไปข้าจะเป็พี่ชายให้กับเ้าเอง ดีหรือไม่?”
มู่เฟิงลูบเส้นผมนุ่มลื่นของเด็กสาวตัวน้อย จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปบีบใบหน้าเล็กของนางด้วยความเอ็นดู
“ฟ่อ...!”
ทันใดนั้นเสี่ยวเทียนก็พุ่งตัวออกมาจากแขนของมู่เฟิง มันเลื้อยเข้าไปโอบรอบไหล่ของเด็กสาวและใช้ลิ้นเลียแก้มใสของนาง
เพราะแก่นโลหิตของมู่เฟิง เสี่ยวเทียนจึงสามารถััได้ถึงกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกันกับมู่เฟิงจากภายในร่างกายของนางได้
สิ่งหนึ่งที่มู่เฟิงไม่ทันสังเกตเห็นก็คือั์ตาของเด็กสาวมีร่องรอยของชีวิตส่องประกายขึ้นจางๆ...