หนานิเหอหลุดยิ้มออกมา เขาลูบผมนุ่มสลวยของเยี่ยนเจาเจาแล้วส่ายหัวเบาๆ
“พี่ชายรอง ข้าบอกให้ท่านแม่หาหมอมารักษาท่านดีไหมเ้าคะ?”
ข้างหลังแม่นางน้อยเยาว์วัยมีต้นไห่ถังเพิ่งแตกดอกตูม กอปรกับน้ำคำนุ่มนวลไพเราะเหมือนความอ่อนโยนในดวงตาของนาง ทำให้ฉากนี้ราวกับเป็ภาพฝันเหนือคำพรรณนาของหนานิเหอ
เขาหายใจแ่เบาราวกับกลัวว่าหากหายใจแรงแล้วแม่นางน้อยตรงหน้าจะปลิวหายไป
“พี่ชายรอง พี่ชายรองเ้าคะ?”
เยี่ยนเจาเจาโบกมือไปมาตรงหน้าหนานิเหอ เขาจึงได้สติกลับมาทันควันและพยักหน้าอย่างว่าง่าย
แล้วเสียงของเยี่ยนเจาเจาก็ราวกับลอยห่างออกไปอีกครั้ง ภายในดวงตาของหนานิเหอเหลือเพียงริมฝีปากสีแดงสดที่อ้าๆ หุบๆ กับั์ตาเปื้อนยิ้มเปล่งประกายของเยี่ยนเจาเจา
“...เอ๊ะ?”
เยี่ยนเจาเจากำลังเอ่ยถึงเื่ที่ขอให้องค์หญิงตามหาผู้าุโหนานซานมารักษาหนานิเหอ
ผู้าุโหนานซานคือผู้บำเพ็ญตนชื่อเสียงโด่งดังในราชวงศ์ต้าซี ได้ยินว่าท่านผู้นี้ประกอบอาชีพหมอรักษาผู้ยากไร้ มีงานศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับจมูกปากมากมาย เยี่ยนเจาเจารู้ว่าท่านแม่ของตนมีความสัมพันธ์บางอย่างกับผู้าุโหนานซาน เลยอยากเชิญผู้าุโมาวินิจฉัยหนานิเหอ
คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะใจลอยเหมือนไม่ได้ฟังนางเสียอย่างนั้น
เขาแตะมือลงบนริมฝีปากของนางแล้วบดคลึงแ่เบา
ใบหน้าเยี่ยนเจาเจาแดง “แปร๊ด” ทันที
“พี่...พี่ชายรอง ท่านทำอะไรเ้าคะ”
ัันี้ลึกซึ้งมากจนติ่งหูเยี่ยนเจาเจากลายเป็สีแดงราวกับช้ำเื ประจวบเหมาะกับกู้เจี้ยนจูงเฉินเอ้อร์ออกมาพบเข้าพอดี
“โอ๊ะโอ กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?”
เฉินเอ้อร์เหมือนลืมความทุกข์ในอดีตไปแล้ว นางวิ่งะโโลดเต้นมาอยู่ข้างกายเยี่ยนเจาเจา พลางมองใบหน้าแดงก่ำของเจาเจาอย่างสนอกสนใจ
“สุดยอดเลย!”
หนานิเหอหลุบั์ตาลง ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปลายนิ้วของตน เมื่อทุกคนต่างเห็นว่าบนผ้าบนเช็ดหน้าผืนนั้นเปื้อนเศษขนมเปี๊ยะนิดหน่อยก็พลันเข้าใจ
“เอาละๆ ไปได้แล้ว เ้าบอกว่าอยากทานฝูหรงปิ่ง[1] ของร้านอู่เซียงไจไม่ใช่หรือ ข้าจองไว้สองกล่อง หากชักช้าจะโดนคนอื่นเอาไปนะ”
กู้เจี้ยนแลกเปลี่ยนสายตากับหนานิเหอชั่วครู่ก่อนลากเฉินเอ้อร์จากไป
เมื่อเห็นเศษขนมชิ้นเล็กๆ บนผ้าเช็ดหน้า เยี่ยนเจาเจาก็รู้สึกอายเล็กน้อย แต่ไม่รู้ทำไมตนถึงเกิดความริษยาที่ยากจะเข้าใจขึ้นมาอีกครั้ง
หนานิเหอเก็บผ้าเช็ดหน้า แล้วจุ่มชาเขียนลงบนโต๊ะข้างกายเยี่ยนเจาเจา “เจาเจาอยากให้ข้าพูดหรือ?”
เยี่ยนเจาเจารีบพยักหน้า หนานิเหอจึงยิ้มบางเบา
ตอนนั้นเองลมนอกหน้าต่างก็โหมแรงขึ้นจนพัดเม็ดฝนเข้ามา เยี่ยนเจาเจากุลีกุจอปิดหน้าต่างข้างตัว พลันได้ยินเสียงแ่เบาราวกับสายน้ำอยู่ข้างหู
“ได้”
เสียงใครกัน?
