ชางลู่จื่อยังมิทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง พลันรู้สึกว่ามีพลังพุ่งมาด้านหลังศีรษะ เขาใยิ่งนักเมื่อรู้ว่าจ้านอู๋มิ่งลงมือลอบกัดอีกครั้ง และเป็่เวลาที่ตนเพิ่งปล่อยมือจากอิ๋นเจี้ยนจื่อ เห็นช่องโหว่ของตนได้ชัดเจน
“ต่ำช้า! ไร้ยางอาย! เลวทราม!” เสียงะโของบรรดาศิษย์สำนักกระบี่ิญญาก่นด่าขึ้นอีกครั้งด้วยความโกรธเคือง
ชางลู่จื่อหันหลังดึงกระบี่ออกมาได้ครึ่งหนึ่งก็ถูกขัดจังหวะด้วยหมัด ดาบถูกกระแทกกลับคืนฝัก เขา้าที่พุ่งร่างหลบหลีก แต่จ้านอู๋มิ่งมาถึงเบื้องหน้าแล้ว สองหมัดระดมชกใส่อย่างรุนแรงอีกครั้ง ชกเพียงห้าหมัดก็ะเิเกราะพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของชางลู่จื่อทลายออก ดังนั้นเพียงแค่กระบวนท่าการต่อสู้ทางร่างกาย ทำให้ชางลู่จื่อซ้ำรอยเดิมของอิ๋นเจี้ยนจื่ออีกครั้ง กลายเป็ดินโคลนเหลวกองหนึ่งอย่างสุดแสนอเนจอนาถ ทั้งยังน่าสลดใจ
หลายครั้งที่เจิงฉู่ไฉคิดจะะโขึ้นเวทีเพื่อไปสังหารจ้านอู๋มิ่งและช่วยชีวิตชางลู่จื่อ แต่กลับถูกสภาวะพลังของเลวี่ยเหวินซิวสะกดข่มไว้ ขอเพียงขยับตัว เลวี่ยเหวินซิวจะมุ่งหน้าเข้าโจมตีอย่างแน่นอน จึงได้แต่มองดูชางลู่จื่อถูกกระทำซ้ำรอยเดิมของอิ๋นเจี้ยนจื่ออย่างหดหู่ใจ
“ไร้ยางอายเกินไปแล้ว ต่ำช้าเกินไปแล้ว…ยังรุนแรงและดุร้ายป่าเถื่อน…” ครั้งนี้กลุ่มผู้ชมด้านล่างเวทีก็ยังรู้สึกว่าจ้านอู๋มิ่งไร้ยางอายเกินไปแล้ว ตนเองขอให้ผู้อื่นจัดการเื่ของศิษย์พี่น้อง แต่กลับลอบโจมตีด้านหลังยามที่ผู้อื่นกำลังวุ่นวายอยู่ นี่มันชั่วร้ายเลวทรามเกินไปแล้วกระมัง
“ฆ่ามันให้ตาย คนต่ำทรามไร้ยางอายเช่นนี้…” บรรดาลูกศิษย์สำนักกระบี่ิญญาพากันโกรธแค้น เลวี่ยเหวินซิวก็รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนักเช่นกัน นี่มันสถานการณ์อันใดกัน ตนเองขอให้ผู้อื่นไปจัดการเื่ศิษย์พี่น้อง กลับลอบโจมตีด้านหลังเขา ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่!
