ซย่านีลังเลที่จะพูด “นี่มัน...”
“เ้าของเรือนหลังนี้แซ่เฉิง เขามีน้องชายเรียนอยู่ต่างประเทศคนหนึ่ง เพราะเื่นี้ทำให้ตัวเขาถูกลากเข้าไปพัวพันด้วย เขาก็เลยถูกส่งตัวกลับไปทำนาทำไร่เรือนหลังนี้ก็เลยถูกยึดคืนสู่ประเทศ หลังจากนั้นประเทศก็ทำการแจกจ่ายให้กับคนไร้บ้าน แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งได้รับการพิพากษาใหม่เรือนหลังนี้ก็เลยหวนคืนสู่ผู้เป็เ้าของอีกครั้ง” เฝิงหย่งกล่าวออกมาอย่างเสียดาย “เรือนดีๆ ขนาดนี้พังยับเยินหมดแล้วจริงๆ”
ซย่านีเอ่ยถาม “คืนเรือนให้เขาแล้ว เขาไม่มาอยู่เองหรือคะ?”
เฝิงหย่งส่ายหน้า “เขามีเรือนอยู่อีกหนึ่งหลัง เขาบอกว่าสถานที่นี้เป็ที่ที่น่าเศร้าสำหรับเขา เขาไม่อยากมาอยู่ที่นี่แต่ก็ตัดใจขายไม่ลง ดังนั้นจึงวางแผนว่าจะปล่อยเป็เช่าเรือนหลังนี้แทน”
ซย่านีเดินตามเฝิงหย่งเพื่อวนดูรอบๆ เรือนสี่ประสาน[1] เรือนสี่ประสานแห่งนี้ใหญ่โตเป็อย่างยิ่ง เป็เรือนสามชั้น[2] มีเรือนด้านข้างและเรือนด้านหลัง เรือนหลังนี้ตั้งอยู่มานานนับสี่สิบปี ไม่สิมันยังคงตั้งอยู่ต่อไปอีกยี่สิบปีให้หลังจนมีราคาขายสูงถึงหลายร้อยล้าน
หากเธอมีเรือนเช่นนี้เธอและลูกๆ ก็จะมีกินมีดื่มไม่ขัดสนไปชั่วชีวิต
ซย่านีดวงตาร้อนวูบวาบ หัวใจเต้นรัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธออยากจะเป็เ้าของเรือนหลังนี้แต่พอลองคิดดูแล้ว เธอมีเงินอยู่ในมือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฟังจากที่เฝิงหย่งเพิ่งเล่ามา ่เวลานี้เ้าของเรือนเองก็ไม่อาจตัดใจขายเรือนหลังนี้ได้ลง ซย่านีพลันจิตใจสงบนิ่งและได้สติกลับมาอีกครั้ง
“เขาปล่อยเช่าเรือนหลังนี้อยู่ที่ราคาเท่าไหร่หรือคะ?” ซย่านีถาม
เฝิงหย่งตอบ “เดือนละห้าสิบหยวน” ตอนที่ชายหนุ่มกล่าวตัวเลขนี้ออกมา ปากของเขาสั่นเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรแล้วผู้คนในกรุงปักกิ่งมากกว่าครึ่งหาเงินต่อเดือนได้ไม่ถึงห้าสิบหยวนเลยด้วยซ้ำ เขาเกาหัวพลางกล่าวกับซย่านีว่า “แพงไปหน่อยจริงๆ อีกอย่างเรือนของเขาตอนนี้ก็เละเทะมาก ถ้าจะเก็บกวาดก็ลำบากมากเช่นกันแถมยังต้องซื้อเครื่องเรือนใหม่อีก ไม่รู้ว่าต้องเสียเงินอีกเท่าไหร่ ดูแล้วไม่คุ้มเลยจริงๆ...ฉันยังมีเรือนอีกหลังนะเดี๋ยวจะพาเธอไปดูก่อน อันที่จริงฉันว่าเรือนหลังนั้นเหมาะกับเธอมากกว่า”