เยี่ยนเจาเจาหันซ้ายหันขวา ทว่าไม่เห็นใครอื่นเลยเข้าใจว่าตนหูฝาดไป
สักพักเสี่ยวชุ่ยก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาพลางเอ่ยว่า “คุณหนู คุณหนูใหญ่มาแล้วเ้าค่ะ”
เยี่ยนเจาเจาแปลกใจเล็กน้อย
“นางป่วยอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดรั้นจะมาเล่า?”
เสี่ยวชุ่ยยักไหล่ก่อนเอ่ยกระซิบ “ข้างนอกเหมือนจะเริ่มคึกคักแล้ว กล่าวกันว่า้าจัดตั้งชุมนุมกวีอะไรสักอย่าง คุณหนูไปดูไหมเ้าคะ?”
เยี่ยนเจาเจาจึงนึกได้ว่าชาติก่อนเยี่ยนฟางหวาเฉิดฉายจากการเขียนกลอนยอดเยี่ยมบทหนึ่งในชุมนุมกวีแห่งนี้
ทว่าเยี่ยนเจาเจาก็ยังนึกออกอีกว่า หลังจากนี้่ที่เยี่ยนฟางหวาพยายามตีสนิทกับนาง เยี่ยนฟางหวาเคยบอกว่าได้เตรียมบทกลอนนี้ไว้ล่วงหน้า ทั้งยังเชิญคนไม่เกี่ยวข้องมาปรับแก้ด้วย
ฝีมือประพันธ์บทกวีนิพนธ์ของเยี่ยนฟางหวาอยู่ในระดับใดเจาเจาไม่ทราบ แต่รู้เพียงว่าหากวิชาความรู้นางเป็ของจริง ชาติก่อนไม่มีทางเขียนเพียงหนเดียวแน่
คนปรับกลอนคือ...เยี่ยนเจาเจาพลันหรี่ั์ตาลง
ผู้นั้นคือทั่นฮวา[2] ที่เป็ทั่นฮวาหญิงคนแรกหลังเปิดสอบเคอจวี่ของสตรีในอีกสองปีข้างหน้า นามว่าเหรินเหยา เป็แม่ครัวในอาคารถงเชวี่ย
ทว่าเยี่ยนเจาเจาไม่ตั้งใจจะข้องเกี่ยวกับเื่นี้ เลยส่งเสี่ยวชุ่ยออกไปสอดส่องดูเท่านั้น
ประมาณครึ่งจิบชา[3] ต่อมา นางก็ได้ยินเสียงเอะอะมาจากข้างนอก คาดว่าคงเป็กลอนยอดเยี่ยมของเยี่ยนฟางหวาที่โดดเด่นเหนือใครจนคนโห่ร้องกันทั่วห้องโถง
ขณะเดียวกัน นางก็ได้ยินเสียงหยิ่งผยองดังมาจากทางหอเก็บดารา “เยี่ยนเจาเจา พี่สาวเ้าเขียนกลอน เ้าไม่เขียนบ้างเล่า?”
เยี่ยนเจาเจาคุ้นเคยกับเ้าของเสียงนี้อย่างยิ่ง นางเป็หนึ่งในพี่น้องหญิงหลายคนของเยี่ยนฟางหวา และเป็คนที่ตนรำคาญที่สุดในชาติก่อน
นางคือเหลียงซือซือ เป็น้องสาวร่วมอุทรของเล่ออันจวิ้นจู่ อายุไล่เลี่ยกับเยี่ยนเจาเจา มีนิสัยชอบเอาชนะในทุกเื่ นางคิดว่าตนฐานะเท่าเยี่ยนเจาเจาเลยมักจะหาเื่ก่อกวนอยู่บ่อยๆ
แต่เหลียงซือซือก็ไม่ได้เป็คนน่าชังจริงๆ นางเพียงแค่อายุน้อยจึงหนีการชักใยของเยี่ยนฟางหวาไม่พ้น เยี่ยนเจาเจาจึงคร้านจะคิดเล็กน้อยคิดน้อยกับนาง
ทว่าเยี่ยนฟางหวากลับยั่วยุนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่การจัดตั้งชุมนุมกวีไม่เกี่ยวข้องกับนางก็ยังโยงกันอยู่ได้ เช่นนี้อย่าหาว่าเยี่ยนเจาเจาหักหน้านางแล้วกัน
“พี่ชายรอง ท่านช่วยข้าหาคนหน่อยได้ไหมเ้าคะ?”
