“สมควรทิ้งให้ป่วยตายไปเลย” ิเป่าจูพูดพลางขึงตาใส่เขา
นางน่าจะปล่อยให้เขาไข้สูงจนสมองเพี้ยนกลายเป็คนโง่ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องถูกปรามาสว่าอัปลักษณ์ ซ้ำยังไม่ได้รับคำขอบคุณสักคำ
“พี่หญิง...” ิเป่าอวี้เดินเข้ามา “พี่ไหวฺอวี้ตื่นแล้วหรือ ดีขึ้นบ้างหรือไม่ เอ๋ พี่...เหตุใดใบหน้าของท่าน...”
เขาเป็คนหลับลึกมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้ฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ไม่สะดุ้งะเื เช้าตื่นขึ้นมาพบว่ามีแต่ตนเองคนเดียว ยังนึกว่าพี่สาวตื่นก่อนจึงลุกออกมาห้องปีกตะวันตกดูพี่ไหวฺอวี้ก่อนเขา
เมื่อมาถึงเห็นทั้งสองคนกำลังจ้องหน้ากันอย่างโกรธเคือง นับั้แ่หลี่ไหวฺอวี้เข้ามาอยู่ในบ้าน ก็เป็เช่นนี้จนกลายเป็เื่ปกติไปแล้ว มิใช่เื่แปลก แต่ไยพี่สาวถึงหน้าแดงไปแถบหนึ่งเช่นนี้เล่า
ใบหน้า? ิเป่าจูคลำที่ใบหน้าซีกข้างของตนเอง ไม่ค่อยเรียบเท่าใดนัก นางโน้มตัวลงไปมองในอ่างน้ำ ในที่สุดก็มองเห็นดวงหน้าของตนเองอย่างชัดเจนบนผิวน้ำใสแจ๋ว
มีรอยแดงแถบหนึ่งประทับอยู่บนพวงแก้ม เป็รอยแนวของไม้ไผ่
คาดว่าสาเหตุคงเป็เพราะเมื่อคืนถูกหลี่ไหวฺอวี้จับมือไว้ไม่ปล่อย จึงต้องนอนตะแคงหลับอยู่ข้างเตียง นึกแล้วก็หันไปทำตาขวางใส่ตัวต้นเหตุ
หลี่ไหวฺอวี้ท่าทางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย อันที่จริงเขาตื่นนานแล้ว พอเห็นมือของพวกเขาสองคนประสานกันอยู่ก็ตะลึงลาน
จนกระทั่งพบว่าิเป่าจูเริ่มรู้สึกตัว จึงรีบหลับตาลง แล้วแสร้งทำเป็ใตื่นจากเสียงรบกวน
“โอ๊ย! เ้าอ่อนโยนหน่อยสิ”
ขณะกำลังขบคิด ข้อมือก็ถูกข่วนอย่างรุนแรง หลี่ไหวฺอวี้ร้องลั่นจนดูเกินจริง ิเป่าอวี้แอบหัวเราะอยู่ข้างๆ อย่างอดไม่ได้
“วันนี้นอนอยู่กับบ้าน ห้ามแล่นไปไหนส่งเดช” ิเป่าจูสำทับ ก่อนตรวจชีพจรดู พบว่าชีพจรไหลลื่นเป็ปกติ แม้จะอ่อนแรงอยู่บ้าง แต่ก็ดีขึ้นมาก น่าจะไม่มีไข้แล้ว แต่เพิ่งฟื้นไข้แรกๆ ต้องพักผ่อนให้มากถึงจะหายดี
หลังกำชับประโยคหนึ่ง ิเป่าจูก็เก็บผ้าฝ้ายบนตัวของหลี่ไหวฺอวี้โยนใส่อ่างน้ำ แล้วยกออกไปนอกเรือน
“พี่ไหวฺอวี้ ท่านยั่วโทสะพี่สาวข้าอีกแล้ว” ิเป่าอวี้เห็นพี่สาวเดินออกไป ส่วนตนเองก็สนุกพอแล้ว ถึงเอ่ยปาก
“ไยข้าต้องยั่วโทสะนาง” หลี่ไหวฺอวี้ยังปากแข็ง ก่อนล้มตัวนอนพักผ่อนต่อ เขาต้องทำตามคำแนะนำของหมอ พักฟื้นดูแลตนเองให้ดี
ิเป่าจูเอาผ้าไปซักในสวน ใช้น้ำที่เหลือรดสมุนไพรที่ปลูกไว้ แล้วกลับไปห้องครัว
นางทำโจ๊กในหม้อจากข้าวที่เหลือเมื่อคืน โรยผักจี้ลงไป ได้สามถ้วยเต็มๆ ยังมีเต้าหู้แห้งปรุงรสอยู่อีกหน่อย เป็อาหารเช้าได้หนึ่งมื้อพอดี
พอกินข้าวเสร็จ ิเป่าจูก็แต่งตัวอย่างเรียบง่ายแล้วขึ้นไปหลังเขา นางจำได้ว่าเคยเห็นสมุนไพรที่เถ้าแก่หวังมอบหมายให้หาเมื่อสองสามครั้งก่อนหน้านี้
เื่หาให้เจอไม่ใช่ปัญหา สิ่งสำคัญคือปริมาณที่เขา้าไม่น้อยเลย ขึ้นเขาให้เช้าที่สุดจะดีกว่า
เมื่อวานฝนกระหน่ำตลอดทั้งคืน กลิ่นสดชื่นของดินตลบอบอวลไปในอากาศ