“ขอคำอธิบายให้ข้าหน่อย!” ดวงตาของเจิงฉู่ไฉวาววับด้วยรังสีการฆ่าฟัน จ้านอู๋มิ่งไปแตะถูกเกล็ดย้อนของเขาแล้ว เห็นศิษย์ชั้นยอดอีกคนถูกทำร้ายจนพิการด้วยน้ำมือจ้านอู๋มิ่ง เพลิงโทสะในใจก็ลุกโหมขึ้น ถึงขั้นควบคุมไม่ได้แล้ว
จ้านอู๋มิ่งแค่นเสียง "เชอะ" อย่างดูแคลน หัวเราะอย่างเ็าพลันกล่าวว่า “พวกเขาเป็ศิษย์พี่น้องร่วมสำนัก การเก็บศพให้ศิษย์พี่น้องนับเป็เื่ภายใน แต่ผู้าเ็บนพื้นคือศัตรู ไม่ใช่พี่น้องของข้า หรือว่าศัตรูจะรอให้พวกเ้าจัดการเก็บของแต่งตัวให้เรียบร้อยเสียก่อน ทำแผลให้เสร็จก่อนจึงค่อยมาฆ่าพวกเ้า? เขาจะช่วยหรือไม่ช่วยเกี่ยวข้องอันใดกับข้า ขึ้นมาบนเวทีนี้แล้วก็คือคู่ต่อสู้ของข้า จะพูดเื่กฎเกณฑ์อะไรมากมาย นี่มิใช่การประลองยุทธ์อย่างยุติธรรม นี่คือการต่อสู้กันแบบผลัดคนขึ้นสังเวียนของสำนักกระบี่ิญญาของพวกเ้า ข้ายังจะต้องรอให้พวกเ้าทานข้าวให้เสร็จก่อนหรือถ่ายท้องให้เรียบร้อยก่อนทีละคนหรือ ตั้งท่าทางวางตัวให้เสร็จก่อน ค่อยต่อสู้กับพวกเ้าเช่นนั้นหรือ นี่มันเหตุผลของสำนักใดกัน…”
หยุดไปชั่วครู่เดียว จ้านอู๋มิ่งไม่รอให้คนของสำนักกระบี่ิญญาได้ทันตอบสนอง ก็กล่าวต่อว่า “นอกจากนี้เป็เขาที่ชักกระบี่ก่อน แสดงว่าการท้าสู้ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็ทางการแล้ว พี่ชายอย่างข้าให้เวลาเขาสิบลมหายใจ กระทั่งส่งศิษย์พี่น้องที่าเ็ออกจากเวที เพื่อรักษาชีวิตของศิษย์พี่น้อง นี่เป็เมตตาธรรมสูงสุดแล้ว แต่เื่เล็กน้อยเช่นนี้ เขากลับใช้เวลาถึงสิบเอ็ดลมหายใจ ข้าไม่มีเวลามากมายให้สิ้นเปลืองนัก รีบต่อสู้ให้จบ มาถึงเวทีต่อสู้กลับมากอารมณ์ทุกข์โศกซาบซึ้ง ยังเสแสร้งแกล้งทำเสียใจ อุ้มร่างพี่น้องที่าเ็สาหัสแล้วโยกไปมาค่อยๆ เดินไปทีละก้าว ปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาวอันทรงเกียรติ เพียงทะยานครั้งเดียวขึ้นมาจากด้านล่างเวทีก็มาถึงหน้าข้าทันที แต่นี่กว่าจะถึงขอบเวทีกลับใช้เวลาสิบกว่าก้าว พี่ชายมิได้มาเพื่อดูเ้าส่ายก้นย้ายสะโพก ตนเองแสวงหาความตายแล้วจะไปโทษใคร”