เยี่ยนเจาเจาหรี่ั์ตาลง ก่อนยิ้มบางเบา
เหลียงซือซือกับเยี่ยนเจาเจาพบกันตรงหน้าหอเก็บดารา นางเห็นเยี่ยนเจาเจาแล้วคันปากอยากพูดจาแดกดันเสมอ
หากเป็ในอดีตเยี่ยนเจาเจาต้องทะเลาะด้วยแน่ คาดไม่ถึงว่าวันนี้นางจะฟังเงียบๆ อย่างเดียว ไม่พูดสิ่งใดเลย จนทำให้เหลียงซือซือโกรธเกรี้ยวไร้ที่ระบาย
ขณะที่เหลียงซือซือกำลังแอบบ่น ก็เห็นเยี่ยนฟางหวาที่เพิ่งชิงตำแหน่งหัวหน้าชุมนุมกวีเดินเยื้องย่างเข้ามาพอดี รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นในแววตา “พี่หญิงหวา ทำไมท่านมาเองเ้าคะ”
ใบหน้าเยี่ยนฟางหวาซีดเซียวผิดปกติ ทว่ากลับดูน่าทะนุถนอมยิ่งกว่าเดิม
เยี่ยนฟางหวาบีบจมูกของเหลียงซือซือด้วยท่าทางสนิทสนมกันมาก “ข้ากลัวเ้าพุ่งออกไปเช่นนี้จะเสียเปรียบ น้องหญิงข้าอายุน้อย เ้าต้องรับมือนางอย่างเลี่ยงไม่ได้”
สตรีสูงศักดิ์จำนวนมากรอบด้านที่กำลังยืนกระจัดกระจายกลุ่มละสองสามคน จนเสียงเครื่องประดับดังกรุ๊งกริ๊ง เมื่อได้ยินคำพูดนี้ต่างก็แอบกระซิบกระซาบนินทากัน
เสียเปรียบหรือ?
นางคงอยากกล่าวว่าหากเหลียงซือซือไปหาเยี่ยนเจาเจาด้วยความโมโหเช่นนี้คงต้องมีการปะทะฝีปากสักยก และไม่เลิกราจนกว่าจะเถียงกันหน้าดำหน้าแดงแน่
เยี่ยนฟางหวายังสุภาพเรียบร้อยเช่นเดิม น้ำคำพอเหมาะพอดี ถึงไม่ผิดที่ตำหนิเยี่ยนเจาเจา แต่ไม่จำเป็ต้องปล่อยคนหัวเราะเยาะก็ได้
“พี่หญิงใหญ่ ท่านพูดเยี่ยงนี้ผิดแล้วเ้าค่ะ”
น้ำเสียงนุ่มนวลนี้เป็เสียงที่เยี่ยนเจาเจาได้ยินไม่บ่อยนัก แต่นางก็นึกออกอย่างรวดเร็วว่านี่คือพี่หญิงของนางเช่นกัน คุณหนูสี่เยี่ยนฟางอู๋ของบ้านรองนั่นเอง
ชาติก่อนนางไม่ได้ติดต่อกับเยี่ยนฟางอู๋มากนัก จำได้เพียงรางๆ ว่าพี่หญิงผู้นี้เป็สตรีอ่อนโยนราวสายน้ำ และสูงส่งประดุจจันทราคนหนึ่ง ปกติชอบอ่านหนังสือที่สุด แม้ชีวิตแต่งงานจะไม่ดีนัก แต่กลับนำทรัพย์สินมาจุนเจือตนตอนหัวเดียวกระเทียมลีบอยู่ข้างกายเหลียงอิน
เยี่ยนฟางหวาขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อนางเบี่ยงตัวกลับมาก็เห็นเยี่ยนฟางอู๋ที่เตี้ยกว่านางนิดหน่อย
สกุลเยี่ยนให้กำเนิดสตรีดีเด่น เหล่าคุณหนูสวยสดงดงามพอๆ กันหมด เยี่ยนฟางอู๋ที่ปรากฏตัวน้อยครั้ง จึงย่อมดูดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเยี่ยนฟางหวาสักนิด
แม้ทั้งคู่จะมีภาพลักษณ์อ่อนโยนเหมือนกัน แต่เยี่ยนฟางอู๋กลับดูบริสุทธิ์สูงส่งกว่าขั้นหนึ่ง กลิ่นอายของผู้มีความรู้กำจายทั่วร่างจนข่มเยี่ยนฟางหวาข้างกาย
เชิงอรรถ
[1] ฝูหรงปิ่ง หมายถึง ขนมข้าวซอยตัดชนิดหนึ่งของจีน แต่ใช้แป้งทอดที่เส้นค่อนข้างสั้น บ้างดูคล้ายกับกลีบดอกฝูหรง (พุดตาน) เลยเรียกขนมฝูหรง
[2] ทั่นฮวา หมายถึง ผู้ที่สอบขุนนางระดับเตี้ยนซื่อ (สอบหน้าพระที่นั่ง) ผ่านจะได้เป็บัณฑิตจิ้นซื่อ และอันดับสามจะมีชื่อตำแหน่งว่าทั่นฮวา
[3] หนึ่งจิบชา หมายถึง หน่วยนับเวลาแบบจีนโบราณ เท่ากับ 15 นาที