เส้นทางที่เคยเดินก่อนหน้านี้ยังไม่แห้ง กลายเป็โคลนลื่นเฉอะแฉะ แต่กลับเป็ทางที่ช่วยประหยัดเวลาในการขึ้นเขาที่สุดแล้ว
แต่ถ้าไปทางนั้นก็เสี่ยงที่จะลื่นตกลงมาจากเนินเขา ได้ไม่คุ้มเสีย
หลังจากพิจารณาตรึกตรองแล้ว ิเป่าจูก็ตัดสินใจขึ้นเขาจากฝั่งตะวันตกซึ่งเป็ป่าเสียเป็ส่วนใหญ่ และไม่ค่อยมีใครเลือกไปกัน
หลังจากเดินอยู่ครึ่งวัน ผ่านป่าผืนแรกมา ถึงจะได้ระยะทางเพียงหนึ่งในสามของูเา ยังไม่ทันเข้าไปในป่าผืนที่สอง ก็ได้ยินเสียงแว่วมา
“น่ารำคาญจริงๆ พวกหญ้าบ้าๆ เหล่านี้บาดผิวผู้อื่นจนแสบไปหมดแล้ว” น้ำเสียงของสตรีแสร้งดัดจริต กระซิบแ่อย่างเง้างอดฉอเลาะ
ิเป่าจูหัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ตระหนักได้ทันทีว่าเจอกับอะไรอยู่ นางไม่สนใจที่จะอยู่นานไปกว่านี้ จึงหมุนตัวกลับ ใคร่ครวญว่ายังมีเส้นทางไหนที่สะดวกต่อการเดินขึ้นไปอีกบ้าง
แต่เดินยังไม่ถึงสองก้าว ก็มีเสียงของบุรุษแว่วมาอีก ิเป่าจูหันหลังกลับ พลางซ่อนตัวหลังต้นไม้ใหญ่ เสียงนี้ฟังดูคุ้นหูอยู่ไม่น้อย...
“น้องจินจือ ยอดดวงใจของพี่ อย่างอแงนักสิจ๊ะ นี่เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้ มามะ รีบมาให้เหล่าจือชื่นใจหน่อย”
เสียงของเขาแหบพร่า ร้อนใจจนแทบไม่ไหว
หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดสักพัก ิเป่าจูก็คาดเดาได้แล้ว
นางชะโงกศีรษะมองไปตามทิศทางที่มาของเสียงอย่างระมัดระวัง ก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย กำลังเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่บนพื้นหญ้า
ระหว่างพลิกไปพลิกมา ิเป่าจูก็มองเห็นรูปโฉมของทั้งสองอย่างชัดเจน ซึ่งเป็การยืนยันการคาดคะเนของนาง
ชายผู้มีน้ำเสียงคุ้นหูหาใช่ใครอื่น แต่เป็ิเถี่ยจู้
น้องจินจือ... สมองของิเป่าจูครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ที่ป้าสะใภ้มาใส่ร้ายป้ายสีนางถึงเรือนว่าขโมยเงิน ข่าวนั้นก็เผยแพร่มาจากปากของสตรีที่ชื่อจ้าวจินจือ
ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าทั้งสองคนจะถึงกับลักลอบเป็ชู้กันลับหลังหวังซื่อ
ิเป่าจูแค่นเสียงเยาะ เมื่อกระจ่างใจแล้ว ก็ไม่โอ้เอ้อีกต่อไป ออกมาจากต้นไม้อย่างเงียบเชียบแล้วขึ้นเขาต่อ
เดิมทีนึกว่ามีสายฝนพรำลงมา หมอกพิษหลังเขาน่าจะเบาบางลงไปด้วย แต่ที่น่าแปลกใจคือนอกจากจะไม่ลดลงแล้วกลับยังหนาแน่นขึ้นอีกด้วย
ทันทีที่เดินเข้าไป ิเป่าจูก็รู้สึกเหมือนสมองของนางจะบวมออกมา จึงรีบหยิบยาลูกกลอนสีดำที่เตรียมไว้ใส่เข้าปากกลืนลงไปทันที ถึงจะค่อยๆ สงบอารมณ์และผ่านไปได้อย่างปลอดภัย
แต่เป็เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน วันนี้นางสามารถเก็บสมุนไพรได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครขึ้นมาหลังเขาเวลานี้
เป็ไปตามความทรงจำของนางทุกอย่าง สมุนไพรที่เถ้าแก่หวัง้ามีครบหมดตามรายชื่อ จำนวนไม่มากมาย แต่ก็มีเพียงพอ
ิเป่าจูเด็ดไปก็ครุ่นคิดไป ตอนนี้แค่ขายสมุนไพรยังเป็เช่นนี้ ภายหน้าเปิดโรงหมอ ปริมาณที่ต้องใช้จะยิ่งมากกว่านี้