ซย่านีรู้ว่าสิ่งที่เฝิงหย่งพูดมานั้นมีเหตุผล ในเวลานี้เรือนหลังนี้ไม่เหมาะกับเธอจริงๆ เหตุผลไม่ใช่เป็เพราะค่าเช่าราคาแพงแต่เป็เพราะเรือนหลังนี้ใหญ่โตเกินไปสำหรับเธอ หากจะบำรุงรักษาก็คงจะยุ่งยากอย่างที่เฝิงหย่งบอกแต่เธอชอบเรือนหลังนี้มากจริงๆ ซย่านีลากนิ้วไปตามเสาทางเดิน เธอรู้สึกเหมือนตนเองได้ัักับ่เวลาหลายร้อยปี
ซย่านีอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าในอดีตมีเหตุการณ์เช่นไรเกิดขึ้นที่เรือนหลังนี้กันแน่
“ซย่านี ซย่านี?” เฝิงหย่งร้องเรียกเธอ “กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”
ซย่านีได้สติกลับมา เธอหันไปถามเฝิงหย่ง “พี่เฝิงหย่ง พี่ว่าเรือนหลังใหญ่ขนาดนี้จะตั้งราคาขายเท่าไหร่กันหรือ?”
เฝิงหย่งกวาดสายตามองไปรอบๆ พลางกล่าวตอบ “ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็น่าจะประมาณหนึ่งถึงสองหมื่นล่ะมั้ง?”
ซย่านีสูดหายใจเข้าลึกๆ อากาศเย็นฉ่ำไหลเวียนเข้าสู่ปอด จากนั้นเธอก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา “นั่นสินะ ไม่ว่าอย่างไรก็คงสักหมื่นสองหมื่นหยวนนั่นแหละ”
เธอทำการค้ามาได้หนึ่งสัปดาห์เก็บเงินได้พันกว่าหยวน เดิมทีเธอพอใจมากๆ อยู่แล้ว ตอนนั้นเธอรู้สึกว่าตนเองช่างเก่งกาจเหลือเกิน ทว่าตอนนี้หากลองเทียบเงินที่เธอมีในมือกับเรือนสี่ประสานหลังนี้ดูแล้ว เงินเท่านี้ก็ไม่เท่าไรเลยจริงๆ
เฝิงหย่งเองก็ยังถอนหายใจ “หากอาศัยแค่เงินเดือนล่ะก็ ชั่วชีวิตนี้ก็คงไม่มีปัญญาซื้อเรือนสี่ประสานได้หรอก” เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ไม่สิ อย่าว่าแต่เรือนแบบสามชั้นเลยต่อให้เป็เรือนหลังเดียวก็คงซื้อไม่ไหว”
พอเขาเห็นว่า่นี้เซี่ยงเหมยทำการค้าจนได้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ เฝิงหย่งก็เกิดความคิดบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขากำลังคิดเื่ที่จะลาออกจากงานประจำแล้วมาร่วมกันทำธุรกิจกับเซี่ยงเหมย
“พี่เฝิงหย่ง พี่ช่วยลองถามๆ ดูให้ฉันทีนะคะว่า คุณชายแซ่เฉิงผู้นี้คิดจะขายเรือนสี่ประสานหลังนี้ตอนไหน ถ้าพี่รู้แล้วฉันรบกวนพี่ช่วยแจ้งทีนะคะ”
“เธอคิดจะซื้อเรือนหลังนี้หรือ?” เฝิงหย่งตกตะลึง
ซย่านีพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ ฉันชอบเรือนหลังนี้มากเลย...ตอนนี้ฉันคงซื้อไม่ไหวแน่ๆ อีกอย่างตอนนี้คุณชายแซ่เฉิงเองก็ยังไม่คิดจะขายมันด้วย แต่หลังจากนี้ รอฉันเก็บเงินให้มากขึ้นอีกหน่อยหรือรอให้คุณชายแซ่เฉิงคิดอยากจะขายเรือนหลังนี้เมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าตอนนั้นฉันอาจจะเก็บเงินได้มากพอจนสามารถซื้อเรือนหลังนี้ก็ได้นี่เนอะ?”