เหล่าศิษย์สำนักกระบี่ิญญาพูดไม่ออกอีกครั้ง เคยพบเจอคนไร้ยางอายมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายมากถึงเพียงนี้ ทั้งยังบอกอีกว่าให้เวลาชางลู่จื่อสิบลมหายใจเข้าออก ผู้ใดจะไปรู้ว่าเ้าให้เวลาสิบลมหายใจกันเล่า เ้าไม่บอกสักคำ ผู้อื่นจะทราบได้อย่างไร หากผู้อื่นทราบเวลาสิบลมหายใจ ไหนเลยจะค่อยๆ เดินทีละก้าวกันเล่า…ต่อหน้าบรรดาอัจฉริยะทั่วแผ่นดินใหญ่ สามารถพูดเื่ไร้ยางอายได้อย่างถูกต้องชอบธรรม คล้ายดั่งเมตตาเทียมฟ้า เกรงว่ามีแต่จ้านอู๋มิ่งที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เพียงคนเดียวเท่านั้น
ในที่สุดทั่วทั้งเยี่ยนซานตั้งก็ทราบแล้ว ไฉนบางคนถึงบอกว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็คนพาล เป็คนร้ายกาจ น่ารังเกียจ นี่มันจะเกินไปแล้ว ศิษย์อัจฉริยะสองคนของสำนักกระบี่ิญญา แม้แต่กระบี่ก็ยังมิทันได้ชักก็ถูกทำร้ายจนพิการแล้ว มิใช่สิ...ชางลู่จื่อชักกระบี่ออกมาก่อนแล้ว หลังจากนั้นสอดกลับไปอีก เป็เพราะเสียงร้องะโว่า "หยุด" แล้วจึงสอดกลับเข้าไป หลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาสได้ชักออกมาอีก ช่างน่าอึดอัดใจและขุ่นข้องมากเพียงใดหนอ
สีหน้าเจิงฉู่ไฉเขียวไปแล้ว เขามองไปจ้านอู๋มิ่งและโกรธจนตัวสั่น แต่ต่อหน้าชนชั้นนำของใต้หล้า ตนในฐานะจักรพรรดิา กลับมิอาจขึ้นเวทีไปฆ่าจ้านอู๋มิ่ง ก่อนจะมีเหตุผลอันสมควร หากทำเช่นนั้นแล้ว ชื่อเสียงของสำนักกระบี่ิญญาจะลดต่ำลงจนดิ่งเหว ตลอดจนถูกผู้คนทั่วหล้าหัวเราะเย้ยหยัน ยิ่งกว่านั้นกระทิงเฒ่าเลวี่ยของสำนักบริบาลเดรัจฉานยังมองตนอยู่อย่างเคร่งขรึม เหมือนพยัคฆ์กำลังจ้องเหยื่อ เขาไม่อาจลงมือจริงๆ
เลวี่ยเหวินซิวและบรรดาคนในสำนักบริบาลเดรัจฉานก็ยังใแล้ว พวกเขาโชคดียิ่งนัก ที่ได้พบบุคคลระดับสุดยอดเช่นนี้แล้วคนหนึ่ง กระทำเื่ไร้ยางอายจนถึงที่สุด พวกเขาประหลาดใจกับวิธีการเล่นงานคนของจ้านอู๋มิ่ง ทั้งยังได้เปิดหูเปิดตากับคารมคมคายของจ้านอู๋มิ่ง กระทั่งคนตายยังสามารถพูดจนฟื้นคืน คนมีชีวิตสามารถถูกทำให้คลั่งตายได้โดยตรง พวกเขาไม่เคยเห็นสีหน้าท่าทางเช่นนี้ของเจิงฉู่ไฉมาก่อน วิเศษและสาสมใจยิ่งนัก!
เลวี่ยเหวินซิวลอบชื่นชมจ้านอู๋มิ่งเงียบๆ คราหนึ่ง อัจฉริยะเอย อันใดเรียกว่าอัจฉริยะ? คนเช่นนี้จึงนับเป็อัจฉริยะอย่างแท้จริง ไม่แปลกเลยที่จ้านอู๋มิ่งสามารถพาราชันาหนึ่งดาวผู้หนึ่งและราชันาสองดาวผู้หนึ่ง เล่นงานถูเหยียนเซิ่งและพรรคพวกราชันาทั้งห้าคนสิ้นชีวิตไป เฉพาะสถานการณ์เช่นนี้ก็สามารถเล่นงานคนจนตายแล้ว แทบจะมิต้องลงมือสังหารเลย!