หากเอาแต่เก็บไม่เหลือไว้บ้าง นานวันเข้าก็อาจประสบกับภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่ก็อาจต้องนั่งกินสมบัติเก่า
จะปล่อยให้เป็เช่นนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด หากมีเวลา นางจะต้องพิทักษ์รักษาผืนดินล้ำค่าหลังเขาแห่งนี้ พยายามทำให้ที่นี่ค่อยๆ กลายเป็ป่าที่เต็มไปด้วยสมุนไพร กลายเป็เขาสมุนไพร เช่นนี้ถึงจะเก็บได้ไม่มีวันหมด ใช้ได้ไม่มีวันสิ้นสุด
ิเป่าจูนำสมุนไพรมาปลูกในสวนเหมือนทุกครั้ง ปล่อยให้มันโตตามยถากรรม หลังจากนั้นสองวันถึงขุดขึ้นมาอีกครั้ง นำใส่กระบุงก่อนเดินทางเข้าเมือง
แต่บังเอิญระหว่างทางพบกับท่านลุงที่เคยให้นางขึ้นเกวียนไปด้วยครั้งก่อน จึงขึ้นเกวียนไปอีกครั้งโดยไม่เกรงใจ
“แม่หนูเข้าเมืองอีกแล้วรึ” ชายชราพูดคุยกับิเป่าจูอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมกับบังคับเกวียนไปด้วย
“ใช่เ้าค่ะ ไปขายสมุนไพร หาเงินมาจุนเจือครอบครัว” หนแรกยังแปลกหน้า หนที่สองก็คุ้นเคยแล้ว ิเป่าจูจึงไม่เห็นว่าเป็คนอื่นคนไกล ย่อมตอบกลับไป
ท่านลุงผู้นี้เป็คนจากหมู่บ้านอื่น อยู่ค่อนข้างไกลจากหมู่บ้านของพวกนาง แต่ทางเข้าเมืองมีแค่ทางเดียว ดังนั้นถึงพบกันได้ ท่านลุงใจดี นางก็ไม่ปิดบังเป้าหมายของตนเอง
“หา! เช่นนั้นเ้าก็รู้จักสมุนไพรน่ะสิ เช่นนั้นเ้าคงได้ยินเื่ใหญ่ในเมืองแล้วกระมัง” พอชายชราได้ยินว่าิเป่าจูจะไปขายสมุนไพร ก็รู้สึกตื่นเต้น น้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้นสองส่วน
“บอกตามตรง ข้าไม่มีความรู้เื่สมุนไพรสักนิด แต่ที่บ้านมีน้องชายซุกซนอยู่คนหนึ่ง ชอบเก็บสมุนไพรมาสุ่มใช้ดูส่งเดช นานวันเข้าก็เริ่มพบสรรพคุณที่น่าอัศจรรย์ ก็เลยอยากลองขายดูว่าจะหาเงินได้หรือไม่ สามสี่วันจะเข้าเมืองสักครั้ง ว่าแต่เื่ใหญ่อะไรหรือเ้าคะ ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”
เพื่อป้องกันหนึ่งในหมื่น [1] ิเป่าจูยังคงต้องใช้เวลาอธิบายบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เื่ใหญ่จากปากเขาก็ดึงดูดความสนใจของนางจริงๆ อยากฟังว่าเื่ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพรคือเื่อะไร
“ที่แท้ก็เป็อย่างนี้นี่เอง” ชายชราฟังแล้วก็พยักหน้า คิดว่าิเป่าจูเป็เด็กที่ชะตาอาภัพแต่รู้ความยิ่ง หลังจากนั้นก็เล่าเื่ใหญ่ที่เกิดขึ้นในเมืองให้ฟังด้วยความตื่นเต้น
“ในเมืองมีโรงหมอแห่งหนึ่งชื่อจี้ซั่นถังเ้าเคยได้ยินหรือไม่ เถ้าแก่หวังอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วสุขภาพยังแข็งแรงมาก คนมากมายต่างแห่กันไปพบเขาเพื่อรับการรักษา...”
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งในหมื่น หมายถึงสิ่งที่ไม่คาดคิด มาจากสำนวนที่ว่า หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวแต่หนึ่งในหมื่น ซึ่งหมายความว่า แม้โอกาสที่จะเกิดหายนะจะมีเพียงหนึ่งในหมื่นส่วนก็อย่าชะล่าใจ เป็คติเตือนใจให้อย่าประมาท