เฝิงหย่งยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่ ที่เธอพูดมาก็ถูก” ดูจากความเร็วในการหาเงินของซย่านีใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่ช้าก็เร็วเธอจะต้องเก็บเงินซื้อเรือนได้อย่างแน่นอน เฝิงหย่งยังคงมั่นใจในจุดนี้ “เอ่อ ว่าแต่ซย่านีเธอบอกว่าจะต้องเก็บเงินซื้อเรือนใช่ไหม?”
ซย่านีตอบ “ใช่แล้วค่ะ รอให้ถึงวันที่พวกพี่มีลูกกันแล้ว หากไม่มีเรือนสักหลังเป็ของตัวเองเช่นนั้นจะให้ลูกชายแต่งภรรยาได้อย่างไรเล่า? ตามที่ฉันคิดล่ะก็อย่างไรก็จะต้องซื้อเรือนไว้ อีกทั้งยังต้องรีบซื้อด้วย ทางที่ดีควรจะต้องซื้อเก็บไว้เยอะๆ เลยเชื่อฉันเถอะค่ะ รับรองพี่ไม่ผิดหวังแน่นอน!”
ทว่าเฝิงหย่งกลับไม่เชื่อซย่านี เขาคิดว่าซย่านีกำลังล้อเล่นอยู่ต่างหาก “จะเอาเรือนหลายหลังไปทำไมกันมีแค่เรือนที่อยู่สักหลังไม่พอหรือ?”
ซย่านียิ้มอย่างมีลับลมคมในแล้วกล่าวว่า “พี่เชื่อฉันเถอะค่ะ วันหน้าพี่จะต้องขอบคุณฉันแน่นอน”
เฝิงหย่งกล่าว “…ไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปดูเรือนอีกหลัง”
“เรือนหลังนี้อยู่ใกล้โรงเรียนของเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์กับหยางหยางมากที่สุด ใช้เวลาเดินเท้าประมาณสิบนาทีก็ถึงแล้ว เดิมทีเรือนหลังนี้เป็เรือนห้าชั้นซึ่งเคยเป็ที่อยู่อาศัยของพ่อค้าวาณิชหลวงสักคนใน่ราชวงศ์ชิงนี่แหละ ต่อมาราชวงศ์ชิงล่มสลายคนในเรือนก็เลยเก็บข้าวของหนีหายกันไปทิ้งไว้เพียงเรือนหลังนี้ และชายชราคนหนึ่งที่คอยดูแลเรือนอยู่แต่เขาไหนเลยจะดูแลที่นี่ได้หมด นอกจากเรือนรับใช้ของเขาแล้ว ภายในเรือนหลังนี้ก็ถูกคนแบ่งออกเป็เรือนหลายหลัง เรือนที่ฉันเล่าให้เธอฟังก็คือเรือนที่ผู้เฒ่าคนนั้นอาศัยอยู่นั่นแหละ ตอนนี้ผู้เฒ่าคนนั้นจากไปแล้วแต่เขากลับทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ว่าห้ามขายเรือนหลังนี้เด็ดขาด เขายังบอกอีกว่าวันหน้ายังต้องคืนเรือนหลังนี้ให้แก่เ้านายของเขา ดังนั้นลูกชายของผู้เฒ่าคนนั้นก็เลยวางแผนจะปล่อยเช่าเรือนหลังนี้แทน”
ซย่านีฟังจบก็รู้สึกะเืใจยิ่งนัก “ช่างเป็ข้ารับใช้ที่ภักดีเสียจริง”