ทุกคนล้วนทราบแล้ว ผู้ที่ยืนอยู่บนเวทียามนี้ มิอาจหยั่งคาดด้วยเหตุผลหรือสามัญสำนึกทั่วไปได้ มิเพียงไร้ยางอาย ทั้งยังโเี้และดิบเถื่อน กำจัดคู่ต่อสู้ไปแล้วสองคนโดยมิได้ใช้อาวุธแต่อย่างใด นี่คือการชกกระสอบทราย เตะใส่แท่นมนุษย์ไม้ดีๆ นี่เอง เพียงแค่นั้นคู่ต่อสู้ก็กลายเป็ดินเหลวกองหนึ่ง ยืนเชิดหน้าชูตาบนเวทีเช่นนี้ เฉกเช่นนกยูงผู้ทระนงตนตัวหนึ่ง สภาวะพลังทั่วร่างที่แผ่ออกมาคล้ายดั่งกำลังกล่าวว่าบรรดาศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญา พวกเ้าจงพากันหวาดกลัวจนตัวสั่นเถิด พี่ชายก็ไร้เทียมทานเช่นนี้แหละ ทั้งยังดื้อด้านเทียมฟ้าเช่นนี้ โเี้ไร้ขอบเขต…
สีหน้าเลวี่ยเหวินซิวพลันแปรเปลี่ยน เขาเห็นคนผู้หนึ่งกำลังเดินออกจากห้องโถงของสำนักกระบี่ิญญา “อาหนาน!” เขาคิดไม่ถึงว่าเจิงฉู่ไฉถึงกับใช้อาหนาน ซึ่งเป็หนึ่งในสามหมากลับของสำนักให้ออกศึกแล้ว ข้อมูลข่าวสารที่เขาได้รับระบุว่าอาหนานถึงแม้ยังไม่ทะลวงด่านบรรลุขั้นราชันา แต่ฐานการบ่มเพาะเหนือกว่าราชันาทั่วไปมาก แม้แต่ราชันาสามดาวก็ยังไม่อาจสังหารได้ เห็นได้ชัดว่าสำนักกระบี่ิญญา้าสังหารจ้านอู๋มิ่งจริงๆ แล้ว เมื่ออาหนานออกโรง จะต้องเป็การต่อสู้แลกชีวิตที่แสนดุเดือดเืพล่าน ดุจดั่งัเจอพยัคฆ์
“อาหนาน…” คนจำนวนมากจำชายหนุ่มคนนี้ได้ ผมสีแดงเพลิงทั่วทั้งศีรษะ คือสัญลักษณ์ของอาหนาน
สำนักนิกายจำนวนมากมีข้อมูลเกี่ยวกับอาหนานทั้งนั้น นี่คืออัจฉริยะที่แท้จริงผู้หนึ่ง ชายหนุ่มที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันาได้ตลอดเวลาผู้หนึ่ง สาเหตุที่ยังไม่บรรลุเป็ราชันา ก็เพื่อรอให้อาณาจักรฟ้าเร้นลับเสวียนเทียนเปิดออก คิดไม่ถึงว่าสำนักกระบี่ิญญาจะเลือกให้อาหนานออกมาเล่นงานจ้านอู๋มิ่งที่ไม่มีหน้ามีตาผู้หนึ่ง ไม่ทราบเช่นกันว่าจะเป็โชคดีหรือเคราะห์ร้ายของจ้านอู๋มิ่ง เห็นชัดว่าสำนักกระบี่ิญญาหมดความอดทนแล้ว ศิษย์อัจฉริยะสองคนถูกทำร้ายจนพิการ ทำให้เจิงฉู่ไฉไม่้าเสียเวลาอีกต่อไป ยิ่งไม่้าสูญเสียอัจฉริยะเพิ่มขึ้นอีก สำนักกระบี่ิญญาทนไม่ได้ที่จะล้มเหลวอีกเป็ครั้งที่สาม เพราะอัจฉริยะที่เข้าแถวรอคัดเลือกหน้าห้องโถงสำนักกระบี่ิญญายามนี้หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ล้วนไปเข้าแถวหน้าสำนักบริบาลเดรัจฉาน เขา้าชัยชนะของอาหนานยิ่งนัก เพื่อฟื้นฟูชื่อเสียงและหน้าตาของสำนักกระบี่ิญญาคืนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าชราของเลวี่ยเหวินซิวที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นดอกไม้ก็ไม่ปาน เพลิงโทสะในใจยิ่งโหมรุนแรงมากขึ้น หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ จ้านอู๋มิ่งคงกลายเป็เศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยภายใต้สายตาของเขานานแล้ว
“อาหนาน!” รอยยิ้มเปล่งประกายในดวงตาจ้านอู๋มิ่ง มองดูชายที่สายตาราบเรียบไร้ระลอกคลื่นใดๆ กำลังก้าวขึ้นเวทีต่อสู้มาทีละขั้น บนใบหน้าไร้ร่องรอยความสุขหรือความโกรธ เงียบสงบและสงบนิ่ง เฉกเช่นท้องฟ้าที่ปรากฏดวงดาวอันเงียบสงัด เป็ดวงดาวพร่างพราวระยิบระยับดวงหนึ่ง
“ข้าขอใช้เวลาสิบลมหายใจ ส่งเขาลงจากเวทีได้หรือไม่?” น้ำเสียงของอาหนานนิ่งสงบยิ่งนัก นิ่งสงบจนไร้อารมณ์ใดๆ คล้ายดั่งมิมีสิ่งใดสามารถทำให้อารมณ์เขาเกิดคลื่นอารมณ์ขึ้นมาได้
“ตามสบาย!” จ้านอู๋มิ่งผายมือคราหนึ่ง จิตใจกว้างขวางยิ่งนัก
อาหนานเหลียวมองชางลู่จื่อคราหนึ่ง จู่ๆ ก็ชักกระบี่ ภายใต้สายตาที่ตื่นตระหนกของทุกคน ประกายกระบี่พาดผ่านคอของชางลู่จื่อ ถึงกับฆ่าชางลู่จื่อที่หายใจรวยรินไปแล้ว ประกายกระบี่ยังไม่จบก็พุ่งตรงไปที่ใบหน้าของจ้านอู๋มิ่ง ระดับความเร็วดุจดั่งทะลวงผ่านอากาศ หลงเหลือเพียงประกายไม่กี่จุดอยู่กลางอากาศ
ั์ตาของจ้านอู๋มิ่งปรากฏความประหลาดใจ ปฏิกิริยาของชายตรงหน้าผู้นี้เกินความคาดหมายจริงๆ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้มุ่งมั่นตั้งใจฆ่า การตัดสินใจช่างเด็ดขาดจริงๆ เป็คนที่ต่อกรยากลำบากอย่างยิ่ง และท่วงท่ากระบี่นี้ จ้านอู๋มิ่งกลับมิได้ััถึงรังสีการฆ่าฟันใดๆ พลังแหลมคมมิมีการเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย
หากมิใช่เห็นด้วยตาตนเองก็จะไม่รู้สึกถึงกระบี่เล่มนี้เลย รังสีการฆ่าฟันถูกงำประกายจนมิดชิด ซ่อนเร้นอยู่ในกระบี่ ด้วยสาเหตุนี้ จ้านอู๋มิ่งจึงรู้สึกประหลาดใจ ตระหนักถึงอันตรายที่อุบัติขึ้นจากภายในจิตใจ
นี่คือศัตรูที่ร้ายกาจและแข็งแกร่งผู้หนึ่ง จ้านอู๋มิ่งขจัดความชะล่าใจของตน รีบพุ่งกายถอยหลังทันที การบ่มเพาะของเขาคือกายเนื้อ กายเนื้อไม่สามารถต้านทานอาวุธระดับจิติญญาของฝ่ายตรงข้าม แต่การบ่มเพาะกายเนื้อทำให้การตอบสนองของร่างกายแข็งแกร่งทรงพลังยิ่งนัก
ประกายกระบี่มีเพียงสายเดียวแต่เงียบเชียบ ไร้สุ้มเสียง ธรรมดาสามัญกลับดูเป็ธรรมชาติยิ่ง จ้านอู๋มิ่งรู้สึกว่าไม่ว่าตนจะหลบหลีกไปทิศทางใด กระบี่เล่มนี้ล้วนสามารถกลายเป็ประกายกระบี่นับพันนับหมื่น เพื่อขังตนเองไว้ดุจตาข่าย มักจะเป็กระบวนท่าเพียงไม่กี่ท่าที่เรียบง่ายที่สุด จึงเป็กระบวนท่าที่น่ากลัวมากที่สุด เพราะความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ปรากฏขึ้นล้วนไม่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกนอกเหนือความคาดหมาย ขอบเขตสำนึกของกระบี่นี้แทบบรรลุขอบเขตสูงสุดคืนสู่สามัญแล้ว
จ้านอู๋มิ่งถอยถึงขอบเวที เขาถอยต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ต่อให้ถอยไปไกลกว่านี้ ก็ไม่สามารถแก้ไขการโจมตีที่ติดตามมาของกระบวนท่านี้ได้ เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของมันผันแปรตามการเปลี่ยนแปลงของตน สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คืออาศัยพลัง ทำลายกระบวนท่าเท่านั้น