เฝิงหย่งส่ายหน้ากล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ข้ารับใช้ที่ภักดีอะไรกัน นี่มันเรียกว่าสันดานทาสไม่เปลี่ยนเสียมากกว่า นี่มันยุคสมัยไหนแล้วก่อตั้งประเทศมาตั้งสามสิบกว่าปีทุกคนในประเทศมีสิทธิเท่าเทียมกัน มีอย่างที่ไหนมาแบ่งแยกเ้านายกับข้ารับใช้”
ซย่านีหลุดหัวเราะ “ใช่แล้ว พี่เฝิงหย่งพูดถูกแล้วค่ะ”
ชายชราถูกปลูกฝังชุดความคิดเยี่ยงทาสั้แ่เด็ก หลังจากตัวเขาตายไป ความคิดของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนจึงกล่าวได้เพียงว่าระบบศักดินาช่างทำร้ายผู้คนจริงๆ อย่างไรก็ตามชายชราก็ยังยืนหยัดรักษาความตั้งใจเดิมเอาไว้ไม่โลภต่อสิ่งของของผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงสมควรได้รับการยกย่องเป็อย่างสูง
ไม่นานซย่านีก็เจอเรือนที่เฝิงหย่งบอกที่นี่เป็ดังที่เขากล่าวไว้จริงๆ เรือนหลังนี้ไม่ใหญ่มากนัก พื้นที่ประมาณสิบตารางเมตรเท่านั้นมีกระถางดอกไม้เรียงรายกันเป็แถวอยู่ข้างกำแพง กระถางหลายใบเต็มไปด้วยพลังชีวิตแม้ว่าจะไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควรแต่ต้นไม้ในกระถางกลับเขียวชอุ่ม ทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นต้นไม้ใบหญ้าพวกนั้นพลอยรู้สึกชอบใจขึ้นมาบ้าง
ผังเรือนหลังนี้คล้ายกับเรือนตระกูลซ่งเป็อย่างยิ่ง มีห้องโถงหลักเชื่อมกับเรือนด้านหลังทั้งสองฝั่ง อย่างเรือนปีกตะวันออกและเรือนปีกตะวันตกซึ่งเธอสามารถอาศัยอยู่กับลูกๆ ในห้องทางทิศตะวันออกได้ ส่วนห้องทางทิศตะวันตกก็สามารถทำเป็ห้องทำงานได้เช่นกัน ตรงเรือนฝั่งปีกตะวันออกยังมีอีกสองห้องย่อยซึ่งสามารถแบ่งให้ลูกทั้งสองคนของเธอได้ นอกจากนั้นในเรือนฝั่งปีกตะวันตกก็ยังมีอีกสองห้องย่อยเช่นกันซึ่งสามารถใช้ทำเป็ห้องครัวได้อีกด้วย
ที่นี่แตกต่างจากเรือนสามชั้นหลังก่อนหน้านี้มาก เห็นชัดว่าเรือนหลังนี้ได้รับการดูแลเอาใจใส่และซ่อมแซมเป็อย่างดี พื้นเรียบเสมอกัน สีแดงสดใสดูแล้วให้ความรู้สึกรื่นเริงอีกทั้งภายในเรือนยังมีเครื่องเรือนครบถ้วนสมบูรณ์ ซย่านีไม่จำเป็ต้องซื้ออย่างอื่นเพิ่มเลยสักชิ้นเรียกได้ว่าหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลยทีเดียว
[1] เรือนสี่ประสาน 四合院 คือ เรือนแบบจีนโบราณซึ่งอาคารแต่ละหลังจะหันหน้าเข้าหากันโดยมีลานบ้านอยู่ตรงกลางเพื่อเป็จุดศูนย์กลางของบ้าน
[2] เรือนสามชั้น 三进院子 คือเรือนสี่ประสานแบบมีสามตอน