ดังนั้นเขาหยุดการล่าถอยที่ไร้ประโยชน์ ออกหมัดอย่างกะทันหัน หมัดที่ไม่หวนคืนกลับ เรียบง่ายและตรงไปตรงมา ไร้ลวดลายพลิกแพลงใดๆ แต่่เวลาที่แขนของเขาออกหมัด กลับเหมือนัั์ตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากท้องฟ้า หนึ่งหมัดที่ดูเหมือนเชื่องช้าอย่างยิ่ง กลับรวดเร็วสุดเปรียบปาน เพราะหลายคนมองเห็นแล้วว่าปลายหมัดนั้นนำหน้าด้วยชั้นของกระแสปราณสายหนึ่ง ที่เหมือนหินั์ที่ตกลงมาจากฟากฟ้า รวดเร็วจนกระทั่งบรรยากาศยังลุกเป็ไฟ…
มีคนจำได้ว่าจ้านอู๋มิ่งอาศัยหมัดเช่นนี้หนึ่งหมัดทำลายกระบวนท่าทลายนภากาศของเถี่ยมู่เหอ เวลานี้ปรากฏขึ้นอีกครั้งก็ยังคงน่าทึ่งเช่นเดิม ท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ไม่ไกลนัก ดวงตาคู่หนึ่งเปล่งประกายขึ้นวูบโดยมิรู้ตัว ราวกับกำลังหวนคำนึงอยู่กับความทรงจำอันล้ำลึก คนผู้นั้นคือเถี่ยมู่เหอ เขาได้ััถึงความน่าสะพรึงกลัวของหมัดนี้อย่างลึกซึ้งมาก่อนยิ่งกว่าผู้ใด
ยามนี้ เถี่ยมู่เหอที่ได้ทะลวงผ่านบรรลุขั้นปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาวแล้ว ได้มาเห็นหมัดนี้อีกครั้งก็ยังคงรู้สึกถึงสภาวะพลังสุดแข็งแกร่งที่เพียงพอจะทำลายภาพมายาใดๆ ก็ตามที่สร้างขึ้น
“ตูม…” หมัดและดาบปะทะกัน ปลายดาบที่คมกริบยังไม่ทันได้แผ่รังสีพลังก็ะเิออกทันที พลังทำลายล้างดุจการปะทุขึ้นของูเาไฟก็มิปาน ทำให้ร่างของจ้านอู๋มิ่งถูกกระแทกลอยออกมา
หยดเืโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าหลายหยด แววตาของเถี่ยมู่เหอปรากฏความประหลาดใจขึ้นคราหนึ่ง เขาพบว่าเืไหลออกจากมือของจ้านอู๋มิ่ง ครั้งนี้จ้านอู๋มิ่งไม่สามารถทำลายกระบวนท่ากระบี่ของอาหนานสำเร็จ ภายใต้กระบี่ของอาหนาน มือของจ้านอู๋มิ่งได้รับาเ็แล้ว ร่างกายก็ถูกกระแทกถอยกลับแล้วเช่นกัน เขาแอบเปรียบเทียบอยู่ในใจ ระหว่างตนกับอาหนานมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่จริงๆ นี่คือช่องว่างระหว่างอัจฉริยะที่ได้รับการสนับสนุนด้วยทรัพยากรจำนวนมหาศาลจากสำนักนิกายและอัจฉริยะจากครอบครัวธรรมดาผู้หนึ่ง
ดูเหมือนอาหนานก็รู้สึกไม่ค่อยดีเช่นกัน เถี่ยมู่เหอมองเห็นชัดเจนว่าอาหนานหน้าแดงก่ำขึ้นวูบหนึ่งอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นก็กลับมาขาวซีดอีกครั้ง เหมือนเหล็กชิ้นหนึ่งที่ถูกเผาจนแดงแล้วเย็นลงอย่างฉับพลันทันที ร่างกายก็เซถอยหลังถึงเจ็ดแปดก้าว
ร่างของจ้านอู๋มิ่งไม่ได้ลอยออกนอกเวที เขาย้อนกลับเข้ามาทางกลางอากาศ พุ่งย้อนกลับไปทางอาหนานเหมือนเช่นลูกธนู
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้